ส่งปืนขึ้นจ่าฝูง ! หงส์ สมศักดิ์ศรี บุกเจ๊า เรือ 1-1 เทรนท์ ยิงเซฟ น.80
นี่ถือเป็นศึกแห่งฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกได้เลย ระหว่างการพบกันของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ทีมที่เป็นจ่าฝูงและรองจ่าฝูง ณ เวลานี้ โดยก่อนเกม เรือใบสีฟ้า มีข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะขุนพลตัวหลักอย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์ กับ เอแดร์ซอน ได้รับบาดเจ็บ แต่ทว่าสื่อหลายสำนักก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้ลงสนามทั้งคู่ และผลลัพธ์ก็เป็นอย่างนั้น
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาในชุดฟูลทีม 3-2-4-1 โดยที่เซอร์ไพรส์อาจจะเป็น มานูเอล อคานยี่ ที่ถูกขยับมาเล่นตรงกลางร่วมกับ โรดรี้ ซึ่งบทบาทของแข้งชาวสวิตรายนี้ จะเหมือนกับที่ จอห์น สโตนส์ เคยทำ ส่วน เฌเรมี่ โดกู ก็ได้ออกสตาร์ทตัวจริงก่อน แจ็ค กรีลิช
ทางฝั่งลิเวอร์พูลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาในชุดฟูลทีมเกือบที่สุดเช่นกัน แนวรุก3ประสาน ดิโอโก้ โชต้า - โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และที่กำลังร้อนแรงช่วงรับใช้ทีมชาติอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ส่วนในแผงกลางก็ดูมีเซอร์ไพรส์หน่อยตรงที่ เคอร์ติส โจนส์ ได้ออกสตาร์ทก่อน ไรอัน กราเวนแบร์ช
ข้ามไปที่แผงหลัง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เจ็บยาว ทำให้แบ็กซ้ายเป็น คอสตาส ซิมิกาส ได้ออกสตาร์ทอย่างต่อเนื่อง เริ่มเกมมาก็ต้องบอกว่า เป็นเรือใบสีฟ้าที่ดีกว่าตามเชิง เคาะบอล ต่อบอล จ่ายบอลได้แม่นยำ กว่า สร้างสรรค์โอกาสได้ต่อเนื่อง
บวกกับการที่ลิเวอร์พูลเหมือนกับ จะเน้นรับมากเกินไปหน่อย ทำให้เล่นเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้บวกแค่ในจังหวะโต้สวนกลับเท่านั้น โดกู " เดอะ แฟลช " สุดอันตราย เวลาลากจี้ ส่วน เออร์ลิง ฮาลันด์ ก็มีจังหวะถอยต่ำมานอกเขตโทษ บิงบอล บังบอล ทำได้หมด
และแล้วก็เป็นเรือใบสีฟ้า ที่ขึ้นนำไปก่อน จากจังหะหวดบอลยาวหวังสวนกลับพลาดของ อลิสซง เบ็คเกอร์ แล้วผู้เล่นหงส์แดงไปเหม่อ ปล่อยให้ นาธาน อาเก้ ได้ลากเข้ามาจ่ายให้ เออร์ลิง ฮาลันด์ ตวัดยิงด้วยซ้ายในเขตโทษ ขึ้นนำ 1-0 น.27 และจบ45นาทีแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
ออกสตาร์ทครึ่งหลังมา เหมือนพลพรรคหงส์แดง จะปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่ รวมไปจนถึง ทีมสีฟ้าเมืองแมนเชสเตอร์ เหมือนจะเกร็งและแผ่วกันไปเองด้วย ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ วิ่งเข้าบีบและเน้นเกมบุกมา บวกกับการเปลี่ยนตัวเร็วเหมือนจะได้ผลทั้ง โดยเฉพาะในรายของ ไรอัน กราเวนแบร์ช ที่มาแทน เคอร์ติส โจนส์ น.54
