เทน ฮาก ท่าจะแย่ ! ไบร์ทตัน ขุดหลุมฝังผีคารัง 3-1 เวลเบ็ค ยิงทีมเก่า
เปิดหัวฤดูกาลใหม่ 2023-2024 มาได้แบบเห็นเค้าลางความหายนะจริงๆสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากจะได้ผลการแข่งขันที่ไม่ดีแล้ว ฟอร์มภาพรวมในสนามยังเข้าขั้นย่ำแย่ รูปแบบการเล่นไร้ทิศทางสุดๆในปีที่2ของ เอริก เทน ฮาก ซึ่งหลังกลับมาจากพักเบรกทีมชาติ พลพรรคปีศาจแดงก็ยังเป๋อย่างต่อเนื่อง พบกับความปราชัยอีกครั้ง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้กลับมาเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ดวลกับทีมที่พวกเขาแพ้ทางและสู้ไม่ได้ใน 1-2ฤดูกาลหลังอย่าง ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่ยกระดับตัวเองขึ้นมามากๆ ในยุคของกุนซือ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้
เริ่มเกมมาช่วง10นาทีแรก ต้องบอกว่าผู้เล่นอสูรแดงดูคึกคักมากๆ เข้าบอลเร็ว เล่นเกมรุกเข้าใส่ผู้มาเยือนได้ดีเลยทีเดียว บวกการได้ ราสมุส ฮอยลุนด์ ออกสตาร์ทตัวจริงทำให้มีผู้เล่นประเภทหน้าเป้าจริงๆ ไว้คอยค้ำ
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามแม้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะออกสตาร์ทได้ดีกว่า แต่พอบทจะโดนทะลวงตาข่าย พวกเขาก็โดนง่ายๆดื้อๆ (อีกแล้ว) ไบร์ทตัน เคาะบอลต่อบอลง่ายๆ ซิมง อาดินกร้า เปิดเข้ามาให้ แดนนี่ เวลเบ็ค กระทุ้งด้วยซ้ายในเขตโทษเข้าไป
พอโดนเม็ดแรกปีศาจแดงก็พยายามเร่งเอาคืน มาส่งบอลซุกก้นตาข่ายได้จาก ราสมุส ฮอยลุนด์ แต่ทว่าโดน VAR ยึดประตูคืน เพราะลูกปาดเข้ามาข้างในให้ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลูกออกไปทั้งใบแล้ว จบครึ่งแรก ด้วยการที่ ไบร์ทตัน บุกมานำ 1-0
เริ่มครึ่งหลังมาแทนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีฮึดขึ้นมาหลังมีเวลาพักกระตุ้นในห้องแต่งตัว แต่ทว่าพวกเขาก็ยังเนือยๆ จนมาโดนเม็ด2จนได้ จากการเข้าทำคล้ายๆประตูแรกเลย ก่อนจะเป็น ปาสกาล โกรสส์ มาบวกลูกที่2น.53 และมีเม็ดที่3อีกจากตัวสำรอง เจา เปโดร น.71
ปีศาจแดงมาได้ประตูแห่งความหวัง 3-1 ขึ้นมานิดๆจากลูกยิงไกลของตัวสำรองดาวรุ่งอย่าง ฮันนิบาล เมจบรี้ น.73 ซึ่งเหมือนจะทำให้มีโมเมนตัมที่ดีขึ้นมาบ้างได้ราวๆ 5นาที แต่ทว่าหลังจากนั้นไฟของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ค่อยๆมอดลง ไม่มีโอกาสใกล้เคียงกับการได้ประตูเลย มิหนำซ้ำยังเกือบมาโดนลูก 4-1 หลายหนอีกด้วย ดีที่ อังเดร โอนาน่า ช่วยเซฟไว้
จบเกมความปราชัยคาบ้าน 1-3 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้นี่เป็นหนแรกในยุคพรีเมียร์ลีก ที่พวกเขาแพ้ถึง 3เกม จากโปรแกรม5นัดแรก รวมไปจนถึงแพ้คาบ้านในเกมลีกเป็นหนแรกในรอบ 21นัดอีกด้วย
ส่วนทัพ " นกนางนวล " 3แต้มดังกล่าว ก็เป็นเครื่องตอกย้ำว่าในยุคของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ พวกเขายกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นทีมลุ้นบอลยุโรปเต็มตัว และพักหลังกลายเป็นว่า ไบร์ทตัน กลายเป็นทีมที่ข่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เต็มตัวเพราะ4นัดหลังที่เจอกันในพรีเมียร์ลีก พวกเขาเอาชนะได้รวด 100%
