เปา นกหวีดหวาน ! ผี โหด ถลุง โซเซียดาด 4-1 เข้ารอบ8ทีม บรูโน่ แฮตทริก
เลกแรกที่บุกไปเยือนสนาม ซาน มาเมส ของ เรอัล โซเซียดาด ต้องบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้ดีไม่น้อย และน่าชนะกลับออกมาด้วยซ้ำ แต่ทว่าด้วยความผิดพลาดส่วนบุคคลทำให้กลับออกมาพร้อมผลเสมอ 1-1 โดยเลกสองที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปีศาจแดงที่เริ่มต้นแบบน่าหวาดเสียว เพราะโดนนำไปก่อน แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พลิกแซงเอาชนะไปได้ 4-1 รวมสกอร์2นัด 5-2 ผ่านเข้าสู่รอบ8ทีมได้สำเร็จ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ในระยะหลัง 2-3นัด เริ่มเห็นทรงขึ้นมาบ้าง ทำศึกถ้วยสุดท้ายที่มีลุ้นอยู่ตอนนี้ นั่นก็คือ ยูโรป้า ลีก เกมแรกบุกไปเสมอ เรอัล โซเซียดาด 1-1 นัด2มาเล่นยังโรงละครแห่งความฝัน
กุนซือ รูเบน อโมริม มาในระบบเดิมไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว 3-4-2-1 นายด่าน อ็องเดร โอนาน่า 3เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ นุสแซร์ มาซราวี - มาไตส์ เดอ ลิกต์ และดาวรุ่ง เอเดน เฮฟเว่น วิงแบ็กซ้าย-ขวา แพทริค ดอร์กู กับ ดิโอโก้ ดาโล่ต์ มิดฟิลด์คู่กลาง กาเซมิโร่ ที่กลับมาฟอร์มดียืนคู่ บรูโน่ แฟร์นันเดซ ตัวรุกหลังกองหน้า อเลฮานโดร การ์นาโช่ และ โจซัว เซิร์กเซ่ หัวหอกคนเดิม ราสมุส ฮอยลุยด์
ฟากทีมเยือน เรอัล โซเซียดาด ที่ซีซั่นนี้ดร็อปไปเยอะ มาในระบบ 4-3-3 ผู้รักษาประตู อเล็กซ์ เรมีโร แผงแบ็กโฟร์ อาริตซ์ เอลุสตอนโด - อีกอร์ ซูเบลเดีย - นาเยฟ อาเกิร์ด และ ไอเยน มูนญอซ ตรงกลางได้ มาร์ติน ซูบิเมนดี กลับมาทำงานร่วมกับ ปาโบล มารีน และ บราอิส เมนเดซ ตัวรุกฝั่งซ้าย-ขวา ทาเคฟุสะ คุโบะ และ เชราลโด เบคเกอร์ หน้าเป้า มิเกล โอยาร์ซาบาล
เริ่มเกมเป่านกหวีดมากลายเป็นทีมจากแคว้นบาสก์ เซอร์ไพรส์ได้จุดโทษก่อนเลย เดอ ลิกต์ ไปทำฟาวล์ โอยาร์ซาบาล ในเขตโทษแบบ 50-50 แต่ผู้ตัดสินไม่ลังเล เป่าเป็นจุดโทษทันที และ มิเกล โอยาร์ซาบาล ก็รับหน้าที่ลุกขึ้นมาสังหารเอง หลอกทาง โอนาน่า เข้าประตูไป ขึ้นนำ 1-0 น. 9
แต่ถึงกระนั้นก็ดี แมนฯยูไนเต็ด ก็ไม่เป๋นานๆ และมาได้จุดโทษเช่นกัน ซูเบลเดีย ไปทำฟาวล์ ฮอยลุนด์ ที่กำลังพยายามข้าชาร์จจากด้านหลัง จนกลายเป็นจุดโทษ บรูโน่ แฟร์นันเดซ รับหน้าที่สังหารตามเจ๊าเป็น 1-1 น. 14 หลังจากตีเสมอได้โมเมนตัมก็เทมาฝั่งเจ้าบ้านเลยเพราะรูปเกมเหนือกว่า และน่าได้ประตูขึ้นนำสุดๆ ฮอยลุนด์ ได้จังหวะจบสกอร์กลางประตู แต่ยิงแบบไม่มีความมั่นใจ บอลจึงหลุดเสาไกลไป จบ45นาทีแรก สกอร์ 1-1