หลังจากที่ค่อยๆ นวด สร้างเกมบุกมาได้พักใหญ่ ลิเวอร์พูล ก็มาตีเสมอ1-1ได้สำเร็จ จากการเข้าทำที่ไม่มากจังหวะ โม ซาลาห์ จ่ายบอลย้อนให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ สอดเข้ามากดด้วยขวาเสียบมุม น.80 และจบเกมไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
การแบ่งแต้มกันไปของทั้งสองทีมส่งผลให้ เป็นการเปิดประตูสวรรค์ให้อันดับ3อย่าง อาร์เซน่อล ที่บุกไปเชือด เบรนท์ฟอร์ด ท้ายเกม 1-0 ขึ้นมานำเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ ส่วนลิเวอร์พูล ก็ยังทำสถิติไม่เคยแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2นัดติดต่อกัน ในยุคของ เจเค
ฮาลันด์ ปลดล็อค ซัดประตูหงส์แดง
ก่อนศึกบิ๊กแมตช์ จะเริ่มขึ้น 2-3 วัน เหมือนจะมีข่าวลวงมาเช่นกันว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ มีอาการบาดเจ็บจนต้องถอนตัวออกจากทีมชาตินอร์เวย์ในเกมที่จะพบกับสก็อตต์แลนด์ และมีความเป็นไปได้ที่เจ้าตัวจะชวดลงสนามเกมดวลกับหงส์แดง
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้ว เออร์ลิง ฮาแลนด์ ก็ฟิตเต็มผังพร้อมล่าตาข่ายกับลิเวอร์พูล ซึ่งก่อนเกม ดาวยิงร่างยักษ์ มีสถิติที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในการเจอกับลิเวอร์พูล เพราะ4นัดทีผ่านมาเจ้าตัว ยังยิงเบิกสกอร์หงส์แดงได้เพียง1เม็ด ในถ้วย คาราบาว คัพ
ในพรีเมียร์ลีกมีเพียง ลิเวอร์พูล และ เบรนท์ฟอร์ด เท่านั้นที่ รอดจาก ฮาลันด์ ไปได้ และแล้ววินาทีปลดล็อกของเจ้าตัวก็มาถึงเมื่อ รับบอลจาก นาธาน อาเก้ แล้วยิงด้วยซ้ายเสียบมุมเข้าไป ซึ่งตลอดทั้งเกม หอกวัย23ปี เล่นได้ดีมากๆ
ทั้งในเรื่องของ การพักบอล บังบอล ลงมาล้วงบอล รวมไปจนถึงการเอาตัวรอดเวลาโดนบีบในพื้นที่แคบๆ ประตูเมื่อคืน ส่งผลให้ ฮาลันด์ ทำสถิติยิงในพรีเมียร์ลีก ได้ครบ50ประตู เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เพียง 48นัดเท่านั้น ทุบสถิติ 65นัดของ แอนดี้ โคล ไปอย่างราบคาบ
โดย50ประตูของ เออร์ลิง ฮาลันด์ ในพรีเมียร์ลีก นั้นหลากหลายมากๆทั้ง ศรีษะ 10ลูก - เท้าขวา 6 - เท้าซ้าย 33 แถมยังมีการทำประตูจากอวัยวะอื่นๆ (ไข่) มาด้วย1ลูกอีกด้วย และมาจนถึงตอนนี้ (ซีซั่นนี้) เจ้าตัวก็ทำไปแล้วถึง13ตุง ขึ้นนำเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก
อคานยี่ และ อาเก้ 2แข้งเล่นได้ดีเกินคาดของเรือใบ
เนื่องด้วย ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย โชว์เหวออย่างน่าเกลียดในเกมที่โดน เซลซี ตีเสมอ 4-4 ทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกที่จะดร็อปกองหลังชาวโครเอเชียรายนี้ แล้วให้โอกาส นาธาน อาเก้ แทน
ส่วนในแผงมิดฟิลด์ มานูเอล อคานยี่ ถูกขยับมาเล่นตรงกลางร่วมกับ โรดรี้ เนื่องจาก มัตเตโอ โควาซิซ ยังมีอาการบาดเจ็บ รวมไปจนถึง คัลวิน ฟิลลิปส์ ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังมองว่าไม่ดีพอที่จะลงสนามตัวจริงให้ซิตี้