แรชฟอร์ด อาวุธเดียวของแมนฯยู แต่มุ่งไปเองมากไป
กลายเป็นว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วนมาลูปเดิมอีกครั้ง กับการขึ้นเกมรุกโดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะมากเกินไป ไม่ได้เน้นการเข้าทำประสานงานที่เป็นทีมเวิร์คจังหวะสุดท้าย ซึ่งปรกติ พวกเขาจะหวังพึ่งพา บรูโน่ แฟร์นันเดซ และ มาร์คัส แชฟอร์ด เป็นหลัก
แต่ทว่าเมื่อคืน บรูโน่ กลับกลายเป็นโชว์ฟอร์มไม่ออกเท่าไหร่ อาจจะเนื่องด้วยตำแหน่งการเล่นด้วยที่ต้องไปยืนเป็นปีกขวาสลับกับ สก็อตต์ แม็คโทมิเน่ย์ ทำให้เหมือนไม่ได้ใช้ศักยภาพที่ตัวเองถนัดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
นั่นทำให้การขึ้นเกมของ ยูไนเต็ด ต้องมาพึ่งพา มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นหลัก โอเคว่า " แรชชี่ " จะปั่นป่วน แบ็กขวาที่ไม่ได้ลงสนามบ่อยอย่าง ทาริค แลมป์ตีย์ ได้ดีในระดับหนึ่ง มีจังหวะกระชากลากเลื้อยที่อันตราย วูบวาบ
แต่ทว่าจังหวะการเล่นของ แรชฟอร์ด เหมือนจะหลายเพลย์ไปหน่อย ทำให้เพื่อนร่วมทีม ตีรถเปล่าบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในรายของ เซร์คิโอ เรกีลอน และ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่รอในเขตโทษแต่ทว่าก็ต้องรอบอลเก้อไป ลูกที่ยิงได้ ของดาวยิงชาวเดนมาร์ก มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ทำบอลออกหลังไปแล้ว
เมื่อคืน มาร์คัส แรชฟอร์ด เลี้ยงบอลผ่านผู้เล่น ไบร์ทตัน 5ครั้ง มีโอกาสยิงมากถึง9หน แต่ทว่าหนักไปทางติดบล็อก และซัดออกไปเอง ยิ่งปีศาจแดง มีหน้าเป้าคนใหม่เป็น ฮอยลุนด์ ดาวเตะหมายเลข10รายนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับวิธีการเล่นใหม่เพื่อ ซับพอร์ทศูนย์หน้าของทีมมากขึ้น
แข้งผีออกอาการใจฝ่อไม่เลิก
นี่คืออาการโรคร้ายที่แฟนบอลปีศาจแดงเห็นมากับนักเตะตั้งแต่ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ - โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รวมไปจนถึง ราล์ฟ รังนิก ช่วงสั้นๆ นั่นก็คืออาการใจออกถอดใจ เวลาที่ทีมโดนขึ้นนำ แล้วรู้ว่ารูปเกมสู้ไม่ได้
อะไรที่ใจฝ่อใจมดดังกล่าว มันเลยสะท้อนออกมาให้เราๆได้เห็นผ่านผลการแข่งขันที่แพ้ออกมาขาดลอยทั้งต่อ ลิเวอร์พูล 0-4 / 0-5 / 0-7 หรือ 3-6 กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั้งกับ ไบร์ทตัน เอง 0-4 ก็เคยโดนมาแล้ว
เมื่อคืนลูกทีมของ เอริก เทน ฮาก ดูฮึกเหิมมากทีเดียวในช่วง10นาทีแรก แต่พอโดนลูก1-0 ของ เวลเบ็ค ก็กลายเป็นช็อตไปดื้อๆพักหนึ่งก่อนจะมาเร่งเครื่องเอาอีกทีในช่วงท้ายครึ่งแรก ออกสตาร์ท45นาทีหลัง พอมาโดนเม็ดที่2 และ3 ก็ถอดใจไปเลย
เข้าใจว่าวิ่งไล่ วิ่งบีบ วิ่งเพรส ยังไงก็ไม่จน แต่เราก็ไม่เห็นวิญญาณนักสู้ ความไม่ยอมแพ้ ในยามที่เล่นในบ้านของทัพปีศาจแดงชุดนี้เลย ซึ่งก็มีโมเม้นต์ฮึดขึ้นมาเล็กๆ จากประตูยิงไกลไล่มาเป็น 3-1 ของดาวรุ่งอย่าง ฮันนิบาล เมจบรี้ น.73