ครึ่งหลังเริ่มมาไม่ทันไร ปีศาจแดง ก็มาได้ประตูขึ้นนำ 2-1 ผู้เล่น โซเซียดาด ไปขวางทางบอล ดอร์กู ที่พยายามแตะหลบ เปา เบอร์นัว บาสเตียน เป่าเป็นจุดโทษ บรูโน่ เจ้าเก่าสังหารเข้าไปให้ทีมขึ้นนำ 2-1 น.50
สถานการ์ของทีมเยือนจากสเปนก็มาเลวร้ายขึ้นอีก ตัวสำรองที่พึ่งลงมา น.56 อย่าง จอน อารัมบูรู มาโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม น.63 เพราะไปหยุด ดอร์กู ที่กำลังหลุดเดี่ยว โซเซียดาด จึงเหลือ10คน นั่นทำให้เกมของ แมนฯ ยูง่ายขึ้นเยอะมากๆ ได้โอกาสมากมาย แต่จบไม่คมจริงๆ ยังฝังไม่ได้
จน น.87 ปีศาจแดง ได้โต้กลับในแบบที่ตัวเองถนัด การ์นาโช่ จ่ายให้ บรูโน่ แฟร์นันเดซ ที่วิ่งอ้อมหลังมาจากฝั่งขวาได้หลุดไปดวลกับ เรมีโร แล้วยิงเสียบมุมเข้าไป ฉีกหนี 3-1 น.87 และถึงช่วงทดเจ็บทีมของ รูเบน อโมริม ก็มาได้ประตูปิดท้ายที่สวยงาม จากลูกตวัดแสกหน้าของ ดาโล่ต์ น.90+1
จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่ม เอาชนะ เรอัล โซเซียดาด ไป 4-1 สกอร์รวมสองนัด 5-2 พร้อมกับฟอร์มพระเอกของ บรูโน่ ที่กดแฮตทริกได้ โดยในรอบ8ทีม ปีศาจแดง จะได้ดวลกับ โอลิมปิก ลียง ทีมอันดับ6ของ ลีก เอิง
บรูโน่ พระเอกแฮตทริก คุมจังหวะกลางดี
มีหลายนัดที่โดนตำหนิในเรื่องการจ่ายบอล และการควบคุมอารมณ์ แถมเลกแรก ก็เป็นเจ้าตัวนี่แหละที่พลาดท่าทำแฮนด์บอลจนทีมเสียจุดโทษ แต่ทว่าก็ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาอย่างหนึ่งว่า ณ ตอนนี้ บรูโน่ แฟร์นันเดซ คือผู้เล่นที่เป็นความหวังและพึ่งพาได้มากที่สุดแล้วของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เมื่อคืน " กัปตันหนวด " ทำผลงานของตัวเองได้ดีมากๆในฐานะมิดฟิลด์ตัวกลาง เพราะคุมจังหวะเกมได้เป็นอย่างดี จ่ายบอลเสียน้อยกว่าหลายๆนัด อาจด้วยเพราะ เรอัล โซเซียดาด ไม่ได้เล่นแบบเพรสซิ่งหายใจรดต้นคอด้วย
บรูโน่ เป็นนักเตะปีศาจแดงแทบจะคนเดียวที่จ่ายบอลทะลุช่องแบบคิลเลอร์พาสได้ ซึ่งสถิติหลังเกมว่า แข้งชาวโปรตุเกส จ่ายคีย์พาสได้มากถึง4ครั้ง ส่วนเกมรับก็ยังเข้าแท็กเกิ้ล 3หน เป็นคนคุมจังหวะในแดนกลางได้โคตรดี ไม่เร่ง หรือผ่อนเกินไป แถมยังขยันและมุ่งมั่นตลอด90นาที
