อินทรีเหล็กพันธุ์ดุ ! โปรตุเกส เกินต้าน เยอรมัน รัวแซง 4-2 โกเซนส์ เด่น
ไปๆมาๆเป็นเหมือนบอลแพ้ทางกันไปเสียแล้ว สำหรับ โปรตุเกส กับ เยอรมัน เพราะเมื่อเจอกันในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่คราใด มักจะเป็นทางฝั่งทีมฝอยทองที่โดนทัพ อินทรีเหล็ก คาบไปกินเสมอ และในยูโร2020 ครั้งนี้ก็มีบทสรุปผลลัพธ์ที่ลงเอยแบบครั้งเดิมๆอีกครั้ง
เกมนัดที่สองของกลุ่มเอฟคู่ระหว่าง เยอรมัน กับ โปรตุเกส จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคู่ที่มีอัตราความเมามันระดับ80ตีนถีบ เพราะมีถึง6ประตูให้เห็นในเกมดังกล่าว และก็เป็นทางฝั่งทีมแชมป์โลก4สมัย ที่พลิกแซงเอาชนะไปได้4-2 ทั้งที่เป็นทางฝั่งลูกทีมของ แฟร์นานโด ซานโตส ขึ้นนำไปก่อนจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ น.15 ก่อนที่เยอรมัน จะยิงแซง4ประตูรวด
โดยสองเม็ดแรกได้มาจากอานิสงส์การทำเข้าประตูตัวเองของ รูเบน ดิอ๊าซ น.35 และ ราฟาเอล เกร์เรโร่ น.39 ก่อนในครึ่งหลังจะมาเบิ้ลเพิ่มอีกสองประตูจาก ไค ฮาแวร์ทซ์ น.51 โรบิน โกเซนส์ น.60 ส่วนโปรตุเกสไล่คืนมาได้เพียงแค่ลูกเดียวจาก ดิโอโก้ โชต้า น.67
หลังจากที่พ่ายฝรั่งเศสมาในนัดแรกด้วยรูปเกมอะไรหลายอย่างที่ต้องบอกว่า ตลอด90นาที พลพรรคตราไก่ ทำได้ดีเหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง เยอรมันที่ทำท่าเหมือนจะมาไม่ค่อยดีในทัวร์นาเม้นต์นี้ ก็ปลดล็อคตัวเองได้สำเร็จด้วยการถล่มเอาชนะโปรตุเกส นั่นทำให้โอกาสผ่านเข้าไปเล่นรอบ16ทีมสุดท้ายของ โยอาคิม เลิฟ นั้นสดใสมากๆ
เกมบุกที่เคยดุดันเป็นเครื่องจักร การโจมตีจากด้านข้างริมเส้นที่เฉียบคม รวมไปจนถึงลูกกลางอากาศที่ทรงพลัง นี่คือสิ่งที่เยอรมันแสดงให้ผู้ชมทางบ้านเห็นในนัดนี้ และทั้ง4ประตูที่ ทัพอินทรี เหล็กทำได้มาจากการครอสขึ้นเกมจากริมเส้นทั้งสิ้น โดยที่โดดเด่นที่สุดในทีมคงหนีไม่พ้น โรบิน โกเซนส์ วิงแบ็กฝั่งซ้ายจอมบุกจาก อตาลันต้า ที่มีส่วนร่วมโดยตรงถึง 3ประตู รวมถึงเกมรับก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีไม่มีขัดเขิน
ส่วน โยซัว คิมมิช ร่างทรงของ ฟิลิปป์ ลาห์ม ก็ทำหน้าที่ตัวเองได้เป็นอย่างดี ทั้งรับและรุกเล่นอย่างมีระเบียบวินัยแบบแผน รักษามาตรฐานการเล่นในเกมระดับสูงได้ทั้งในนามสโมสรและทีมชาติ แถมยังเป็นผู้แอสซิสต์ประตูปิดกล่องให้กับทีมอีกด้วย ส่วน ไค ฮาแวร์ทซ์ ก็เหมือนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้พร้อมๆกับการเข้ามาของ โธมัส ทูเคิ่ล เกมกับ โปรตุเกส เมื่อคืน " วันเดอร์ คิด " เมืองเบียร์รายนี้ เล่นได้อย่างไหลลื่น และสร้างประโยชน์ให้กับทีมมากๆ