ซึ่งหลังจากนั้นเป็นเวลาราวๆ 5นาทีกว่าที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีฮึดขึ้นมา แต่ทว่าการโจมตีช่างหมูตู้ และทื่อเหลือเกินนั่นก็คือมีแต่ลูกครอสโด่งกลางอากาศ แถมกองหน้าตัวเป้าอย่าง ฮอยลุนด์ ก็ออกไปแล้ว เป็น มาร์กซิยาล ที่ลงมาแทน เลยทำให้เซ็นเตอร์อย่าง ลูอิส ดังค์ ลูบปากเก็บกินได้หมดเลย
ความสงสัยในฝีมือ เทน ฮาก เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
เข้าใจว่าสถานการณ์ของทีมไม่ดีเท่าไหร่ ทั้ง นักเตะบาดเจ็บ ผู้เล่นในตำแหน่งปีกขวา ไม่พร้อมใช้งานทั้ง2คนเพราะมีปัญหาเรื่องนอกสนามทั้ง อันโตนี่ และ เจดอน ซานโช่ แต่ทว่าอย่างไรก็ตามการเลือกตัวนักเตะและแผนการเล่น เอริก เทน ฮาก ก็ต้องรับผิดชอบด้วย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาในระบบ 4-2-3-1 หรือมีบางจังหวะปรับไปเล่นเป็น 4-3-1-2 จุดที่แฟนบอลปีศาจแดงไม่เข้าใจนั่นก็คือในตำแหน่งปีกขวา กุนซือชาวดัตช์เลือกใช้บริการ บรูโน่ แฟร์นันเดซ สลับกับ สก็อตต์ แม็คโทมิเน่ย์
ซึ่งผลงานก็ออกมาตามที่คาดเพราะ 2ดาวเตะชาวสก็อตแลนด์และโปรตุเกส ไม่ใช่ผู้เล่นริมเส้นประเภทธรรมชาติ ไม่มีความเร็ว และไม่มีความแม่นยำในการครอสจากด้านข้างเท่าไหร่ ทำให้เกมริมเส้นฝั่งขวา ต้องพึ่งพาความสามารถของ ดิโอโก้ ดาโล่ต์ คนเดียว
เอาตรงๆเมื่อคืน ดาโล่ต์ ไม่ได้แย่เลย เอา มิโตมะ อยู่ในหลายจังหวะ แถมยังกระชากทะลุทะลวงมาได้ดีอีกด้วย แต่ทว่าก็ไปเสียจังหวะเปิดสุดท้ายตามเดิม สถานการณ์ที่ทีมขาดปีก ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่ เทน ฮาก ไม่กล้าเลือกใช้ปีกขวาธรรมชาติดาวรุ่งอย่าง ฟากุนโด เปยิสตรี เป็นตัวจริง
มาจนถึงซีซั่นที่2 อดีตกุนซืออาแจ็กซ์ เหมือนจะยังปรุงแต่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้กลมกล่อมเลย โดยเฉพาะในเรื่องของเกมรุกที่เหมือนอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะมากกว่า เกมรับถึงแม้จะได้โกลโมเดิร์นสมัยใหม่อย่าง อ็องเดร โอนาน่า มา แต่ทว่าภาพรวมทีมไม่ได้ดีขึ้น แถมแนวรับยังเสียประตูมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
และเมื่อคืนน่าจะเป็นครั้งแรกๆเลยที่ เอริก เทน ฮาก ได้รับเสียงโห่จากแฟนบอลในโรงละครแห่งความฝัน หลังจากที่เลือกตัดสินใจเปลี่ยน ราสมุส ฮอยลุนด์ ออกแล้วให้ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ไม่มีประโยชน์อะไรลงมาแทน น.64
เกมต่อไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องออกไปเยือน บาเยิร์น มิวนิค ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โอกาสรอดยาก แต่ทว่าในพรีเมียร์ลีก นัดต่อไปพวกเขาต้องออกไปเยือน เบิร์นลี่ย์ ซึ่งถ้าหากยังไม่ชนะอีก วิกฤติศรัทธาของแฟนบอล ที่มีต่อ เอริก เทน ฮาก จะมีมากขึ้นเรื่อยๆเป็นแน่เท้
ปาสกาล กรอสส์ นักปราบผี
แม้จะไม่ได้โดนเด่นเหมือนพวก คาโอรุ มิโตมะ - เปร์วิส เอสตูปินญาน หรือแม้กระทั้ง โซลลี่ มาร์ช แต่ทว่าจัดเป็นนักเตะที่ ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ขาดไม่ได้เลือกให้เป็นตัวจริงตลอดนั่นก็คือ ปาสกาล กรอสส์