ฟอร์มที่ไฉไลแบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ได้ไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้ตัดสินจนมีสมาธิเล่นบอลก็เป็นได้ บรูโน่ ยิง2จุดโทษอย่างเฉียบขาด หลอกโกลพึ่งผิดทาง ท่าโดดยิงเป็นจิงโจ้กลับมาให้เห็นอีกครั้ง และประตูที่3แฮตทริก ก็เป็นการวางเท้ายิงจากจังหวะหลุดเดี่ยวอย่างแม่นยำเสียอีก
แฮตทริก เมื่อคืนเท่ากับว่าซีซั่นนี้ แฟร์นันเดซ ที่โดนด่าโดนตำหนิบ่อยๆ แต่ทว่าในเรื่องของผลลัพธ์แล้ว ดาวเตะหมายเลข8รายนี้ ยิงให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแล้วถึง 15ประตู กับอีก13แอสซิสต์ ขาดใครก็ขาดได้ แต่ไม่ใช่ บรูโน่ แฟร์นันเดซ สำหรับปีศาจแดง ณ ตอนนี้
ดอร์กู แม้การเปิดจะต้องพัฒนา แต่จังหวะสอดดีมาก
ด้วยความที่โดนแบนในฟุตบอลรายการอังกฤษ เพราะได้รับใบแดงในเกม อิปสวิช ทาวน์ นั่นทำให้วิงแบ็กชาวเดนมาร์กรายนี้ ได้พักมาเต็มๆ เพือดวลกับ เรอัล โซเซียดาด ซึ่ง แพทริค ดอร์กู ก็ได้เล่นในตำแหน่งถนัดนั่นก็คือวิงแบ็กซ้าย
เอาในด้านที่ต้องพัฒนาก่อน อดีตแบ็กเลชเช่ ยังมีข้อเสียเดิมนั่นก็คือ จังหวะเปิดบอล ที่ไม่แม่นยำเลย มีทั้งติดตัวประกบและเปิดล้นเปิดขาดไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ ดอร์กู น่าจะยังต้องพัฒนามากๆในการเล่นให้กับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ส่วนจุดดีที่เห็นได้ชัดมากๆเกมนั้นั่นก็คือ จังหวะสอดขึ้นมารับบอลคิลเลอร์พาสจากเพื่อน ดอร์กู หาจังหวะได้ดีมากๆ พาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ที่เพื่อนร่วมทีมสามารถจ่ายได้ เปรียบเทียบกับ ฮอยลุนด์ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนแล้ว
ส่วนอิมแพคกับเกมนัดนี้ แพทริค ดอร์กู มีส่วนร่วมกับทีมเยอะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกจุดโทษประตูนำ 2-1 ทำให้ผู้เล่น โซเซียดาด โดนใบแดงจนเหลือผู้เล่น 10คน เกือบเรียกจุดโทษได้อีกลูกด้วย แต่โดน VAR ยึดกลับก่อน และเจ้าตัวก็ยอมรับว่าไม่ได้โดนทำฟาวล์อะไร
สิ่งที่น่าเสียดายของ แพทริค ดอร์กู เมื่อคืนนั่นก็คือ โอกาสในการจบสกอร์ ที่มีมากมายถึง5ครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีครั้งไหนที่เจ้าตัวทำได้ใกล้เคียงหรือทำให้นายทวารอย่าง เรมีโร ก็ออกแรงเซฟแบบหนักอกหนักใจเลย
เฮเว่น เด็ก18 สตาร์ทตัวจริง ยูโรป้า