ฟากผู้แพ้โปรตุเกส ต้องบอกได้ว่าการปราชัยดังกล่าวพวกเขาเสียหายมากๆ เพราะนัดสุดท้ายต้องดวลกับทีมแชมป์โลกฝรั่งเศส คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังแสดงโชว์ให้เห็นถึงคลาสในเกมใหญ่เสมอๆ มีจังหวะการเล่นสวยๆ รวมถึง ซัดไปได้1ประตู และอีก1แอสซิสต์ สุดเหนือชั้น พร้อมบวกประตูที่12ในฟุตบอลยูโรรอบสุดท้าย สร้างสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ
ด้านเกมรับของทัพฝอยทอง นัดนี้ต้องบอกว่าน่าตำหนิมากๆสำหรับการรับมือลูกครอสจากริมเส้น ทั้งลูกเรียด และกลางอากาศ โดยเฉพาะแบ็กซ้ายขวา ทั้ง ราฟาเอล เกร์เรโร่ และ เนลสัน เซเมโด้ โดยเฉพาะแบ็กขวาจาก วูลฟ์แฮมป์ตัน รายนี้ที่เปรียบเสมือนบ่อน้ำมันให้ทัพ อินทรีเหล็ก โจมตีเจาะได้ตามใจความประสงค์ต้องการ
อินทรีเหล็กพันธุ์ดุ
เกมเมื่อคืน นี่คือนิมิตหมายอันดีที่ทำให้แฟนบอลอย่างเราๆได้เห็นว่า อินทรีเหล็กที่เล่นเกมรุกได้อย่างดุดันทรงประสิทธิภาพ เวลาที่เล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ๆเป็นแบบไหน แม้ว่าก่อนมา ยูโร2020 หนนี้ ลูกทีมของ " โยกี้ " จะไม่ใช่ทีมเต็งลำดับต้นๆในการคว้าแชมป์ เพราะฟอร์มของทีมแชมป์โลก4สมัย ในช่วงอุ่นเครื่องไม่โสภานัก แถมยังเป็นทีมที่ไม่มีหน้าเป้าที่ตายตัวอีกด้วย
ยิ่งพอมาเกมเปิดสนามกลุ่มเอฟ เยอรมันก็พ่ายให้กับ ฝรั่งเศส 0-1 ซึ่งรูปเกมต้องบอกได้เลยว่าเป็นทางทัพ ตราไก่ ที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นเกมนัดที่สองกับโปรตุเกส จึงเป็นแมตช์ที่สำคัญมากๆ ของทีมอินทรีเหล็ก
ซึ่งพอ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดประตูให้ โปรตุเกส ขึ้นนำไปก่อน แต่ทว่าลูกทีมของ โยอาคิม เลิฟ ไม่ได้อ่อนเอนไหวสั่นต่อสถานการณ์ตรงหน้าแต่อย่างใด เยอรมันยังเล่นด้วยความมั่นใจ มีวินัย และดุดันเสมอ โดยเฉพาะเกมจากทางฝั่งริมเส้นทั้งซ้ายขวา ต้องบอกเลยว่า เติมกันได้อย่างมันสะเด่าเร้าใจมากๆ และทั้ง4ประตูก็มาจาก การเติมเกมด้านข้างล้วนๆ
สามผู้เล่นตัวหน้าอย่าง ไค ฮาแวร์ทซ์ โธมัส มุลเลอร์ แซร์จ นาร์บี้ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่งการเล่นกันได้อย่างเนียนตา ไม่มีใครยืนเล่นตำแหน่งเดียวตลอดทั้งเกมอย่างตายตัว การโจมตีที่รวดเร็ว ไม่เล่นมากจังหวะ นี่คือสิ่งที่เยอรมันทำได้ดีมาตลอดในการเล่นทัวร์นาเม้นต์ใหญ่
การเล่นโดยอาศัยทีมเวิร์คเป็นหลัก เราจะเห็นได้ว่า เยอรมัน ในยุคสมัยไหน แทบจะไม่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะคนใดคนหนึ่งเป็นจุดขายของทีมเลย ทุกคนเล่นตามแผนตามระบบของกุนซือที่วางระบบแท็กติกไว้ไม่แตกแถว