กรอสส์ ในยุคของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ถูกดัดแปลงพันธุ์กรรมให้เล่นได้หลายบทบาทมากๆทั้ง มิดฟิลด์ตัวกลาง เพลย์เมคเกอร์ แบ็กขวา ก็เคยมาแล้ว แต่ทว่าในซีซั่นนี้ แข้งชาวเยอรมันมีบทบาทหลักเป็นมิดฟิลด์คู่กลาง
มาห์มูด ดาฮูด ที่ยืนเป็นมิดฟิลด์นัดนี้ฟอร์มภาพรวมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ทว่าสำหรับ ปาสกาล กรอสส์ แล้ว นี่คือหนึ่งเกมที่ยอดเยี่ยมของเจ้าตัวเลย ประตูที่ซัดได้ ก็มาจากการขยับหลอก ลิซานโดร มาร์ติเนซ แค่นิดเดียว แล้วก็หวดเข้าไปสุดเฉียบ
ประตูที่ทำได้เมื่อคืนนี่คือเม็ดที่4ที่ ปาสกาล กรอสส์ สังหารได้ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มีเพียง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เท่านั้น (5ประตู) ที่ยิงได้มากกว่าในการมาเยือนที่นี่
แม้ว่า10นาทีแรกแดนกลางจะเป็นรอง แมนฯยู หลังจากนั้น กรอสส์ ก็คอนโทรลเกมเอาอยู่มากๆ กับการกำหนดจังหวะจะโคนการเล่นต่างๆ สถิติหลังจบเกมจึงออกมาว่าเจ้าตัว สัมผัสบอลมากถึง112ครั้ง ผ่านบอลเข้าเป้าถึง 97ครั้ง จาก99ครั้ง
เด แชร์บี้ พามาได้ไกลกว่า พอตเตอร์
โอเคว่า เกรแฮม พอตเตอร์ คือสารตั้งต้นที่พาให้ ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เป็นอีกหนึ่งทีมที่พุ่งขึ้นมาได้อย่างน่ากลัวในพรีเมียร์ลีก แต่ทว่าในเชิงผลลัพธ์แล้ว พอตเตอร์ พาทีมจบอันดับครึ่งล่างของตารางเสียเป็นส่วนใหญ่ มีซีซั่นเดียวที่จบครึ่งบน อันดับ 9 (2021-2022)
แต่ทว่าพอมาในยุคของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ " เดอะ ซีกัลล์ " ยังคงเป็นทีมที่เน้นทีมเวิร์ค ต่อบอลสวยงาม แต่ทว่าประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ หรือพลังทำลายล้างสูงขึ้นกว่าเดิม เพียงแค่ซีซั่นแรกก็จบอันดับ6 คว้าตัวไปเล่นบอลยุโรป ( ยูโรป้า) ได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
เกมที่บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อคืน ต้องบอกว่าเหมือนทัพนกนางนวล เหมือนจะเลือกโรเตชั่นนักเตะเลย เพราะมีเกม ยูโรป้า ลีก กลางสัปดาห์ ผู้เล่นตัวหลักอย่าง เปร์วิส เอสตูปินญาน - อีแวน เฟอร์กูสัน รวมไปจนถึง โซลซี่ มาร์ช ไม่ได้ถูกส่งลงตัวจริง
10นาทีแรกเท่านั้นที่เหมือนไบร์ทตัน จะเป็นรองปีศาจแดง แต่ทว่าพอตั้งเกมได้ จังหวะจ่ายบอลเซตบอลของพวกเขาเป็นต่อทีมเจ้าบ้านอยู่มากๆ 3ประตูที่ทำได้ ก็มีการเข้าทำที่คล้ายคลึงกันหมดเลย
การดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4ครั้งในลีก กลับกลายเป็นว่า ไบร์ทตัน กวาดชัยได้4นัดรวด และรูปเกมก็ดีกว่าทุกนัด ทีมของ เอริก เทน ฮาก กลายเป็นทีมใหญ่ที่แพ้ทางพวกเขาไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ทีมดังแดนใต้ ยังยุติความไร้พ่ายที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมพรีเมียร์ลีก ไว้ที่ 21นัดอีกด้วย ซึ่งทีมสุดท้ายที่บุกมาเอาชนะยังโรงละครแห่งความฝันได้ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือ ไบร์ทตันเองนี่แหละ
- คอลัมน์นิสต์
- 417
- 17 ก.ย. 2566