ได้เห็นฟอร์มมา2นัด ซึ่งเป็นในบทบาทตัวสำรอง ทั้งเกม เอฟเอ คัพ กับ ฟูแล่ม และ พรีเมียร์ลีก กับ อาร์เซน่อล โอเคว่าแม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานกับการโดนบทบทสอบ แต่ภาพรวมถือว่าน่าประทับใจสำหรับ เจ้าหนูวัยแค่ 18 ปี และพึ่งไปสอยมาจากอาร์เซน่อล อย่าง อายเดน เฮเว่น
เกมกับ เรอัล โซเซียดาด ด้วยความที่ เลนี่ โยโร่ และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ยังเจ็บ นั่นทำให้ กุนซือ รูเบน อโมริม ให้โอกาส อายเดน เฮเว่น ลงตัวจริงครั้งแรกในสีเสื้อปีศาจแดง ได้รับความไว้วางใจก่อนตัวซีเนียร์อย่าง วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ เสียอีก
ออกสตาร์ทมา ไม่รู้ว่าด้วยความตื่นเต้นเปล่าไม่รู้ เฮเว่น ก็มีช็อตเหวอๆเสียเชิงเลยเพราะโดน คุโบะ แตะลอดขาดื้อๆ แต่ทว่าหลังจากที่ทีมตีเสมอ1-1 นั่นก็ทำให้ เจ้าหนูรายนี้ผ่อนคลายและเล่นง่ายขึ้นเยอะ
จุดเด่นแรกก็คือ เฮเว่น สามารถพาบอลขึ้นมาข้างหน้าได้บ้าง แม้จะมีจังหวะสกัดบอลแปลกๆ แต่ก็ค่อยๆดีขึ้นตามรูปเกม มีความกล้าเล่น สถิติทั้งเกมระบุว่า กองหลังทรงผมขัดใจแม่รายนี้ ชนะการดวล4จาก4ครั้ง ผ่านบอลแม่นยำ 42จาก48
เคลียร์บอล4หน / ผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย4ครั้ง / ตัดบอล2ครั้ง และไม่ปล่อยให้ผู้เล่น โซเซียดาด เลี้ยงบอลผ่านแม้แต่หนเดียว แถมยังเสียฟาวล์0ครั้ง ด้วยวัยเพียง 18ปี 172วัน ทำให้ เฮเว่น กลายเป็นผู้เล่นแมนฯยู ที่อายุน้อยที่สุดต่อจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด (18ปี 138วัน) ที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกม น็อกเอ้าท์ บอลถ้วยยุโรป
เซิร์กเซ่ พลิ้ว ดีวัน ดีคืน
จำนวนสกอร์ยังน่าผิดหวังอยู่ แต่ทว่าการมีส่วนร่วมกับเกมและเข้ากับ แท็คติกของ กุนซือ รูเบน อโมริม ต้องบอกว่าดีขึ้นเรื่อยๆจริงๆสำหรับ โจซัว เซิร์กเซ่ กับบทบาทตัวรุกหลังกองหน้า ซึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัดตามที่บอกนั่นแหละ 9.5
" อาจารย์ดู๋ " ที่รูปร่างดูผอมเพรียวขึ้น พริ้วและทำได้ดีมากๆ เวลาครองบอล บังบอล ไม่ให้ผู้เล่น เรอัล โซเซียดาด เข้าถึง เก็บบอลได้ แถมยังพยายามปั้น ราสมุส ฮอยลุนด์ อย่างสุดขีดตอนที่ทีมเยือนเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10คน
