แชมป์แรก ประวัติศาสตร์ ! พาเลซ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ดับ เรือใบ 1-0 ดีโน่ เซฟจุดโทษ

แชมป์แรก ประวัติศาสตร์ ! พาเลซ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ดับ เรือใบ 1-0 ดีโน่ เซฟจุดโทษ


นี่เป็นฤดูกาลที่ เต็มไปด้วยทีมปลดล็อกแชมป์หรือกลับมาคว้าแชมป์ได้หลังจากเหินห่างความสำเร็จไปนานจริงๆ และล่าสุดก็เป็นคราวของ คริสตัล พาเลซ ที่ทำได้สำเร็จ เมื่อหักปากกาเซียน คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ หลังนัดชิงชนะเลิศ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 1-0 โดย กุนซือ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ วางแท็กติกให้ทีมเล่นได้อย่างเหนียวแน่น เอเบเรซี่ เอเซ่ สวมบทฮีโร่ ซัดประตูชัย รวมถึง ดีน เฮนเดอร์สัน ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเซฟจุดโทษได้

 


เกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่สนาม เวมบลีย์ คริสตัล พาเลซ ที่รอบรองชนะเลิศ ผ่าน แอสตัน วิลล่า มาได้ ดวลกับรองแชมป์เมื่อปีที่แล้วอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ " ดี อีเกิ้ลส์ " ทีมรอง มาในแผนระบบหลังสาม 3-4-2-1 โกล ดีน เฮนเดอร์สัน - 3เซ็นเตอร์ แบ็ก มาร์ค เกฮี - คริส ริชาร์ดส์ และ มักซ็องซ์ ลาครัวซ์ วิงแบ็กซ้าย-ขวา ไทริค มิตเซลล์ และ ดาเนียล มูนญอซ

มิดฟิลด์คู่กลาง อดัม วอร์ตัน ยืนกับ ไดจิ คามาดะ 2ตัวรุกหลังศูนย์หน้า เอเบเรซี่ เอเซ่ และ อิสไมล่า ซาร์ หอกตัวเป้า ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า ฟาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาในระบบ 4-2-3-1 หลังจากที่ พักแข้งตัวหลักบางรายในเกมกับเซาธ์แฮมป์ตัน
 

โกลใช้ สเตฟาน ออร์เตก้า แผงแบ็กโฟร์ มานูเอล อคานยี่ - ยอสโก้ กวาร์ดิโอล - รูเบน ดิอาส และ นิโก้ โอเรลลี่ มิดฟิลด์คู่กลางมาแปลก เพราะไม่มีตัวรับเลย - แบร์นาร์โด้ ซิลวา ยืนกับ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมคเกอร์ โอมาร์ มาร์มูซ ปีกซ้าย-ขวา เฌเรมี่ โดกู - ซาวินโญ่ กองหน้า เออร์ลิง ฮาลันด์
 

เริ่มเกมมากลายเป็นว่า ซิตี้ ได้ลุ้นก่อนเลย น.6 เดอ บรอยน์ เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษ บอลเหมือนจะล้นแต่ ฮาลันด์ ยืดขามายิงได้ ดีที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ยังนิ่งปัดออกไปได้ หลังจากนั้นไม่กี่นาที จากลูกเตะมุม โอเรลลี่ ได้ขึ้นโขกแต่ เฮนเดอร์สัน ยังไม่พลาดอีก

พาเลซ ที่เล่นเกมรับแล้วสวนกลับ โอกาสครั้งแรกก็สัมฤทธิผลเลย มาเตต้า บังบอลได้ ก่อนพลิกจ่ายให้ มูนญอซ กระชากไปทางขวา แล้วเป็น เอเซ่ สอดมากระโดดยิงในเขตโทษ เข้าประตูไป ขึ้นนำ 1-0 น.16 หลังจากนั้น ทัพปราสาทเรือนแก้ว เหมือนได้ใ เกือบบวกเพิ่มได้จากลูกยิงไขว้เสาแรก แต่ ออร์เตก้า ก้มเซฟได้
 

