ดูกูเร่ ซัดเปรี้ยง พาทอฟฟี่รอด ! 5 เหตุการณ์สำคัญพรีเมียร์ลีก นัด 38
เผลอแป๊ปเดียวรูดม่านปิดฉากไปแล้วสำหรับพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2022-2023 ด้วยความที่มีฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์มาขั้นกลางทำให้ ซีซั่นนี้ต้องจบช้ากว่าปรกติไปราวๆ 1-2สัปดาห์ ซึ่งก่อนนัดที่38 ทุกอย่างอันดับในตารางก็แทบจะได้บทสรุปหมดแล้ว หรือเพียงแค่ การหาอีก2ทีมที่จะตกชั้นตาม เซาธ์แฮมป์ตัน และหาทีมจบอันดับ3และ4 ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ นิวคาสเซิ่ล
ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นัดที่ 36 ทำให้ นัดส่งท้ายซีซั่นนี้ พวกเขาเก็บตัวหลักไว้หลายราย เก็บสด ไว้ดวลในนัดชิงชนะเลิศ 2รายการที่เหลืออย่าง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดสุดท้ายที่ไม่เน้นมากนัก ไร้เงา เควิน เดอ บรอยน์ - เออร์ลิง ฮาแลนด์ - โรดรี้ -อิลคาน กุนโดกัน รวมไปจนถึง จอห์น สโตนส์
ทำให้นัดสุดท้ายเรือใบออกไปพ่าย เบรนท์ฟอร์ด 1-0 นั่นทำให้ " เดอะ บีส์ " กลายเป็นทีมเดียวในฤดูกาลนี้ที่เอาชนะ เรือใบสีฟ้า ได้ทั้งไปและกลับ ส่วน ลิเวอร์พูลที่ทำคะแนนไปเล่น ยูซีแอล ไม่ทันแล้ว ต้องบุกไปเยือน ทีมบ๊วยที่ตกชั้นไปนานแล้วอย่างเซาธ์แฮมป์ตัน
การเลือกพักทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซง เบ็คเกอร์ บวกด้วยเป็นเกมที่ไม่มีความหมายเปิดหน้าแลกกันสนุกสนาน ทำให้สกอร์ไปจบลงอย่างเมามันชนิดผลัดกันนำ ผลัดกันตาม 4-4 และเป็นการเฝ้าเสานัดแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของ ควีวีน เคเลเฮอร์ ก่อนที่จะย้ายออกจากทีมไป
ทางด้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีเสียวมากๆ ช่วงหนึ่งที่โดน ลิเวอร์พูล จี้มาเหลือเพียง1แต้ม กับการชวดไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มาเร่งคว้าชัย4นัดสุดท้าย รวมถึงเมื่อคืนกับ ฟูแล่ม (2-1) แซงนิวคาสเซิ่ล จบอันดับ3 ขึ้นไปอีก หลังสาลิกาทำได้เพียงแค่เสมอกับเซลซี บวกกับยูไนเต็ดเองเก็บ3แต้ม และนำอยู่แล้วก่อนหน้านั้นแล้ว
มาถึงความระทึกขวัญเรื่องการหล่นไปเล่น เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ ก่อนจะออกสตาร์ทพร้อมกัน 22.30 10คู่สุดท้าย เอฟเวอร์ตัน - เลสเตอร์ ซิตี้ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3สโมสรนี้ จะมีผู้อยู่รอดเพียงแค่1เท่านั้น ซึ่งสถานการณ์ก่อนแข่งต้องบอกว่าทุกอย่างอยู่ในมือของทอฟฟี่สีน้ำเงิน เพราะพวกเขากุมชะตาตัวเองอยู่
เอฟเวอร์ตัน นี่นัดสุดท้ายขอเพียงชนะบอร์นมัธ พวกเขาก็จะรอดตกชั้นทันที โดยที่ต้องไม่ไปลุ้นคู่อื่น และสุดท้ายลูกทีมของ ฌอน ไดซ์ ก็ทำจ็อบของตัวเองได้สำเร็จ เชือดทีมดังจากแดนใต้ไป 1-0 จากลูกยิงไกลวอลเล่ย์เป็นปืนกลของ อับดูราย ดูกูเร่ 57
ส่วน เลสเตอร์ ซิตี้ ที่แม้นัดสุดท้ายจะเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ เวสต์แฮม ได้ 2-1 แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมเจ้าของคนไทย หลุดเงื้อมือมัจจุราช ไปเล่น เดอะ แชมเปี้ยนชิพ หลังจากที่เคยสร้างนิยายสุดมหัศจรรย์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-2016