เซิร์กเซ่ มีจุดดีอีกอย่างที่โชว์ให้เห็นว่าทำได้ยอดเยี่ยม นั่นก็คือการจ่ายบอลทะลุช็อตคีย์พาส (3ครั้ง) เรียกว่าทำได้ดีไม่เป็นรอง บรูโน่ มากนักเลย อดีตกองหน้าโบโลญญ่า แม้ไม่ได้เร็วมาก แต่ก็ยังเลี้ยงบอลผ่านผู้เล่นทีมเยือนมากถึง 4ครั้ง
เซิร์กเซ่ น่าจะมีแอสซิสต์ด้วยซ้ำในครึ่งแรก เมื่อคลึงหลอกผู้เล่นโซเซียดาดในเขตโทษ แล้วปาดให้ ฮอยลุนด์ แปเฉียดเสาออกไปแบบเสียของสุดๆ หรือจังหวะได้วางเท้ายิงในเขตโทษ ก็ไปติดเซฟ อเล็กซ์ เรมีโร (ก่อนต่อเนื่องเป็นจุดโทษ)
จริงๆ โจซัว เซิร์กเซ่ มีโอกาสยิงมากถึง 4ครั้งด้วยกัน แต่ใกล้เคียงให้เสียวแค่หนเดียว เอาตรงๆ ในเรื่องของการยิงประตู แข้งเบอร์11 ควรต้องปรับปรุงเรื่องจังหวะจบหน่อย แถมยังเป็นกองหน้าที่ยิงบอลไม่ค่อยแรงอีกด้วย 6ประตู จาก43นัดรวมทุกรายการ เป็นจำนวนที่จุ๋มจิ๋มเกินไปจริงๆ
3จุดโทษไม่พอเกือบมี 4 / ชูบีเมนดี ไม่ช่วยอะไร
เลก2นี้ เรอัล โซเซียดาด ได้ขุนพลตัวเก่งในแดนกลางอย่าง มาร์ติน ซูบิเมนดี้ กลับมา คาดว่าน่าจะทำให้เกมตรงแดนกลางแน่นขึ้น แต่ทว่าก็ไม่เลย ไม่รู้เป็นเพราะว่าความไม่มีลูกหนัก หรือการไม่ได้เพรสซิ่งเปล่า ที่ทำให้ มิดฟิลด์ปีศาจแดงอย่าง กาเซมิโร่ เล่นได้ดีโคตรๆ มีเวลาให้คิดจ่ายบอลช็อตสำคัญๆ
ซูบิเมนดี้ รวมถึงอีก2มิดฟิลด์อย่าง ปาโบล มารีน และ บราอิส เมนเดซ ขาดลูกหนักและพลังงาน ทำให้ทั้ง บรูโน่ แฟร์นันเดซ และ กาเซมิโร่ ได้มีเวลาเล่นบอลไม่มีใครมาบีบ เลยผ่านบอล หรือวิ่งสอดขึ้นหน้าได้สบายๆ
เอาจริงๆเกมนี้ 10นาทีแรก ด้วยความที่แมนยู เหมือนจะลนๆด้วย บวกกับทีมจากแคว้นบาสก์ อุตส่าห์ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากจุดโทษ ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเป็นรูปเกมที่เข้าทางพวกเขาแล้ว แต่ทว่าหลังจากนั้นทีมของ อิมานอล อัลกูอาซิล กลับโดนตีเสมออย่างรวดเร็ว
ส่วนมาตรฐานการเป่าของผู้ตัดสินชาวฝรั่งเศสอย่าง เบอร์นัว บาสเตียน ดูจะนกหวีดหวานเหลือเกิน จังหวะของ เดอ ลิกต์ ทีทำฟาวล์ในเขตโทษ แทบจะ50/50 ให้ก็ได้ไม่ให้ก็ได้ แต่เจ้าตัวก็เป่าเป็นจุดโทษ
หรือจุดโทษที่2ของ แมนฯยูไนเต็ด ดูจะเป็น แพทริค ดอร์กู ที่แตะหลบแล้วไปชน อาริตซ์ เอลุสตอนโด เองมากกว่า รวมถึงเกือบให้จุดโทษแฮตทริกเจ้าบ้าน จากจังหวะของ ดอร์กู อีกครั้ง แต่ทว่า VAR ช่วยตัดสินไว้ได้
นั่นเท่ากับว่าเปาแดนน้ำหอมรายนี้ เป่าจุดโทษไปถึง3ลูก ที่จริงจะเป็น4แล้ว แต่โดนยึดคืน แถมยังมีใบเหลืองว่อน 8ใบ หลายจังหวะน่าฟาวล์ก็ไม่ฟาวล์ แถมยังนกหวีดหวานเป่าง่ายเกินจังหวะสำคัญๆอีกด้วย