น.33 ซิตี้ ได้ลูกจุดโทษ แบร์นาร์โด้ โดน มิตเชลล์ เสียบล้มในเขตโทษ ผู้ตัดสิน สจ๊วต แอตเวลล์ เป่าเป็นจุดโทษทันที โอมาร์ มาร์มูซ รับหน้าที่สังหารแทน เออร์ลิง ฮาลันด์ ซึ่งดาวเตะชาวอียิปต์ ยิงไม่ดี ดีน เฮนเดอร์สัน เดาทางเซฟไว้ได้ ท้ายครึ่งแรก เรือใบ ได้ลุ้นอีกครั้ง จากลูกปั่นของ โดดู แต่ เฮนเดอร์สัน ยังโชว์หนึบอีก จบ 45นาทีแรก พาเลซ นำ 1-0

ครึ่งหลังแม้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะพยายามบุก แต่ " ดี อีเกิ้ลส์ " ก็สวนกลับ ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้ จาก ลูกซ้ำของ มูนญอซ น.58 แต่ทว่า VAR มายึดย้อนหลัง เพราะ ไปแฉลบ ซาร์ ที่ยืนล้ำหน้าไปก่อน อดฉีกหนีเป็น 2-0
 

เควิน เดอ บรอยน์ ที่แม้จะเล่นไม่ออกมา แต่ทว่าก็จ่ายสวยๆให้ทั้ง โอเรลลี่ ได้ยิงในเขตโทษแต่ติดบล็อกมูนญอซ และอีกช็อตจากตัวสำรองดาวรุ่ง เคลาดิโอ เอ็นเชเวอร์รี่ ได้ซัดในเขตโทษฝั่งขวา แต่บอลแทบจะตรงตัว ดีน เฮนเดอร์สัน เลยเซฟได้ไม่ยากเย็นนัก

ท้ายเกมแม้จะทดเวลาบาดเจ็บ นาน 10นาที แต่ทว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ได้แต่ครองบอล เคาะตามช่อง แต่หาโอกาสจบเหน่งๆไม่ได้เลย ช็อตสุดท้ายที่ได้ยิงเป็น โดกู ที่ลากมาซัดเรียดออกไปเองแบบไม่ได้ลุ้นอะไรเลย

จบเกม 90นาที บวกทดเจ็บอีก10นาที เป็น คริสตัล พาเลซ ที่ยันอยู่ เอาชนะ ซิตี้ ไป 1-0 คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 121ปี สโมสร ส่วน เรือใบสีฟ้า นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 2016-2017 ที่พวกเขาจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า


 

เฮนเดอร์สัน ฮีโร่ องค์ลงเทพนัดชิง

แม้ว่าการประกาศอย่างเป็นทางการในสนาม เป็น วิงแบ็กขวาอย่าง ดาเนียล มูนญอซ จะคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า โกลอย่าง ดีน เฮนเดอร์สัน จะความโดดเด่นความสำคัญน้อยยกว่า แบ็กชาว โคลอมเบีย แต่อย่างใด
 

ดีน เฮนเดอร์สัน ที่เป็นมือ1ของ คริสตัล พาเลซ องค์เทพลงพอดีในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เพราะ " ดีโน่ " มีช็อตเหาะเหินเดินอากาศ เซฟชีวิตทีมไว้ได้หลายครั้ง ครึ่งแรกมีทั้ง ปัดลูกโขกของ โอเรลลี่ และลูกยืดขายิง ของ ฮาลันด์ ท้ายครึ่งแรกก็มีบินปัด ลูกปั่นโค้งๆของ โดกู
 

รวมถึงท้ายเกมที่ยืนตำแหน่งได้เป็นอย่างดี กับลูกยิงในเขตโทษฝั่งขวาของ เอ็นเชเวอร์รี่ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือการเซฟจุดโทษของ โอมาร์ มาร์มูซ ในช่วงครึ่งแรก เพราะหาก ซิตี้ ตีเสมอไปได้ 1-1 เชื่อว่าโมเมนตัม จะไหลไปทางทีมของ เป๊ป แน่ๆ
 