ทางฝั่งของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่สถานการณ์ก่อนแข่งยากมากๆที่จะรอดตกชั้น สุดท้ายแล้ว แซม อัลลาไดซ์ ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เกมสั่งลาที่ เอลแลนด์ โร้ด พลพรรคยูงทองไม่ได้ลุ้นอะไรเลย เพราะโดน ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส บุกมาโขยกถล่มยับ 4-1 ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว ทีมดังย่านยอร์คเชียร์ต้องกลับไปเล่น ชปช.อีกครั้ง หลังขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิได้เป็นฤดูกาลที่3
ทอฟฟี่ทำได้ ในการกุมชะตาตัวเอง ดูกูเร่ ฮีโร่
ก่อนเกมนัดสุดท้ายที่38จะเริ่มต้นขึ้นเอฟเวอร์ตัน ซึ่งอยู่ที่17 เป็นอันดับสุดท้ายที่จะรอดพ้นจากการตกชั้น ทอฟฟี่สีน้ำเงินคือผู้กุมชะตาของตัวเอง ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยในเวทีพรีเมียร์ลีกหรือไม่ เพราะจะได้เล่นในบ้าน ต้อนรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ ที่ลอยลำรอดจากการตกชั้นไปแล้วก่อนเกมนัดสุดท้าย
เอฟเวอร์ตัน 33 (-21) / เลสเตอร์ ซิตี้ 31(-18) และ ลีดส์ ยูไนเต็ด 30 (-27) นี่คือสถานการณ์ขับเคี่ยวของการดิ้นรนหนีตกชั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ได้เปรียบอยู่มากๆ เพราะหากนัดสุดท้ายที่เจอบอร์นมัธ พวกเขาเก็บ3แต้มได้ทุกอย่างก็จะจบทันที
45นาทีแรกที่ กูดิสัน ปาร์ค ต้องบอกว่าแม้เจ้าบ้านจะเหนือกว่า แต่ด้วยสถานการ์ณที่บีบขั้น บวกกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ขึ้นนำ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ไปก่อน เราจึงได้เห็นเอฟเวอร์ตัน ออกอาการเกร็งชัดเจน แม้จะครองบอลสร้างเกมบุกได้ แต่ด้วยความกดดันทำให้พวกเขาพลาดไปหมด
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามวินาทีที่ เอฟเวอร์ตัน ทำการปลดล็อดก็เกิดขึ้น จากลูกวอลเล่ย์เป็นปืนไฟสุดสวยของ อับดูลาย ดูกูเร่ น.57 ประตูดังกล่าวแทบจะทำให้แฟนบอลที่กูดิสัน ปาร์ค บ้าคลั่งกันเลยทีเดียว
การนำอยู่แค่ลูกเดียว บวกมีช่วงทดเวลาบาดเจ็บยาวถึง10นาที ทำให้สาวกเอฟเวอร์โตเนี่ยน ลุ้นเยี่ยวเหนียวสุดๆ ก่อนที่จะมาดีใจสุดเสียง หลังสิ้นนกหวีดยาว ฌอน ไดซ์ ทำภารกิจของตัวเองได้สำเร็จ พาทอฟฟี่รอดตกชั้น ส่งผลให้เอฟเวอร์ตัน ยังคงไม่เคยหล่นจากลีกสูงสุดเลยนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากดิวิชั่น1มาเป็น พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 1992-1993
ว่ากันว่าเกมสำคัญที่สุดที่ทำให้ทอฟฟี่รอดตกชั้นในฤดูกาลนี้ และถือโมเมนตัมได้เปรียบกุมชะตาตัวเองนั่นก็คือ แมตช์เซอร์ไพรส์ บุกไปถล่ม ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 5-1 นัดที่35 สำหรับ กุนซือหัวเกรียน อย่าง ฌอน ไดซ์ ก็ทำภารกิจของตัวเองได้สำเร็จ ซึ่งเชื่อว่าหากทีมสีน้ำเงินใช้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด คุมบังเหียนต่อ พวกเขาไม่น่ารอดตกชั้นแน่ๆ
จิ้งจอกสยาม จากเทพนิยาย สู่การตกชั้น
จากเทพนิยายสุดเหลือเชื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยอัตราต่อรอง 1/5,000 เมื่อฤดูกาล 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยขึ้นถึงจุดสูงสุดก็คืนสู่สามัญอีกครั้ง ด้วยการตกชั้นกลับไปเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ ในฤดูกาลนี้ เมื่อจบอันดับที่ 18ของตาราง
เลสเตอร์ ซิตี้ ส่อแววเห็นปัญหามาตั้งแต่ต้นฤดูกาลแล้ว เพราะปล่อย2ผู้เล่นคนสำคัญอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ไปให้กับ นีซ และขายทำกำไร เวสลี่ย์ โฟฟาน่า เซ็นเตอร์ดาวรุ่ง ไปให้กับเซลซี ด้วยค่าตัวสุดแพง80ล้านปอนด์
โอเคเรื่องการย้ายออกไปของนักเตะถือว่าเป็นธรรมชาติของเส้นทางอาชีพค้าแข้ง แต่ทว่าการซื้อเข้ามาชดเชยนี่สิเป็นปัญหา เซ็นเตอร์ที่ถูกซื้อเข้ามาแทนอย่าง เวาท์ ฟาสต์ กลายเป็นบ่อน้ำมันให้คู่แข่งโจมตีอย่างเมามันเลย ซึ่งเซ็นเตอร์หัวฟูรายนี้ การันตีคุณภาพด้วยการทำเข้าประตูตัวเองถึง2ครั้งในเกมเดียวกับลิเวอร์พูล
เมื่อคืน เลสเตอร์ ซิตี้ มีช่วงที่รอดตกชั้นแบบเรียลไทม์ ช่วงที่ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ยิงให้ทีมขึ้นนำ เวสต์แฮม 1-0 น.34 แต่ก็มามีสถานการณ์ที่คับขันตอนที่ ดูกูเร่ ยิงให้เอฟเวอร์ตันขึ้นนำ 1-0 อีกสนามหนึ่ง น.57
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ จิ้งจอกสยาม ไม่รอดจากการตกชั้น นั่นก็คือเกมรับที่รั่วไหล โดนกระซวกตาข่ายไป 68ลูก จาก38นัด แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มาเป็น ดีน สมิธ ก็ไม่อาจหยุดรูรั่วไหว
" เดอะ ฟ็อกส์ " เคยมีผลงานที่ดีช่วงเดือนตุลาคมถึง พฤศจิกายน หลังชนะ5จาก8นัด แต่ก็มาทรุดหลายครั้งทั้งเปิดฤดูกาล 7นัดแรก แพ้ไป6 เสมอ1 / และช่วงกลางกุมภาพันธ์ไปจนถึง กลางเมษายน เลสเตอร์ แพ้8- เสมอ1 จาก9นัด ทำให้ท้ายที่สุดโกงความตายไม่ได้
แน่นอนว่าการหล่นลงไปเล่น เดอะ แชมเปี้ยนชิพ จะทำให้สตาร์เด่นของพวกเขา ที่โชว์ผลงานได้ดีอย่าง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ (13ประตู) และ เจมส์ แม็ดดิสัน (10ประตู) ต้องถูกขายออกไปทำเงินเพื่อจุนเจือสโมสรแน่ๆกับรายได้ที่จะหายไปหลังตกชั้น
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ " จิ้งจอกสยาม " จะกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ได้ทันทีภายในฤดูกาลเดียวไหม หลังก่อนหน้านั้นเคยห่างหายไปนานถึง14ปี ก่อนกลับมาเล่นลีกสูงสุดได้
ลีดส์ เหมือนตกชั้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง
ก่อนแข้งต้องบอกว่าสถานการณ์ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในการรอดตกชั้น นั้นสาหัส สากรรจ์ สุดๆ เนื่องด้วยเงื่อนไข พวกเขาต้องเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส ให้ได้สถานเดียว และลุ้นให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ชนะ เวสต์แฮม ลุ้นให้ บอร์นมัธ ชนะเอฟเวอร์ตัน หรือถ้าเสมอกัน พลพรรคยูงทองต้องเอาชนะไก่เดือยทองด้วยผลต่าง3ประตูขึ้นไป
ซึ่งเปิดเกมมาเพียงแค่2นาที ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็แทบจะต้องไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้ว เพราะโดน แฮร์รี่ เคน ยิงนำไปก่อน และสุดท้ายถึงแม้จะสู้เต็มที่แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องพ่ายให้สเปอร์สไป 1-4 ตกชั้นต่อหน้าแฟนบอล ที่ เอล แลนด์โร้ด
31แต้ม จาก 38นัด โดนคู่แข่งล่อตาข่ายไป78นัด มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก เกมรับนี่แหละคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ทีมดังย่านยอร์คเชียร์กลับไปเล่น เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อีกครั้งเพราะมีถึง9นัดที่ ลีดส์ โดนคู่แข่งยิงไป3ลูกขึ้นไป
แนวรุกมีเพียง โรดริโก้ ที่พึ่งพาได้คนเดียว 13ประตู พาทริค แบมฟอร์ด ที่เคยเป็นความหวังตลอด ก็เจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง แถมเพื่อได้ลงสนามก็เหมือนจะปืนฝืดอีกต่างหาก ทำไปได้เพียง 4ประตู จาก18นัดตัวจริง และ10นัดตัวสำรอง
การขาด คัลวิน ฟิลิปส์ และ ราฟินญ่า ส่งผลกระทบต่อฟอร์มพวกเขาชัดเจน ส่วน แซม อัลลาไดซ์ ผู้จัดการทีมที่ว่ากันว่าเชี่ยวชาญด้านการตกชั้น 4นัดที่หวังเข้ามากู้สถานการณ์ เหมือนจะสั้นเกินไปสำหรับ "บิ๊กแซม " เพราะ เสมอ1 แพ้3
อย่าลืมว่าฤดูกาลแรกที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีก 2020-2021 ลีดส์ ยูไนเต็ด ภายใต้อุ้งมือ มาร์เชโล่ บิเอลซ่า จบสูงถึงอันดับ9 พร้อมสไตล์การเล่นการเล่นเพรสซิ่งดุดัน ก่อนที่ซีซั่นต่อมา เจสซี่ มาร์ช ที่มาคุมทีมครึ่งฤดูกาลหลัง จะรอดตกชั้นหวุดหวิดในนัดสุดท้ายจบที่ 17 พร้อมภาพการฉลองแบบเดินเข่าของราฟินญ่า
นักบุญหงส์ยิงสุดมันไส้แตก 4-4 เคเลเฮอร์ ลงส่งท้าย
ด้วยความที่หมดลุ้นทำอันดับไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้ว บวกกับเป็นทีมเกมที่แทบจะไม่มีความหมาย แค่เล่นให้ครบส่งท้ายฤดูกาลนัดที่38 รวมรวมถึงเจ้าบ้านเซาธ์แฮมป์ตัน ก็ตกชั้นเป็นที่เรียบร้อย นี่จึงทำให้เป็นเกมเปิดแรกเมามันสุดๆ
แนวรุกลิเวอร์พูล ถือว่าจัดอาวุธหนักในแนวรุกจัดกันลงสนามอย่างครบครัน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ - ดิโอโก้ โชต้า และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ (เกมสุดท้ายในสีเสื้อหงส์แดง) แต่ทว่าแนวรับนั้น ถือว่าเอาชุดสำรองเลยก็ว่าได้
เพราะมีทั้ง โจ โกเมซ - โฌแอล มาติป และ คอสตาส ซิมิกาส รวมไปจนถึงผู้รักษาประตู ควีวีน เคลเลเฮอร์ ที่กำลังจะย้ายทีม ได้ลงเล่นในเกมลีกแทน อลิสซง เบ็คเกอร์ นัดแรกในซีซั่นนี้
การไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในสนาม รวมถึงความห่างชั้นของ อลิสซง เบ็คเกอร์ กับ เคลเลเฮอร์ ทำให้ ลูกยิงเข้ากรอบของ เซาธ์แฮมป์ตัน แทบจะใส่สกอร์ได้เลย ออกสตาร์ทเพียง12นาที หงส์แดงก็บุกมานำนักบุญถึง 2-0