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจหลังชัยชนะดังกล่าวก็คือการดวลฟาดแข้งกันระหว่างโปรตุเกสกับเยอรมัน ในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ เป็นทางฝั่งทัพ อินทรีเหล็กที่ปราบเอาชนะไปได้5นัดรวดเข้าให้แล้ว
2006 บอลโลก : เยอรมัน 3-1 โปรตุเกส
2008 ยูโร : โปรตุเกส 2-3 เยอรมัน
2012 ยูโร : เยอรมัน 1-0 โปรตุเกส
2014 บอลโลก : เยอรมัน 4-0 โปรตุเกส
2020 ยูโร : โปรตุเกส 2-4 เยอรมัน
โรนัลโด้ พลังน้ำเปล่า
แม้ทีมจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ทีมจะแพ้หรือชนะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ยังสามารถล่าตาข่ายคู่แข่งได้เสมอ เกมโดนทัพอินทรีเหล็กบอมบ์เละเทะไป 2-4 เจ้าของฉายา CR7 ฟอร์มแจ่มไม่เบาในแง่ของสถิติส่วนตัว เมื่อทำไปได้1ประตู กับอีก 1แอสซิสต์
ประตูที่ โรนัลโด้ ซัดได้ ทำให้เจ้าตัวเพิ่มสถิติการเป็นดาวยิงสูงสุดในทัวร์นาเม้นต์ ศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเพิ่มเป็น 12ประตูเข้าให้แล้ว ทิ้งห่างเจ้าของสถิติเดิมอย่าง มิเชล พลาตินี่ ของฝรั่งเศส ทีซัดไปได้9ลูก ห่างออกไปเรื่อยๆ
แอสซิสต์แบบเหนือชั้นที่สตาร์จากยูเวนตุสรายนี้ กระดกบอลพร้อมหันหน้าไปคนละทางจากจังหวะที่บอลกำลังออกหลังไป ให้กับ ดิโอโก้ โชต้า ชาร์ตเข้าไปง่ายๆ นี่ไม่ใช่ช็อตที่จะทำกันได้ง่ายเลย ต้องมีความเหมาะเหม่งทั้งน้ำหนัก และทิศทาง เป็นจังหวะที่แสดงศักยภาพความคิดการสร้างสรรค์ไหวพริบของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พอสมควร
นอกจากที่ พี่โด้ ยังมีจังหวะพลิกเล่นบอลสวยๆ กระดกบอลข้ามหัว อันโตนิโอ รูดิเกอร์ แล้วไขว้จ่ายให้เพื่อนร่วมทีม จนปราการหลังจากค่ายสิงห์บูลส์รายนี้ แทบจะเสียผู้เสียคนเลยทีเดียว โปรตุเกสแทบจะทุกยุคทุกสมัย ขาดกองหน้าเป้าที่ดีเสมอ โรนัลโด้ จึงขออาสาอุดรอยรั่วตำแหน่งดังกล่าวให้
โปรตุเกส ชุดนี้เต็มไปด้วยสตาร์ดังระดับคุณภาพมากมาย แต่เหมือนทีมจะขาดเสถียรภาพ ยังไงไม่ทราบ แนวรุกของพวกเขาอย่าง ดิโอโก้ โชต้า และ แบร์นาโด ซิลวา ดูจะเล่นไปคนละทิศละทาง ซึ่งหลายๆนัดทีมต้องพึ่งความเป็น แมตช์ เดอะ วินเนอร์ ของ ดาวซัลโวสูงสุดทีมชาติโปรตุเกสรายนี้
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ Vs เยอรมัน
100% เลี้ยงบอลผ่าน
45 สัมผัสบอล
11 ชนะการดวล
4 สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่ง
4 เรียกฟาวล์
3 เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง
2 สร้างสรรค์โอกาส
1 ยิงตรงกรอบ
1 ประตู
1 แอสซิสต์
บรูโน่ เหมือนอ่อนล้าและหมดกำลัง
ก่อนทัวร์นาเม้นต์เริ่มต้นขึ้นนี่คืออีกหนึ่งนักเตะที่ถูกจับตามองมากๆว่าจะสามารถสานต่อฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับสโมสรให้กับทีมชาติ ในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ได้หรือเปล่า หลังจากทำไปได้ถึง 18ประตู กับอีก12 แอสซิสต์ ในพรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ทว่าในยูโร 2020 หนนี้ บรูโน่ แฟร์นานเดซ ยังไม่ได้งัดฟอร์มหรือปล่อยของเหมือนตอนที่สวมเครื่องแบบปีศาจแดงออกมาแต่อย่างใด โดยเฉพาะในแมตช์พ่ายทัพอินทรีเหล็ก ต้องบอกได้เลยว่าฟอร์มของ เพลย์เมคเกอร์วัย 26ปีรายนี้ อยู่ในข่ายน่าผิดหวังอยู่ไม่น้อย และได้มีโอกาสอยู่ในสนามเพียงแค่ 64นาที ก็ถูกถอดออกให้ เจา มูตินโญ่ ลงมาปั้นเกมแทน
โดยเฉพาะกับประตู 4-1 ที่เยอรมันโขกทิ้งห่าง บรูโน่ ดูจะขี้เกียจมากๆ กับการวิ่งไล่บอล ก่อนที่ทาง โยซัว คิมมิซ จะเปิดให้ โกเซนส์ สำเร็จโทษเข้า รวมไปจนถึงบทบาทในเกมรุก ที่สตาร์ตัวเก่งจากปีศาจแดงรายนี้ แทบจะไม่ได้สร้างอิมแพคให้กับทัพฝอยทองเลย
หลังจบเกมดังกล่าว บรูโน่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นแนวรุกของทัพฝอยทองที่ได้คะแนนความสามารถหลังเกมต่ำที่สุดคนหนึ่งราวๆ 4-5 มิหนำซ้ำ เจ้าตัวยังโดน ลี ดิ๊กชั่น อดีตปราการหลังอาร์เซน่อล ออกมาจวกสับยับถึงสไตล์การเล่นจองเจ้าตัวแบบไม่มีชิ้นดีว่า
" ต้องมีใครสักคนบอกแฟร์นันเดซ นะว่า ทีมกำลังตามอยู่1-3 แต่เขามัวแต่เล่นกับลูกบอลแบบสบายๆ เขามีโอกาสวิ่งไปตรงพื้นที่ว่าง และช่วยเพื่อนร่วมทีมที่ปักหลักอยู่ด้านหน้า แต่สไตล์การเล่นของเขาวันนี้ เขาเหมือนคนไม่มีแรงวิ่งเลย "
ซ้าย-ขวา ผ่านตลอด เกร์เรโร่&เซเมโด้
เรียกได้ว่านี่คือจุดยุทธศาสตร์ในการโจมตีของเยอรมันสำหรับเกมนี้เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือการเลือกเจาะริมเส้นทางฝั่งแบ็กซ้าย/ขวาของทัพฝอยทอง ที่นัดนี้เปราะบางและขาดง่ายราวกับกระดาษทิชชู่ เปรียบเสมือนเป็นบ่อน้ำมันให้ทีมแชมป์โลก4สมัย เลือกโจมตีได้อย่างตามใจชอบ
และทั้ง4ลูกของทัพอินทรีเหล็กก็มาจากการโจมตีฝั่งริมเส้นล้วนๆ โดยเฉพาะทางฝั่งขวา บ่อน้ำมันอย่าง เนลสัน เซเมโด้ หลุดตำแหน่งบ่อยมาก โดน โรบิน โกเซนส์ โจมตีนับครั้งไม่ถ้วน แถมยังถูกบรรดาแนวรุกเยอรมัน ดึงตำแหน่งให้หลุดจากการโจมตีทางฝั่งขวาอีกด้วย และดูเหมือนจะลนลานไปหมดเมื่อเจอเกมบุกที่เร็วด่วนจี๋ของคู่แข่ง
มิหนำซ้ำยังหายตัวไปตลอด (ลงมาช่วยเกมรับไม่ทัน) เมื่อเยอรมัน โจมตีจากริมเส้น จนเพื่อนร่วมทีมต้องช่วยเข้ามาซ้อน ส่วนทางฝั่งซ้าย ราฟาเอล เกร์เรโร่ ก็แทบไม่ต่างกันเพราะ แทบจะรับมือกับ โยซัว คิมมิช ไม่ไหว ปล่อยให้แข้งจาก บาเยิร์น มิวนิค รายนี้ ครอสบอลสวยๆหลายครั้ง รวมไปจนถึงนัดนี้ เกร์เรโร่ ก็ยังมีชื่อเป็นผู้ทำเข้าประตูตัวเองอีกด้วย
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามก็อาจจะต้องโทษบรรดาเหล่ามิดฟิลด์ตัวรับของโปรตุเกสในนัดนี้อย่าง วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่ และ ดานิโล่ เปร์เรร่า ด้วย ที่ไม่สามารถชะลอเกมบุกที่เจาะจากตรงกลางของเยอรมันได้เลย นั่นจึงทำให้บอลทะลุไปถึงคู่เซ็นเตอร์ และ วิงแบ็กสองข้างได้ง่ายดายมาก
บุกโคตรมันไปกับ โรบิน โกเซนส์
จากนักเตะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เมินที่จะแลกเสื้อ ในเกมโคปาอิตาเลีย เมื่อฤดูกาล 2018-2019 โรบิน โกเซนส์ สถาปนาตัวเองหลายเป็นผู้เล่นในเกมรุกที่โคตรสำคัญในเกมที่เยอรมัน อัด โปรตุเกส ของ " พี่โด้ " อย่างราบคาบ 4-2
โกเซนต์ ติดธงมาร่วมทัวร์นาเม้นต์ยูโร2020 ในบทบาทตำแหน่งวิงแบ็กฝั่งซ้าย ทั้งที่ปรกติฤดูกาลที่ผ่านมาที่เล่นให้อตาลันต้า แข้งวัย26ปีรายนี้ เล่นในตำแหน่งปีกซ้ายหรือแนวรุกฝั่งซ้ายอย่างเต็มตัว หรือ แท็กติกบางนัดเจ้าตัวก็สามารถ เล่นในบทบาทวิงแบ็กแบบได้
ดาวเตะจากอตาลันต้า รายนี้พกผลงานสุดโหดก่อนมาลุยศึกยูโร ด้วยสถิติสุดสะพรึง 11ประตู กับอีก8แอสซิสต์ ในกัลโช่ เซเรียอา ฤดูกาลที่ผ่านมา แม้เกมที่พ่ายให้ดับฝรั่งเศส เจ้าตัวจะโชว์ฟอร์มไม่ได้ถนัดถนี่นัก แต่ในแมตช์กับโปรตุเกสเมื่อคืนนั้นตรงกันข้ามเลย
นี่คือนักเตะ แมน ออฟ เดอะแมตช์ ของเกมเมื่อคืนอย่างแท้จริง เพราะโกเซนส์ โดดเด่นโคตรๆ ในการเติมเกมรุก รวดเร็ว เมามัน เร้าใจ วิ่งไม่มีวันหมด นี่คือคำพูดที่เราอยากนิยาม ดาวเตะจากทีม แบร์กาโม่ เมื่อคืน
1ประตู 1แอสซิสต์ หรือจะนับเป็น2แอสซิสต์ก็ได้เพราะลูกครอสของเจ้าตัวอีกลูก ไปโดน รูเบน ดิอ๊าส สกัดเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองไป เนลสัน เซเมโด้ ที่ว่ารั่วมากๆอยู่แล้วตั้งแต่การเล่นให้กับ วูลฟ์ นัดนี้มาเจอ โกเซนส์ ทำให้เจ้าตัวเป็นเหมือนเด็กอนุบาล ที่โดนรุ่นพี่แกล้งเผาเครื่องผ่านตลอดไปเลย
โรบิน โกเซนส์ Vs โปรตุเกส
100% ความแม่นยำในการยิง
46 สัมผัสบอล
6 สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่ง
3 ยิงเข้ากรอบ
2 สร้างสรรค์โอกาส
2 ครอสบอล
1 แท็กเกิ้ล
1 ตัดบอล
1 ประตู
1 แอสซิสต์
- คอลัมน์นิสต์
- 281
- 20 มิ.ย. 2564 14:44