ยังไม่นับรวมลูกกลางอากาศ ที่อดีตโกลปีศาจแดงรายนี้ ออกมาแล้วไม่พลาด ไม่ทำให้ทีมเสียเปรียบ ทุกครั้งที่เซฟลูกยิงยากๆ ดีน เฮนเดอร์สัน จะได้บัพพลังจากเพื่อนร่วมทีม ที่เข้ามาเฮกระตุ้นชื่นชมกับความหนึบเป็นปลาหมึกดังกล่าว
 

แต่ถึงกระนั้นก็ดี ต้องบอกว่า เฮนเดอร์สัน โชคดีด้วยกับช็อตที่เจ้าตัวออกมาใช้มือนอกเขตโทษ กับจังหวะที่ ฮาลันด์ กำลังแตะหลบ แต่ผู้ตัดสินและทีมงานห้อง VAR กลับมองว่าไม่เป็นอะไร แต่ถ้าตามกฎ ดีน เฮนเดอร์สัน สามารถโดนใบแดงได้เลย
 

ภาพรวมแล้ว ดีน เฮนเดอร์สัน มีถึง6เซฟ ในการเจอกับทีมเรือใบเจ้าตัวยังกลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่ เซฟจุดโทษในนัดชิง เอฟเอ คัพ ได้ตั้งแต่ ปี 2010 ต่อจาก ปีเตอร์ เช็ก นอกจากนี้ " ดีโน่ " ยังมีสถิติการดวลจุดโทษที่ดีมากๆ เพราะเซฟไปได้ถึง4ครั้ง จาก8หนหลังสุด

 

นี่แหละ วิงแบ็กที่ถูกต้อง มูนญอซ

จริงๆก็เป็นแบ็กที่เกมบุกดีมากๆ คนหนึ่งของเวทีพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-2025นี้ สำหรับ ดาเนียล มูนญอซ
เพราะก่อนหน้านั้น 35นัดในลีก แข้งชาวโคลอมเบีย ยิงไปได้ถึง4ประตู และมีอีก5 แอสซิสต์ และหลังจบเกม เอฟเอ คัพ มูนญอซ ก็กลายเป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์

 

พลังไม่มีวันหมด และเติมได้อย่างดุดัน นี่คือสิ่งนิยาม มูนญอซ ได้เลย ประตูชัยของ พาเลซ ก็มาจากแอสซิสต์ของเจ้าตัวในจังหวะสวนกลับนี่แหละ เพราะลากไปทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนเปิดมาตรงจุดนัดพบที่สอดขึ้นมาของ เอเซ่
 

เกมรับ วิงแบ็กวัย28ปี ก็ยังทำได้ดีอีกด้วย ในการตามประกบ โดกู ที่มาตามสูตรเดิมได้แค่เลี้ยงบอล แต่ถูกบีบในพื้นที่สุดท้ายให้ทำอะไรไมใม่ถนัด รวมถึงครึ่งหลังกับ ช็อตที่ เดอ บรอยน์ จ่ายให้ นิโก้ โอเรลลี่ กำลังจะได้ยิงแต่ มูนญอซ จิ้มออกไปได้ก่อน
 

ชนะการดวล6ครั้ง / แท็กเกิ้ล 3ครั้ง / สร้างสรรค์โอกาสสำคัญได้ 2หน โดย มูนญอซ เกือบจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ได้ แต่น่าเสียดายที่ บอลแฉลบกลับมาเข้าทางจนได้ยิงซ้ำเสาแรก กลายเป็นว่า ซาร์ ที่ยืนล้ำหน้าไปก่อน
 

ส่วน ไทริค มิตเชลล์ วิงแบ็กอีกฝั่ง ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำได้ แถมยังเป็นคนพรวดพราด เสียบใส่ แบร์นาร์โด้ ในเขตโทษ จนเสียจุดโทษด้วย ทางฝั่ง3เซ็นเตอร์ คนที่โดดเด่นที่สุดเห็นทีจะเป็น คริส ริชาร์ดส์ ที่เอาชนะการดวลได้ถึง 5ครั้ง และไม่ปล่อยให้คู่แข่งเลี้ยงบอลผ่านเลย
 