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามเกมมาถึง น.64" เดอะ เซนส์ " ที่เล่นด้วยความไม่กดดันก็มาพลิกแซง 4-2 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ อย่างไรก็ดีลิเวอร์พูลที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นทีมเกมรุกคุณภาพคับแก้ว ก็มาตีเสมอเป็น 4-4 ได้สำเร็จ น.72 และ 73
โอเค แม้ว่าจะเป็นเกมไม่มีความหมายอะไร เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เน้นมากด้วย แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหงส์แดงในยามที่ไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ รวมไปจนถึง เคเลเฮอร์ ที่กำลังจะย้ายทีม ว่าคุณภาพความหนึบห่างจาก อลิสซง มากขนาดไหน
ส่วนเซาธ์แฮมป์ตัน ที่ตกชั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เลื่อนชั้นมาในฤดูกาล 2012-2013 ดูจากสภาพทีมแล้ว ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนที่นักบุญจะได้กลับมาโลดแล่นยังเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง สตาร์ดังของพวกเขาที่หลายทีมจ้องอยู่แน่ๆอย่าง เจมส์ วอร์ด พราวส์ และ โรมิโอ ลาเวีย
อำลา ชาก้า จากแฟนบอล กลายเป็นที่รัก
เผลอแป๊ปเดียวนี่คือฤดูกาลที่6ของ กรานิต ชาก้า กับอาร์เซน่อลแล้ว หลังย้ายมาจากชาลเก้ 04 เมื่อซัมเมอร์ปี 2026 ด้วยค่าตัวราวๆ 30-35 ล้านปอนด์ โดยช่วงแรกก็ทำผลงานน่าประทับใจ แต่ทว่าอยู่ไปสักพักก็เป็นแข้งที่แฟนบอลไม่ชอบซะงั้น ด้วยความที่ก่อความผิดพลาดบ่อย เช่นโดนใบเหลือง-แดง
เป็นผู้นำที่ไม่เหมาะสมยาวที่สวมปลอกแขน เมื่อปี2019นัดกับ คริสตัล พาเลซ ชาก้า ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ห้องเครื่องชาวสวิตเซอร์แลนด์ ถอดปลอกแขนกัปตันทีมโยนใส่เพื่อน ทำให้แฟนบอลได้ทำการโห่ยกใหญ่ ตอนถูกเปลี่ยนตัวออก
จนเหตุการณ์บานปลายตอบโต้กันในโซเชี่ยลในทีสุด ช่วงที่ ชาก้า สวมปลอกแขนกัปตันทีมปืนใหญ่ ตำนานสโมสรอย่าง เธียร์รี่ อองรี ได้เคยออกมาบอกว่าตนแทบจะอยากปิดทีวีหนีเลย
เมื่อคืน กรานิต ชาก้า ได้อำลาแฟนกันเนอร์ส ที่ เอมิเรต สเตเดี้ยม อย่างภาคภูมิ ด้วยการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน แถมยังซัดเบิ้ลไปได้2ประตูอีกด้วย ก่อนที่ไฮไลต์สำคัญจะมาถึง เมื่อกองกลางวัย30ปี ถูกถอดออกจากสนาม น.75 ให้ ฟาบิโอ วิเอร่า ลงมาแทน พร้อมเสียงปรบมือลั่นสนาม
ชาก้า ที่ในซีซั่น2022-2023นี้ เป็นตัวหลักในแผงมิดฟิลด์ร่วมกับ โธมัส ปาเตย์ ว่ากันว่านี่คือฟอร์มที่ดีที่สุดของ ชาก้า กับปืนใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะได้ลงตัวจริงในลีกไป 36นัด ซัดไปได้มากถึง7ประตู กับอีก7แอสซิสต์
จากนักเตะที่แฟนบอลยี้ แต่ทว่าด้วยการที่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด บวกใจเย็นขึ้นมีความเป็นผู้นำ เล่นเพื่อทีมมากกว่าตัวเอง (แถมโดนใบเหลืองแค่5ใบ) นั่นจึงทำให้ กรานิต ชาก้า กลับมาเป็นที่รักของแฟนกันเนอร์ส พร้อมจากแยกทางกันไปด้วยความรู้สึกดีๆ
- คอลัมน์นิสต์
- 432
- 29 พ.ค. 2566