อาเก้ ทำได้ดีมากๆในการรับมือกับ โม ซาลาห์ ตามติดชิดตัวตลอดเวลาสตาร์อียิปต์รายนี้ได้บอล ไม่ให้เล่นง่ายๆ และเป็นผู้ที่เลี้ยงตะลุยผ่าน2แข้งหงส์ แล้วจ่ายไปให้ ฮาลันด์ ซัดประตูขึ้นนำ 1-0 แต่ก็ทำได้ไม่ดีพอ กับลูกถูกตีเสมอ 1-1 จาก เทรนท์
ส่วน มานูเอล อคานยี่ ที่หลายๆคนเชื่อว่าน่าจะหมดแล้วถ้าวัดจากฟอร์มกับ ดอร์ทมุนด์ แต่ทว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กลับเอามาชุบชีวิตใหม่ได้เวิร์คมากๆ เมื่อคืน แข้งชาวสวิตรายนี้ ได้สวมบทบาทขยับไปเป็นมิดฟิลด์ตรงกลาง
อคานยี่ ทำได้เยี่ยมทั้ง การออกบอลเวลาขึ้นเกมรุก แย่งบอล และแบ่งเบาช่วยงาน โรดรี้ ได้เป็นอย่างดี มีสถิติที่ยอดเยี่ยมทั้ง เคลียร์บอล5ครั้ง เอาชนะลูกกลางอากาศ4ครั้ง
นอกจากนี้เจ้าตัวยังถือว่าปั่นป่วน อลิสซง เบ็คเกอร์ ได้พอสมควร เวลาเล่นลูกตั้งเตะ แม้ว่าจะเป็นการทำฟาวล์ทั้ง2ครั้งก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้ " พี่หมี " ลำบากใจสุดๆ เวลาโดนลูกบอมบ์เข้ามา แล้วมีผู้เล่นมาขวางทาง
โดกู โชว์ต่อเนื่องแต่เสียดายจังหวะสุดท้ายไม่เฉียบ
ไปๆมา ยึดตำแหน่งตัวจริงฝั่งซ้ายของ แจ็ค กรีลิช ได้เลย แม้ว่าจะพึ่งเก็บข้าวเก็บของมาเล่นที่อังกฤษ สำหรับ เฌเรมี่ โดกู ที่เวลาบอลไปถึงเจ้าตัว ดูอันตรายและคุกคามฝ่ายตรงข้ามได้ตลอด ด้วยสเต็ปเท้าที่เร็ว และ ไปกับบอลได้อย่างพริ้ว
" เดอะ แฟลช " ที่ประจำการทางฝั่งซ้าย พริ้วไหว และเล่นงาน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนล ได้ดีมากๆ แต่ทว่า โดกู นัดนี้เหมือนจะมาตายในจังหวะสุดท้ายตลอด เพราะจังหวะกระชากจี้ตรงริมเส้นแล้วตบเข้ากลาง ไม่ได้ทำให้เพื่อนร่วมทีม จบสกอร์เหน่งๆ มากพอ มีเพียงจังหวะของ อัลวาเรซ ที่ยิงออกไปอย่างน่าเสียดาย
โดกู มีสถิติหลังเกมที่สุดมากๆ เพราะเลี้ยงบอลผ่านมากถึง12ครั้ง เยอะที่สุดนับตั้งแต่เจ้าตัวได้ประเดิมพรีเมียร์ลีกมา แถมยังมีจังหวะจ่ายคีย์พาสได้4หน แต่อย่างที่บอก ทุกอย่างดีหมด แต่มาเสียตรงจังหวะสุดท้ายตลอด
เวลาโดนบีบจากนักเตะหงส์แดง ปีกชาวเบลเยี่ยม รายนี้ก็อาศัยความคล่องและจุดศูนย์ถ่วงดีเอาตัวรอดได้เสมอ การเล่นของเจ้าตัวดูจะเป็นคอมโบที่เข้ากันกับ แบร์นาโด้ ซิลวา มากๆ เพราะเป็นนักเตะเสียบอลยากทั้งคู่ เหมือนมีตะขอเกี่ยวบอลไว้
เกมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืน มักจะเลือกถ่ายไปด้านซ้ายตลอด บวกกับ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ที่เป็นเพลย์เมคเกอร์ ที่ไม่ใช่วันของแข้งอาร์เจนติน่ารายนี้เลย เพราะทำอะไรผิดพลาดไปหมด บวกกับ ฟิล โฟเด้น ดวงบอลมากไปหน่อย มักจะเลือกยิงเองในจังหวะที่ควรจ่ายมากกว่า
เทรนต์ ซัดกู้ชีพ คล็อปป์ ปรับวิธีการเล่นครึ่งหลัง เวิร์ค
แม้ว่าในเรื่องของเกมรับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จะโดนเผาเครื่องมากๆโดย เฌเรมี่ โดกู แต่ทว่า นั่นก็เป็นการทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ในการประกบติด ไม่ให้ปีกชาวเบลเยี่ยม ได้เล่นจังหวะสุดท้ายง่ายๆ บวกกับฟอร์ม ณ นาทีนี้ของ โดกู ก็ยากมากๆที่จะหาใครมาหยุดยั้ง
แต่ทว่าในเรื่องของเกมรุกการจ่ายบอลต่อบอล TAA ทำได้ดีมากๆในครึ่งหลัง เป็นคอมบิเนชั่น ที่ดีกับ โม ซาลาห์ และสุดท้ายก็เป็น " บังโม " นี่แหละ ที่จ่ายหักกลับมาให้ เทรทท์ กดตูมเดียว เรียดเสียบตาข่าย ตีเสมอ 1-1
แบ็กเบอร์ 66รายนี้ มีสถิติที่ยอดเยี่ยมทั้ง เแย่งบอลกลับมาครองได้10ครั้ง (มากที่สุด) - ครอสบอล 4ครั้ง - ตัดบอล 2ครั้ง และเลี้ยงบอลผ่านมากถึง 7ครั้ง โดย แกรี่ เนวิลล์ คอมเมนเตเตอร์ ได้ยกให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เลยทีเดียว
ในเรื่องของการแก้เกมต้องชื่นชม เจอร์เก้น คล็อปป์ เหมือนกัน เพราะเมื่อดูจากสถานการณ์ในครึ่งแรก บวกด้วยสกอร์ต้องบอกว่า หากเล่นในรูปแบบเดิม ก็รอที่จะโดนนวดต่อไป รอแพ้ได้เลย แต่ทว่าออกสตาร์ท 45นาทีหลัง เจเค ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่
ทีมเครื่องจักรสีแดง มาเล่นในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง วิ่งเข้าบีบใส่ เจ้าบ้าน เป็นฝ่ายครองบอลได้มากขึ้น บวกกับ ซิตี้ ไม่เฉียบขาดหาลูกที่2ไม่เจอ ทำให้หงส์แดงสามารถพลิกกับมาเสมอได้ การถอด เคอร์ติส โจนส์ แล้วให้ กราเวนแบร์ช ลงมาคือเรื่องที่ถูกต้อง
นูนเญซ ตัดสินใจแปลก ฟอร์มทีมชาติหาย
กลับไปรับใช้ทีมชาติบ้านเกิด อุรุกวัย ก็กดไปได้3ประตู สำหรับ ดาร์วิน นูนเญซ รวมถึงภาพรวมในฤดูกาลนี้ กองหน้าเจ้าของค่าตัว 100ล้านยูโร มีสถิติการล่าตาข่ายที่ยอดเยี่ยมเลย 7ประตู รวมทุกรายการ
แต่ทว่าความเฉียบคมในการจบสกอร์ยังเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับเจ้าตัวเช่นกัน เพราะบางจังหวะที่มุมยิงยากสุดๆ นูนเญซ เสกบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้อย่างงดงาม แต่บางช็อตที่ง่ายแบบหมูสุดๆ เจ้าตัวกลับทำหมูหกซะงั้น
กับ ซิตี้ เมื่อคืน ดาร์วิน นูนเญซ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในตำแหน่งหน้าเป้า มีโอกาสจบสกอร์มากถึง4ครั้ง ด้วยกัน ซึ่งก็มีทั้งซัดออกไปเอง และ ไปติดเซฟ เอแดร์ซอน เวลาครองบอลอดีตดาวยิงเบนฟิก้า ดูอันตรายมากๆ
มีจังหวะน่าเสียดายตรงที่ น่าจะเลือกยิงเอง แต่กลับส่งให้ ซาลาห์ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พร้อมยิงเท่าไหร่ รวมถึงช็อตจ่ายทะลุช่องมาให้ของ โดมินิค โซโบซไล นูนเญซ กลับมากจังหวะไปหน่อย จนโดน รูเบน ดิอ๊าซ จิ้มบอลออกไปก่อน
ดาร์วิน มี ศักยภาพ ที่จะก้าวขึ้นไปเป็นดาวยิงระดับท็อปได้ แต่ทว่าน่าจะต้องขัดเกลาอีกในระดับหนึ่งในเรื่องของความคมในการจบสกอร์ เรื่องการหาพื้นที่ในเขตโทษ ความเร็วต่างๆเจ้าตัวทำได้เยี่ยมอยู้แล้ว นอกจากนี้หลังจบเกม ดาร์วิน นูนเญซ ยังมีจังหวะปะทะคารมเดือดกับกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงขนาดทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเข้ามาช่วยสงบสติอารมณ์เลยทีเดียว
- คอลัมน์นิสต์
- 335
- 26 พ.ย. 2566