กลาสเนอร์ ของแท้ จารึกประวัติศาสตร์

ฤดูกาล 2023-2024 โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ที่เข้ามารับหน้าที่คุมบังเหียน คริสตัล พาเลซ ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ และสามารถพาทัพปราสาทเรือนแก้วฟอร์มดีขึ้นผิดหูผิดตา บินสูงขึ้นมาจบได้ถึงอันดับ 9 พร้อมกับปรับเปลี่ยนให้ทีมมาเล่นระบบหลัง3
 

แต่ทว่าพอมาซีซั่นปัจจุบัน กลายเสียผู้เล่นตัวหลักไปหลายรายทั้ง โยอาคิม อันเดอร์เซ่น  -ไมเคิ่ล โอลิเซ่ รวมไปจนถึง จอร์แดน อายิว นั่นก็ทำให้ พาเลซ ตั้งกระบวนท่าไม่ทัน นั่นทำให้ 8นัดแรกในลีก พวกเขาไม่ชนะใครเลย เสมอ3 และแพ้ 5
 

กระแสไม่น้อยบอกว่า โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ หมดมุกเร็วเกินไป แต่ทว่าหลังจากนั้นกุนซือชาวออสเตรีย ก็ค่อยๆปรับจูนทีมเรื่อยๆ จนได้หลัง3ที่ลงตัว ส่วนเมื่อคืน นัดชิง เอฟเอ คัพ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลาสเนอร์ ก็เลือกวิธีการเล่นถูกนั่นก็คือรับลึกนั่นแหละ
 

แต่ทว่าการเล่นเกมรับของ พาเลซ ไม่ใช่การรับอุดอย่างเดียวแบบรอโดนแต่อย่างใด แต่ทว่าพวกเขา รับโดยที่เน้นมากๆในการเล่นลูกสวนกลับ ซึ่งประตู 1-0 ที่ได้มา ก็มาจากการรับแล้วสวนกลับเร็วนี่แหละ ซีซั่นนี้ คริสตัล พาเลซ เล่นได้ทั้งในระบบหลัง3 และหลัง4 (แบ็กโฟร์)
 

แชมป์ เอฟเอ คัพ ดังกล่าว ทำให้ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สโมสรแน่ๆ เพราะเป็นกุนซือคนแรกที่ พาทีม คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ครั้งแรก หรือในรอบ 119ปี ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร
 

นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่า กลาสเนอร์ สมัยที่คุม ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ตส์ คว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก ( 2021-2022) ได้อีกด้วย โดยหนสุดท้ายที่ ทีมอินทรี-ดำ คว้าแชมป์รายการนี้ได้ ต้องย้อนไปไกลถึงปี 1980 เลยทีเดียว
 


เดอ บรอยน์ ส่งท้ายไม่สวย ริมเส้นคนอื่น ไม่แผงฤทธิ

นี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เควิน เดอ บรอยน์ ในเครื่องแบบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า อยากเห็น KDB จากทีมไปด้วยโทรฟี่แชมป์ นั่นก็คือโทรฟี่ เอฟเอ คัพ นี่แหละ
 

จริงๆ เดอ บรอยน์ ในวัย 33 ปี ถือว่าโรยลงมากๆ ทั้งฟอร์มในสนามและสภาพความฟิต เมื่อคืนกับ พาเลซ แข้งชาวเบลเยี่ยม ดูเชื่องช้าลงไปพอสมควร โดนบีบแย่งบอลง่าย แต่ทว่าก็ต้องยอมรับว่า เมื่อมีโอกาสได้จ่ายบอลแบบคิลเลอร์พาส เควิน เดอ บรอยน์ ก็ยังเยี่ยม และทำได้ดีกว่าใครในทีม
 

KDB อุตส่าห์ มีการจ่ายหลุดเข้าไปในเขตโทษให้ทั้ง โอเรลลี่ และ เอ็นเชเวอร์รี่ แต่ทว่าน่าเสียดายที่ทั้ง ติดบล็อก และติดเซฟ การครอส12หนจอง เควิน เดอ บรอยน์ เข้าเป้าไป5ครั้ง บวกกับเมื่อคืน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดูจะเน้นเป็นพิเศษ กับการเข้าทำริมเส้น
 

