ไร้ปาฎิหารย์ ที่ เบอร์นาบิว ! ปืน ย้ำชัย บุกเชือด ชุดขาว 2-1 มาร์ติเนลลี่ สวนทดเจ็บ

ไร้ปาฎิหารย์ ที่ เบอร์นาบิว ! ปืน ย้ำชัย บุกเชือด ชุดขาว 2-1 มาร์ติเนลลี่ สวนทดเจ็บ


แม้ว่านัดแรกจะแพ้จาก เอมิเรต สเตเดี้ยม ออกมาอย่างขาดลอย 0-3 แต่ทว่าด้วยความเป็นเจ้ายุโรป และเป็นราชาแห่งถ้วยนี้ นั่นทำให้ เรอัล มาดริด ยังคงหมายมั่นปั้นมือมากๆ ที่จะสร้างสิ่งพิเศษที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เพื่อพลิกนรกผ่านอาร์เซน่อล เข้ารอบรองชนะเลิศได้  ได้มีการกระตุ้นแฟนบอล ปิดหลังคาเพื่อเก็บเสียง แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ราชันชุดขาว ไม่ได้ใกล้เคียงกับการหักด่านปืนโตเลย และแพ้ไปอีกเลกสอง 1-2 ส่งผลให้ทีมของ มิเคล อาร์เตต้า ผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปได้ ด้วยสกอร์รวมขาดลอย 5-1

 

เรอัล มาดริด ที่ยังหวังเซอร์ไพรส์ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูซีแอล คาร์โล อันเชล็อตติ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นบางตำแหน่ง จากเกมแรกที่อังกฤษ โดยยึดมั่นในระบบการเล่น 4-3-3 โกล ติโบต์ กูร์กตัวส์ แบ็กขวา-ซ้าย ลูคัส บาสเกซ และ ดาบิด อลาบา คู่เซ็นเตอร์ ราอูล อาเซนซิโอ 3มิดฟิดล์ตรงกลาง เฟเดรีโก วัลเวร์เด- โอเรเลียง ชูอาเมนี พร้อมด้วย จู๊ด เบลลิงแฮม

3ประสานแนวรุกแนวเร็วด่วนจี๋ โรดรีโก้ - คิลิยัน เอ็มปั๊ปเป้ และ วินิซิอุส จูเนียร์ ฟากอาร์เซน่อล กับแผน 4-3-3 พวกเขาใช้11ผู้เล่นตัวจริงแบบนัดแรก ผู้รักษาประตู ดาบิด ราย่า แผงแบ็กโฟร์ เยอร์เรียน ทิมเบอร์ - ยาคุบ คิวิออร์ - ซาลิบา และ ไมล์ส ลูอิส-สเกลลี
 

มิดฟิลด์ มาร์ติน โอเดการ์ด ยืนสูงกว่าใครเพื่อน โดยมี เดแคลน ไรซ์ และ โธมัส ปาร์เตย์ อยู่ด้านหลัง แนวรุกฝั่งขวา บูกาโย่ ซาก้า - กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ หน้าเป้าจำเป็นแก้ขัดอีกนัด มิเกล เมรีโน่ เริ่มเกมเป่านกหวีดจากผู้ตัดสิน ฟร็องซัว เลอแต็กซีเย เป็นเจ้าบ้านที่ครองบอลได้มากกว่า
 

แต่ทว่าด้วยความเสียค่าโง่ของ อาเซนซิโอ ที่ไปดึง เมริโน่ จากลูกตั้งเตะ บวกกรรมการวันนี้นกหวีดหวาน จึงเป่าเป็นจุดโทษทันที น.21 ผู้รับหน้าที่สังหาร ซาก้า แต่ทว่าแข้งเบอร์7รายนี้ อยากโชว์เหนือจะชิปแบบ ปาเนนก้า แต่ กูร์กตัวส์ ไม่หลงเซฟไว้ได้

ซึ่งถัดมาอีก ราวๆ12นาที ราชันชุดขาว ก็ได้จุดโทษ เมื่อกรรมการมองว่า ไรซ์ ไปเหนี่ยว เอ็มปัปเป้ ในเขตโทษ แต่ทว่าพอไปฟังเสียงท้วงจาก VAR และ ไปดูภาพช้ารีเพลย์บนจอ เปาในสนามจึงเปลี่ยนคำตัดสิน ยึดจุดโทษเพราะ " ประธานเป้ " ล้ำหน้าไปก่อน ด้วยรูปเกมที่ค่อนข้างจืดชืด ทำให้จบ45นาทีแรกด้วยสกอร์ 0-0
 

ครึ่งหลังเริ่มมาได้ราวๆ 10นาที ชุดขาว ได้ลุ้นก่อนจากลูกยิงของ วินิซิอุส แต่ ราย่า ไม่เผลอเซฟได้ นาทีที่60 " อันเช่ " เปลี่ยนตัวรวดเดียวเลย3คน เอ็นดริค - ฟราน กาเซียร์ และ ดานี่ เซบาญอส ถูกส่งลงมา แต่ทว่า น.65 ก็เป็นปืนใหญ่ ที่ขึ้นนำก่อนจนได้
 

จากจังหวะค่อยๆต่อบอลในเขตโทษของ มาดริด จังหวะสุดท้าย เมริโน่ ไหลให้ ซาก้า ได้แก้ตัวหลุดไปชิปข้ามตัว กูร์กตัวส์ เข้าไปอย่างสวยงาม ปืนใหญ่บุกมานำ 1-0 น.65 แต่ทว่าหลังจากนั้นเพียง2นาที ความผิดพลาดของ ซาลิบา ไปเหม่อไม่เห็น วินิซิอุส ที่เข้ามาฉกบอล แล้วยิงเข้าไปง่ายๆ เจ๊า 1-1 น.67


 

เรอัล มาดริด ที่พยายามมากๆจะแซงขึ้นนำให้ได้เพื่อเรียกโมเมนตัม แต่แนวรับของทีมเยือนจากอังกฤษนั้นก็แน่นหนาเหลือเกิน ช่วงทดเจ็บ เอ็นดริค ตัวสำรอง ได้วอลเล่ย์ในกรอบเขตโทษแต่หลุดเสาไกลไป และท้ายที่สุดแล้ว ปืนโตก็มาฝังเจ้าบ้านแบบตายสนิทจริงๆ
 

จังหวะที่ มาดริด ดันสูงขึ้นไปหมด ลูกทีมของ มิเคล อาร์เตต้า ได้สวนกลับ เมริโน่ แทงบอลให้ มาร์ติเนลลี่ ได้วิ่งจากแดนตัวเอง ความเร็วเอาชนะ ฟราน กาเชียร์ เข้าไปดวลเดี่ยวกับ ติโบต์ กูร์กตัวส์ แล้วยิงหนีมุมเสาไกลเข้าไป นำ2-1 น.90+3 และชนะไปด้สวยสกอร์ดังกล่าว รวมผล2นัด ถล่ม ชุดขาวขาดลอย 5-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปเจอ เปแอชเช
 


ซาก้า พลาดจุดโทษแล้วไง

จริงๆนับตั้งแต่หายเจ็บกลับยาวกลับมา ยังเรียกฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้มากเท่าที่ควรสำหรับ บูกาโย่ ซาก้า ซึ่งเกมกับ เรอัล มาดริด " บี " มีโอกาสอันดีเลยที่จะผลิตสกอร์ให้อาร์เซน่อล ขึ้นนำและดับความหวังในการคัมแบ็กของ เรอัล มาดริด อย่างหมดสิ้น
 

อาเซนซิโอ้ ไปพลาดท่าดึง เมริโน่ ในเขตโทษ แล้วบังเอิญผู้ตัดสินนกหวีดหวานไปหน่อย เป่าให้เป็นจุดโทษโดนตอนแรก เป็น มาร์ติน โอเดการ์ด จะรับหน้าที่สังหาร แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วกัปตันทีมชาวนอร์เวย์ ส่งบอลไปให้ ซาก้า แทน
 

แต่ทว่า ซาก้า อาจเกิดความรู้สึกอยากโชว์เหนือไปหน่อย เลือกยิงชิปแบบ ปาเนนก้า แต่ทว่า กูร์กตัวส์ ที่พุ่งเดาทางไว้แล้ว ปัดออกไปได้ไม่ยาก โดยมีสถิติออกมาว่า เจ้าหนูเด็กปั้นปืนโตรายนี้ พลาดจุดโทษครั้งสำคัญๆ 3หน ทั้งนัดชิง ยูโร 2020 กับทีมชาติอิตาลี สถานการณ์ลุ้นแชมป์ ปี 2023 นัด เยือน เวสต์แฮม และล่าสุดกับ มาดริด
 

ถึงกระนั้นก็ดี นั่นไม่ได้ทำให้สมาธิหรือความมั่นใจของ บูกาโย่ ซาก้า หล่นหายไปเลย อาจจะด้วยความที่ ดาบิด อลาบา แทบไมใด้เล่นแบ็กซ้ายนาน ทำให้ ซาก้า เล่นอย่างง่ายดายหน่อย วิ่งพาช่องพื้นที่ได้ดี โดยเฉพาะจังหวะประตูขึ้นนำ1-0
 

ซาก้า ที่ตอนแรกอยู่กรอบเขตโทษด้านขวา ค่อยๆวิ่งไปรับบอลจาก เมรีโน่ หลุดไปยกผ่าน กูร์กตัวส์ อย่างเหนือชั้น แก้ตัวจากการพลาดจุดโทษได้สำเร็จ ซึ่งหลังจบเกม ริโอ เฟอร์ดินานด์ ถึงกับได้ออกมาชมว่า บูกาโย่ ซาก้า คือแข้งระดับโลกไปแล้ว
 


ไรซ์ เด่นทั้ง ที่ เอมิเรต และ เบอร์นาบิว



เกมแรกที่ เอมิเรต ต้องบอกว่าช่วงที่สกอร์ยัง 0-0 อาร์เซน่อล ก็ไม่ได้เหนือกว่า เรอัล มาดริด นัก แต่ทว่าก็มาได้ฟรีคิกปลิดวิญญาณของ เดแคลน ไรซ์ 2เม็ดนี่แหละที่ทำให้ เกมเล่นง่ายปลดล็อก และกลายเป็นเข้าทางในที่สุด ซึ่ง มิดฟิลด์เบอร์41รายนี้ ก็คว้า รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไป

 

พอมาเลก2ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว แม้ว่านัดนี้ ไรซ์ จะไม่มีโอกาสได้ฉายแสงซัดฟรีคิก แต่บทบาทของเจ้าตัวนั้นหนักไปทางเกมรับมากกว่า คุมเกมในแดนกลางของปืนโต ได้เป็นอย่างดี ทำได้ทั้งในบทบาทรับและรุก
 

มีสมาธิตลอดทั้งเกม และยุติธรรมมากๆแล้วที่ ไรซ์ ไม่ได้ทำให้ทีมเสียจุดโทษ เพราะโดน VAR เช็กอย่างละเอียดยึดคืน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ เดแคลน ไรซ์ เมื่อคืนนั่นก็คือการตัดบอล เพราะเจ้าตัวทำได้มากถึง4ครั้ง เคลียร์บอล3หน และบล็อคบอลอีก2ครั้ง
 

โดยเฉพาะจังหวะที่ตามไปสกัดบอลได้ทันกับช็อตที่ จู๊ด เบลลิงแฮม กำลังได้ง้างยิงจ่อๆ นั่นจึงไม่แปลกใจเลยที่หลังจบเกม ไรซ์ ได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกหน นอกจากฟอร์มในสนามจะดีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องชมมิดฟิลด์ค่าตัว105 ล้านปอนด์ ก็คือสมาธิระหว่างเกม
 

ไรซ์ มีจังหวะที่ต้องเจอบอลตุกติกจาก เบลลิงแฮม หรือจากแข้ง เรอัล มาดริด แต่เจ้าตัวก็ไม่มีสมาธิหลุดหรือปล่อยอารมณ์ไหลไปตามเกมเลย ซึ่งผิดกับ โธมัส ปาร์เตย์ ที่เล่นดี แต่น่าเสียดายมากๆที่ มิดฟิลด์ชาวกาน่า ไปน็อตหลุด โดนใบเหลืองง่ายๆ ทำให้จะพลาดลงในเกมแรก รอบรองกับ เปแอชเช
 


ปืน ถ้าตั้งใจจะเล่นรับก็ไม่เป็นรองใคร คิวิออร์ ดีเหลือเชื่อ

แม้จะโดนค่อนขอดว่าเป็นทีมศาสตร์มืด มีแท็กติกมากมายในการทำประตูจากลูกเช็ตพีช แต่ทว่าก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า อาร์เซน่อล ช่วง1-2 ปีหลัง เกมรับของพวกเขาเหนียวแน่น แข็งแกร่งเจาะยากจริงๆ ผ่านมา 32นัดในลีก พวกเขาเสียไปเพียงแค่ 27ประตู น้อยกว่าใครเพื่อน
 

กับ เรอัล มาดริด เมื่อคืน แน่นอนว่าปืนใหญ่ ต้องโดนเกมบุกของเจ้าบ้าน หวังกระหน่ำเข้าใส่เป็นพายุอยู่แล้ว เอาจริงๆ แนวรับอาร์เซน่อล แทบไม่ได้เจอบทบทสอบที่ลำบากอะไรมากเลย ลูกริมเส้นของ ชุดขาว ก็เป็นการปล่อยให้ครอสจากด้านไกล ไม่ใช่ไปสุดเส้นหลัง
 

เซ็นเตอร์ของพวกเขาก็ทำงานกันได้อย่างดี วิลเลี่ยม ซาลิบา ถ้าไม่นับลูกเหม่อ โดน วินิซิอุส ฉก แนวรับชาวฝั่งเศสนั้นทำได้ดีมากๆ มีจังหวะบังบอลจาก เอ็มปั๊ปเป้ ได้อย่างอยู่หมัด เหลี่ยมบอล และการยืนตำแหน่งดีมากๆ เคลียร์บอลได้มากถึง 11ครั้ง
 

นอกจากนี้แล้ว กว่าบอลจะมาถึงแนวรับปืนโต เหล่ามิดฟิลด์ของพวกเขาก็ชะลอความอันตรายไว้ได้อีก โดยเฉพาะกับ โธมัส ปาร์เตย์ ฝั่ง ไมล์ส ลูอิส-สเกลลี เล่นได้ดีและนิ่งเกินวัยไปมากจริงๆ หุบเข้ากลางและพาบอลกระชากไปข้างหน้าได้
 

ยาคุบ คิวิออร์ ที่ถูกกังวลมากๆ หลังจากที่ กาเบรียล เจ็บใหม่ แต่2นัดกับ เรอัล มาดริด กองหลังชาวโปแลนด์สอบผ่านฉลุย ลูกครอสด้านข้างเก็บกินได้หมด เคลียร์บอล5ครั้ง และบล็อคจังหวะยิงได้2หนที่เข้าตาสุดๆของ คิวิออร์ เห็นจะเป็นจังหวะ แย่งบอลด้วยหัวจาก เอ็นดริค แล้วโหม่งคืน ราย่า สบายๆ

 

สกอร์นัดแรกนั้นห่างเกินไป  เอ็นดริค ยังดิบจริงๆ

ด้วยสกอร์ที่ตามหลังมาในนัดแรก 0-3 นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ขาดลอยมากเกินไปจริงๆที่ เรอัล มาดริด จะคัมแบ็กสร้างปาฎิหารย์กลับมาได้ แม้จะมีเลก2ให้แก้ตัว ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว บวกกับต้องยอมรับว่าซีซั่นนี้ ราชันชุดขาว ก็ดร็อปลงจากฤดูกาลที่แล้วมากๆ
 

ก่อนเกม เรอัล มาดริด ถึงขนาดปิดหลังคาสนาม เพื่อให้เสียงแฟนบอลกระหึ่มที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ทว่านั่นก็แทบจะไร้ผลจริงๆเมื่อต้องไปวัดกันในสนาม โอเคแม้ว่าเจ้าบ้านจะคลองบอลได้มากกว่าแต่นั่นก็เป็นเพราะทีมเยือนเลือกปล่อยที่จะให้ มาดริด ครองบอล
 

ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สกอร์ยัง0-0 ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ยิ่งตื้อเข้าไปใหญ่ การได้ครอส ก็เป็นการครอสจากด้านข้าง ไม่ได้เลี้ยงไปชิดติดเส้นแล้วเปิดเข้ามา ยิ่ง3แนวรุก เรอัล มาดริด ตัวเล็ก นั้นยากมากๆที่จะขึ้นเอาชนะแผงหลังอาร์เซน่อลได้
 

ซึ่งก็ต้องชมทีมของ มิเคล อาร์เตต้า ด้วยที่ เล่นเกมรับอย่างมีวินัย แต่ ก็ไม่ได้อุดเพียงอย่างเดียว ยังคงสไตล์เดิมต่อบอลแม่นยำ บุกในจังหวะที่จำเป็น ตัวสำรองของ " โลส บลังโกส " ก็สร้างความแตกต่างอะไรไม่ได้มาก สไตล์คล้ายกันหมด
 

ตัวรุกอย่าง เอ็นดริค และ บราฮิม ดิอ๊าซ ดูจะมีแค่รายหลังเท่านั้นที่พอใช้ได้ แต่ เอ็นดริค วันเดอร์คิด บราซิล วัย18ปี ยังดิบไปจริงๆ เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าหนูรายนี้ จังหวะจะโคนผิดแปลกจากเพื่อนร่วมทีม วิ่งไลน์แปลกๆมีจังหวะได้หมุนยิงในเขตโทษ แต่ก็หลุดออกไปแบบไม่ได้ลุ้น
 


รูดิเกอร์ สู้ไม่ได้ก็เล่นตุกติกเลย

เชื่อว่าแม้สกอร์นัดแรกจะตามหลังขาดลอย 3-0 แต่ทว่าด้วยความเป็น เรอัล มาดริด ที่เป็นราชาถ้วยฟุตบอลหูใหญ่นี้ บวกด้วยการได้แก้ลำเล่นที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เชื่อว่าแฟนบอลน่าจะมีหวังอยู่ลึลึกๆแน่ รวมถึงตัวนักเตะเองด้วย
 

แต่ทว่าพอเล่นไปเรื่อยๆ โอกาสเข้าทำที่จะแจ้งของทีม คาร์โล อันเชล็อตติ แทบไม่มี จบ45นาทีแรก จบลงด้วยสกอร์ 0-0 แถมรูปเกมก็ค่อยๆตื้อไปใหญ่ จนมาโดน อาร์เซน่อล ขึ้นนำ 1-0 ของ ซาก้า แม้จะตีเสมอคืนได้เร็ว แต่จากรูปเกมชุดขาวนั้นลำบากจะกลับมาจากป่าช้าได้เหลือเกิน
 

อีกสิ่งที่ เรอัล มาดริด แพ้ อาร์เซน่อล ชัดเจน มากกว่าสกอร์เมื่อคืนนั่นก็คือ สมาธิและการควบคุมอารมณ์ในสนาม ราชันชุดขาว พอหมดมุกไร้หนทางเจาะ ลุกตุกติก ลูกแถม ลูกเล่นแรงเริ่มมาเป็นระยะ ตามอารมณ์ที่หงุดหงิด
 

จู๊ด เบลลิงแฮม มีออกงิ้วเป็นระยะๆ ทั้งดึงขา ไรซ์ ไว้ จากจังหวะสไลด์บอลแย่ง ดีที่เป็นคนบ้านเดียวกัน (อังกฤษ) เลยไม่บานปลาย นอกจากนี้ จู๊ด ยังมีช็อตหงุดหงิด กับจังหวะเหวี่ยงคอ ทิมเบอร์ เป็นนักมวยปล้ำดื้อๆ เพื่ออยากเล่นทุ่มเร็ว
 

และที่ออกลายมากที่สุดนั่นก็คือ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองหลังตัวตึงชาวเยอรมัน เข้าบอลคราวใด มีแถมให้ตลอด โดยเฉพาะจังหวะกับเจ้าหนู ลูอิส-สเกลลี ที่โดนเหนี่ยวล้มลงไปแล้ว มีย่ำแถมซ้ำไปตรงหน้าท้องอีก แม้ไม่รู้เจตนาแต่ก็สามารถแจกใบแดงให้ได้เลย

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง