วัดกันต่ออีก7นัด ! เรือ เปิดบ้าน เจ๊า หงส์ 2-2 เป๊ป&คล็อปป์ ยอดกุนซือ
เป็นศึกที่ตัดสินชะตาแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2021-2022 เลยก็ว่าได้สำหรับเกมอภิมหาบิ๊กแมตช์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูง กับ ลิเวอร์พูล รองจ่าฝูงที่มีช่องว่างระหว่างตารางเพียงแค่ 1แต้ม เท่านั้น ผลแพ้ชนะที่จะเกิดขึ้นที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม สามารถชี้ชะตาส่งผลถึงการเป็นแชมเปี้ยนได้เลย
และสุดท้ายผลลัพธ์90นาทีที่เมืองแมนเชสเตอร์ (สีฟ้า) เรือใบสีฟ้า เสมอกับหงส์แดงไปสุดมัน 2-2 พร้อมด้วยรูปเกมคุณภาพ แต่ทว่าภาพรวมเป็นทางฝั่งของลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ทำได้ดีกว่าโดยเพราะเกมในแดนกลาง ที่ข่มทีมเยือนมิดด้าม
ก่อนเกมทั้งสองทีมมาในแผนถนัดของตัวเอง 4-3-3 และ11ผู้เล่นตัวจริงไม่ได้มีพลิกโผอะไร แต่ทว่าทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มาแหวกแนวเล็กน้อยด้วยการเลือกส่ง กาเบรียล เซซุส เป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกครั้งแรก นับตั้งแต่วันที่ 1มกราคม เกมที่บุกไปเอาชนะอาร์เซน่อล 2-1
โดยรูปเกมเป็นทางฝั่ง ซิตี้ ที่ทำได้ดีกว่า และขึ้นนำไปก่อนถึงสองครั้งสองครา จาก เควิน เดอ บรอยน์ น.5 และ กาเบรียล เซซุส น.36 แต่ทว่าลิเวอร์พูล ก็สามารถไล่ตีเสมอได้ทั้งสองครั้ง จากความเฉียบคมของ ดิโอโก้ โชต้า น.13 และ ซาดิโอ มาเน่ น.46
พลพรรคหงส์แดง แม้รูปเกมโดยรวมจะเป็นรองแต่ทว่าพวกเขา ก็ใช้โอกาสที่มีเพียงน้อยนิด จบสกอร์ได้อย่างเฉียบคมสุดๆ ผิดกับทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ช่วงท้ายเกมพวกเขามีโอกาสจะได้ประตูนำชนะเป็น 3-2 แต่ทว่ากลับยิงนกตกปลากันไปเอง
แดนกลางของซิตี้ ที่นำโดย เควิน เดอ บรอยน์ - แบร์นาโด้ ซิลวา และ โรดี้ ข่มเหล่าบรรดาห้องเครื่องของลิเวอร์พูล มิดทั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน - ฟาบินโญ่ และ ติอาโก้ อัลคันตาร่า นั่นจึงทำให้เกมส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของ ทีมเจ้าบ้าน
ผู้เล่นที่โดดเด่นของทีมเรือใบสีฟ้า เมื่อคืนมีหลายรายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ชูเอา กานเชโล่ - แบร์นาโด้ ซิลวา รวมไปจนถึง เควิน เดอ บรอยน์ โดยเฉพาะเพลย์เมคเกอร์ชาวเบลเยี่ยมรายนี้ ที่ฟอร์มมาตามนัดตลอดในเกมบิ๊กแมตช์สำคัญ
ที่แม้จะไม่ใช่ผู้เล่นตำแหน่งริมเส้นแต่ก็มีลีลากระชากลากเลื้อยไปได้อย่างดี รวมไปจนถึงการจ่ายบอลคิลเลอร์พาส ก็ยังทำได้คมกริบเหมือนเดิม
ส่วนลิเวอร์พูล แม้รูปเกมจะดูเป็นรอง แต่ทว่าผลลัพธ์ของพวกเขาก็น่าพอใจมากๆเช่นกัน กับการแชร์แต้มออกมาได้ แล้วไปวัดกันต่อชี้ชะตาใน7นัดสุดท้าย
เควิน เดอ บรอยน์ มาตามนัดเสมอในเกมใหญ่
นี่อาจเป็นความแตกต่างที่ทำให้ลิเวอร์พูล มีรูปเกมที่เป็นรองก็ได้นะสำหรับ ขุมพลังในแดนกลางเพราะทีมหงส์แดง ไม่มีผู้เล่นเพลย์เมคเกอร์ประเภทเบอร์10 ไว้คอยกระชากลากเลื้อย กำหนดวิสัยทัศการจ่ายบอลในแดนกลาง
เควิด เดอ บรอยน์ เป็นคนยิงประตูนำร่องให้กับทีม ตั้งแต่ น.5 จากการซัดบอลไปแฉลบ โฌแอล มาติป พุ่งชนเสาด้านในเข้าประตูไป นอกจากนี้ KDB ยังจ่ายบอลจังหวะหวาดเสียวคิลเลอร์พาสได้หลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นแทงทะลุช่องให้ ราฮีม สเตอร์ลิง เข้าไปซัดผ่านผ่าน อลิสซง เบ็คเกอร์ แต่ทว่ามาโดน VAR ยึดคืนเป็นลูกล้ำหน้าภายหลัง ยังไม่รวมจังหวะสปีดบอลกระชากลากเลื้อยที่หลุดแทบจะทุกจังหวะ หรือไม่ก็ต้องลงเอยด้วยการที่ผู้เล่นลิเวอร์พูล ต้องยอมตัดฟาวล์ จนโดนใบเหลือง
และที่เสียดายสุดๆเห็นทีจะเป็นช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่ เดอ บรอยน์ จ่ายให้ ริยาด มาห์เรซ ได้ล็อกเข้ามายิงด้วยซ้าย แต่ทว่าแข้งชาวแอลจีเรียรายนี้ กลับเล่นท่ายากเลือกที่จะชิพออกไปแบบเสียของไม่ได้ลุ้น สตาร์วัย30ปีรายนี้ ยังมีการจ่ายบอลเข้าเขตพื้นที่ที่สาม มากถึง16ครั้ง
ลิเวอร์พูล - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมไปจนถึงเซลซี ต่างซัดประตูมาได้ทั้งหมดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นนักเตะประเภทมาตาดนัดในเกมบิ๊กแมตช์อย่างแท้จริง สำหรับ เควิน เดอ บรอยน์
กลางหงส์เอา ซิตี้ ไม่อยู่
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน - ฟาบินโญ่ และ ติอาโก้ อัลคันตาร่า 3ห้องเครื่องของลิเวอร์พูล แทบจะหยุดเกมในแดนกลางของทีมเจ้าบ้านไม่ได้เลย ทำให้บอลบุกจากกลางไปหน้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทะลุไปถึง เซ็นเตอร์ของหงส์แดงได้ง่ายมาก
ติอาโก้ และ ฟาบินโญ่ จะหยุดได้ต้องแลกมากับการตัดฟาวล์หลายครั้ง จนแลกมากับการโดนใบเหลืองคนละใบ และที่เล่นไม่ออกและต่ำกว่ามาตรฐานสุดเห็นทีจะเป็นกัปตัน "เฮนโด้ " เพราะสื่อหลายๆสำนักให้คะแนนเจ้าตัวเพียงแค่ 4-5เท่านั้น
อาจจะด้วยทั้งความล้าหมดพลังและแผลงฤทธิไม่ออกทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกที่จะถอด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออกจากสนาม น.78 ให้ นาบี เกอิต้า ที่สดใหม่กว่าลงมาบู๊วิ่งไล่แทน
" หมอปลา " ที่ผลงานนัดที่ผ่านมาๆมาเอาอยู่ตลอดในการสลัดกั้นดักบอลเกมจากแดนกลางคู่แข่ง แต่ทว่าเกมนี้ ผู้เล่นในแดนกลางของ ซิตี้ ต่างทักษะความสามารถส่วนตัว เลี้ยงบอลกินตัวได้ดีทุกราย โดยเฉพาะ เดอ บรอยน์ทำให้ฟาบินโญ่ เองทำงานของตัวเองได้ไม่ถนัดเลย
ซึ่งถือว่าโชคดีมากๆเหมือนกันที่ตัวของ ฟาบินโญ่ เอง ไม่โดนใบแดงจากการเข้าสกัด แบร์นาโด้ ซิลวา อดีตเพื่อนร่วมทีมเก่าโมนาโกช่วงท้ายเกม ที่โอเคที่สุดแม้จะไม่ได้เด่นมากในแผงมิดฟิลด์เห็นทีจะเป็นรายของ ติอาโก้
ห้องเครื่องชาวสเปน ทำได้ดีในเรื่องของการตัดบอล ซึ่งทำได้ถึง3ครั้ง แต่ทว่าก็ยังมีจังหวะฟาวล์ที่โฉ่งฉ่างไปหน่อย และโดนใบเหลืองในที่สุด ติอาโก้ เองก็หายออกไปจากเกมตั้งแต่ช่วงนาที70เป็นต้นไป เมื่อเจอแท็กติกของ เป๊ป ที่ให้นักเตะที่อยู่ใกล้ ติอาโก้ บีบไม่ให้เจ้าตัวได้ออกบอลง่ายๆ
ซิตี้ โจมตี้ข้ามไลน์ ตำแหน่งของ เทรนต์
ก่อนอื่นต้องชื่นชม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลยที่วางแผนแท็กติก มาได้ดีและอ่านขาดมากๆ ในการดวลกับลิเวอร์พูล ซึ่งปรกติ ซิตี้ เป็นทีมที่เน้นหนักในเรื่องของการต่อบอลมากจังหวะ ก่อนเข้าไปยังเขตพื้นที่สุดท้าย
แต่ทว่าเกมกับหงส์แดง กุนซือสมองเพชรรายนี้เลือกวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิมนั่นก็คือ เน้นการโจมตีแบบเปิดบอลข้ามไลน์กองหลังไปยังพื้นที่ว่างแบ็กซ้าย-ขวา ที่มีพื้นที่ว่างค่อนข้างเยอะ เพราะทั้ง เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน เป็นแบ็กประเภทยืนกันสูงทั้งคู่
ซึ่งปรกติลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เช็กไลน์ล้ำหน้าเป็นอันดับต้นๆของพรีเมียร์ลีกอยู่แล้ว แต่ทว่านัดนี้ ซิตี้ มาเหนือกว่าด้วยการวางบอลข้ามไลน์แผงหลงที่ดันสูง แล้วให้ แบ็กอย่าง ชูเอา กานเชโล่ สอดทะลุขึ้นมาจากแถวสองแทน
มิหนำซ้ำผู้เล่นที่วางบอลยาวของ ซิตี้ ก็เท้าชั่งทองได้แม่นยำสุดๆ อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ แถมตัวที่โฉบเข้ามาอย่าง กานเชโล่ หรือ กาเบรียบ เซซุส ก็ต่างมีความเร็วกันทั้งนั้น ก่อนที่แผนดังกล่าวจะมาได้ผลจากจังหวะที่ ชูเอา กานเชโล่ เปิดข้ามไลน์กองหลังมาใก้ เซซุส สอดมาแปเข้าไป
โดยจังหวะเสียประตู 2-1 ก็ต้องโทษ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหมือนกันเมื่อเห็นบอลข้ามฟากมาแล้ว ไม่ตามหรือถอยให้สุด แต่เหมือนไปออกลูกกั๊ก(เช็กล้ำหน้า)นึกว่า อลิสซง จะออกมาจนโดนลงโทษในที่สุด
แผนเพลย์การเล่นแบบเปิดบอลข้ามไลน์ของ ซิตี้ ได้ผลมากๆในครึ่งแรก ก่อนที่จะมีจังหวะดังกล่าวน้อยลงในครึ่งหลัง เพราะการแก้เกมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่ทว่าก็น่าเสียดายเหมือนกันที่ จังหวะสุดท้ายสำหรับแผนเปิดบอลข้ามไลน์ ซิตี้ กลับทำได้แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาหลายหน
กานเชโล่ คู่ควรแบ็กซ้ายยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก
แคนดิเดตตัวเต็งสำหรับตำแหน่ง แบ็กซ้ายยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ คงหนีไม่พ้น ชูเอา กานเชโล่ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ผลงานทั้งคู่ต่างโดดเด่นเกินกว่าใครใน18ทีมที่เหลือของพรีเมียร์ลีก
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์90นาที ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อคืน อาจจะด้วยของแท็กติกการเล่น ก็ต้องชูมือให้กับ กานเชโล่ ที่โดดเด่นกว่า โรเบิร์ตสัน ชัดเจน โดยแบ็กชาวโปรตุเกส รายนี้ยังทำได้1แอสซิสต์ อีกด้วย
อดีตแข้งยูเวนตุสรายนี้ มีครบทุกอย่างสำหรับแบ็กสมัยใหม่ ทักษะส่วนตัวสูง เติมเกมบุกเยี่ยม เสียบอลยาก แถมยังสอดขึ้นมาเล่นจังหวะ วางบอลข้ามไลน์กองหลังได้อย่างลงตัว เล่นได้ตามแท็กติกของกุนซือทุกอย่าง
มีบางจังหวะที่เจ้าตัว แหวกผู้เล่นลิเวอร์พูล 2คน ช่วงบอลออกข้างสนาม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังแสดงความชื่นชม กานเชโล่ เป็นอย่างมาก ทั้งกอดลูบหัว ประทับใจในผลงาน วิ่งเพรสซิ่งได้ดี ทั้งเวลาที่เล่นเกมรุก และถอยลงมาอย่างรวดเร็วในเกมรับ
อย่างไรก็ตาม กานเชโล่ ก็มีส่วนผิดพลาดเหมือนกันกับประตูแรกที่เสียไป แต่ทว่าภาพรวมเจ้าตัวก็ทำได้ดีมากๆอยู่แล้วในการประกบ โม ซาลาห์ เล่นเอาชัวร์ไว้ก่อนสกัดทิ้งแบบไม่หวงบอล ไม่พลาดเหมือนในเกมเลกแรกที่ แอนฟิลด์
แบ็กวัย27ปีรายนี้เกือบจะทำประตูได้ด้วยซ้ำใน45นาทีแรก แต่ทว่าลูกซัดในเขตโทษถากเสาแรกออกไป กานเชโล่ จ่ายคีย์พาสได้ 2หน เข้าแท็กเกิ้ลได้3ครั้ง และตัดบอลได้อีก1ครั้ง
1แต้มที่ เรือใบควรเสียดายมากกว่า
ผลลัพธ์ 90นาที ถือว่าเป็นเกมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอัตราความเมามัน คุณภาพสูงทั้งคู่ แม้ว่า ซิตี้ จะดูเหนือกว่าในเรื่องการสร้างโอกาสการเข้าทำ ที่ดูจะหลากหลายครบเครื่องกว่า แต่ทว่าลิเวอร์พูล แม้จะรูปเกมเป็นรอง แต่ทว่าพวกเขาก็มีหมัดน็อกทีเด็ดเหมือนกัน
พลพรรคหงส์แดง ใช้การต่อบอลจังหวะที่น้อยครั้ง แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพความแม่นยำ ลงโทษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้สาสมได้ทั้ง2ครั้ง
ซาดิโอ มาเน่ - โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แม้ว่าจะดูเงียบ แต่เมื่อมีจังหวะต้องปล่อยของ ก็ทำแอสซิสต์ และประตูได้ทั้งคู่ ก่อนอื่นเลยต้องขอชื่นชม เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กระตุ้นและแก้เกมมาได้เป็นอย่างดี
จนหงส์แดงสามารถตีเสมอ 2-2 ได้สำเร็จ ภายในเวลาเพียงแค่ 46วินาที ทำให้ทีมกลับเข้าสู่เกมได้เร็ว และไม่ต้องเร่งมากจนลนลานกดดันตัวเองในครึ่งหลัง
อย่างไรก็ตาม1แต้มเท่ากัน แต่ทว่าดูจะเป็นทางฝั่งเรือใบสีฟ้า ที่น่าจะเสียดายกับ3แต้มมากกว่าไม่น้อย เพราะพวกเขามีโอกาสส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายหลายครั้ง ทั้งจากจังหวะหลุดไปยิงของ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ตุงตาข่ายไปแล้ว แต่โดนVARยึดเพราะล้ำหน้าแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
ยังไม่นับจังหวะที่ กาเบรียล เซซุส ได้บอลในเขตโทษฝั่งขวา แต่ดาวยิงชาวบราซิลรายนี้กลับเห็นแก่ตัวดื้อๆ เลือกยิงซัดเสาแรกเข้าข่างตาข่าย ทั้งที่มีเพื่อนร่วมทีมรออยู่ในเขตโทษ 2-3คน
รวมไปจนถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ที่ เควิน เดอ บรอยน์ เลี้ยงกระชากจากแดนกลาง จ่ายบอล ตัดหลังเซ็นเตอร์ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ไปให้ ริยาด มาห์เรซ ซึ่งดาวเตะชาวแอลจีเรีย เลือกตัดเข้าใน แล้วโชว์ชิพเหนือๆ บอลโด่งข้ามคานออกไปไกลแบบไม่ได้ลุ้น
อย่างไรก็ตามนี่คืออีกหนึ่งเกมที่คุณภาพสูงจริงๆ คู่ควรต่อการยอมรับทั้งสองทีมเบอร์1และ2ของอังกฤษ นาทีนี้ เหมือนกับที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ พูดว่านัดนี้เหมือนเป็นการชกมวย ถ้าใครการ์ดตกแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ก็มีโอกาสโดนน็อคได้เลย
- คอลัมน์นิสต์
- 318
- 11 เม.ย. 2565 16:15