ฝั่งซ้ายเป็น เฌเรมี่ โดกู เอาจริงๆเรื่องทักษะการเลี้ยง บอลติดเท้า เอาตัวรอดได้ ไม่มีใครตั้งคำถามกับ อดีตแข้งนีซรายนี้ หรอก แต่ทว่าเรื่องการตัดสินใจจังหวะสุดท้าย ทั้งยิงและจ่าย ต้องบอกว่า โดกู ควรปรับปรุงอย่างแรง หรือช่วงทดเวลาบาดเจ็บท้ายๆ ก็เป็น โดกู นี่แหละที่หักเลี้ยงยิงเรียดออกหลังไปแบบไม่ได้ลุ้นดื้อๆ
 

เช่นเดียวกันกับอีกฝั่งอย่าง ซาวินโญ่ สไตล์ใกล้เคียงกันแต่ไม่มีทีเด็ด เลย นี่คือซีซั่นที่ปีก ซิตี้ ฟอร์มตกเป็นอย่างมาก ไม่มีใครสร้างความแตกต่างได้ ฟิล โฟเด้น ก็กลายเป็นคนละคนกับปีที่แล้ว ซัมเมอร์นี้ ตำแหน่งปีกนี่แหละ ที่พวกเขาจะลงตลาด และจะปล่อยตัว ไม่ได้ใช้อย่าง แจ็ค กรีลิช ออกไป
 


ฤดูกาลหน้า เป๊ป ต้องพิสูจน์ตัวเอง / บอร์ด เตรียมยกเครื่องนักเตะใหม่

นี่เท่ากับว่าจะเป็นหนแรกที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นหนสุดท้ายก็คือ ปีแรก 2016-2017 ที่ นายใหญ่ชาวสเปนเข้ามาคุมทีมเรือใบสีฟ้าปีแรกนั่นแหละ มีช่วงหนึ่งที่ในพรีเมียร์ลีก พฤศจิกายน - ปลายธันวาคม พวกเขาแพ้ในลีกถึง 6 จาก 8นัด
 

นัดชิงดำกับ พาเลซ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครองบอลมากกว่า แต่ทว่าจังหวะการเข้าทำที่ไหลลื่นเหมือน 1-2 ฤดูกาลก่อนหายไปหมดเลย ในแนวรุกพวกเขาขาดเพลย์เมคเกอร์ ที่สามารถจ่ายบอลคิลเลอร์พาส ชี้เป็นชี้ตายได้แบบ เควิน เดอ บรอยน์
 

การขาดหายไปของ โรดรี้ มีผลแน่ๆกับฟอร์มซีซั่นนี้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แนวรับนอกจาก รูเบน ดิอาส ไม่มีใครน่าไว้ใจเลย เชื่อว่า ทั้ง จอห์น สโตนส์ - มานูเอล อคานยี่ และ เนธาน อาโก้ น่าจะมี1-2ชื่อที่จะโดนขายออกไปแน่ๆ
 

รวมไปจนถึงเหล่าแข้งรายอื่นๆที่หมดสภาพแล้วอย่าง อิลคาย กุนโดกัน ที่กลับมาจากบาร์เซโลน่า แล้วไม่ใช่คนเดิม - แบร์นาร์โด้ ซิลวา รวมไปจนถึง ปีกอย่าง แจ็ค กรีลิช จริงๆ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เล่นเหมือนเดิม แต่นักเตะของพวกเขาเล่นไม่ได้ตามมาตรฐานเดิม
 

ซึ่งก็ต้องโทษเหล่าบอร์ดบริหารของ ซิตี้ ด้วย ที่ประมาณเรื่องการเสริมทัพตัวนักเตะไปหน่อย และก็ต้องมาคอยดูกันว่า ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ ฮูโก้ วิอาน่า จะกู้สถานการณ์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ไหม รวมถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่จะได้มีโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง และเชื่อว่าตลาดซัมเมอร์ 2025นี้ เรือใบสีฟ้า จะเดินเครื่องช็อปเต็มสูบสะเทือนยุโรปแน่ๆ

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง