No Salah No Problem ! หงส์ ฟอร์มโหด บุกถลุง บอร์นมัธ 4-0  นูญเญซ&โชต้า ควงกันเบิ้ล

No Salah No Problem ! หงส์ ฟอร์มโหด บุกถลุง บอร์นมัธ 4-0 นูญเญซ&โชต้า ควงกันเบิ้ล


นัดแรกที่ไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในเวทีพรีเมียร์ลีก ที่เจ้าตัวกลับไปรับใช้ทีมชาติอียิปต์ในศึก แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ แต่ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาของลิเวอร์พูล ในการเผด็จศึกคู่แข่งเลย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พลพรรคหงส์แดง ยังคงร้อนแรงต่อเนื่องด้วยการบุกไปอัดยับทีมที่ฟอร์มดีในระยะหลังอย่าง บอร์นมัธ 4-0 พร้อมกับแนวรุกที่ดุดันสุดๆ ดาร์วิน นูนเญซ และ ดิโอโก้ โชต้า พากันควงแขนเหมาคนละ2ประตู
 


เกมที่ ไวตาลิตี้ สเตเดี้ยม บอร์นมัธ ที่กำลังฟอร์มฮ็อตในช่วง1-2เดือนหลัง ไต่จากทีมโซนตกชั้นขึ้นมาอยู่อันดับ12ของตาราง พร้อมกับ โดมินิค โซลันกี้ ที่ฟอร์มฮ็อตมากๆ จนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคมพรีเมียร์ลีก ต้อนรับการมาเยือนของจ่าฝูงลิเวอร์พูล
 

ส่วนหงส์แดงนี่คือแมตช์แรกที่พวกเขาขาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในพรีเมียร์ลีก ที่ต้องไปรับใช้ทีมชาติ รวมไปจนถึงแบ็กขวาคนสำคัญอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่เจ็บหัวเข่า ทำให้ตำแหน่งดังกล่าวเป็นเจ้าหนู คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ ได้โอกาสแทน

ออกสตาร์ทมาช่วง 5นาทีแรก เหมือนเจ้าบ้านจะมุ่งมั่นหมายมือมากๆที่จะเอาชนะผู้มาเยือนให้ได้ เปิดเกิดบุกดันสูงเข้าใส่หงส์แดง แต่ทว่าพอเลยช่วงเวลาดังกล่าว ก็เป็นลูกทีมของ เจเค ที่ครองเกมได้ในแดนกลาง แต่ทว่าการเข้าทำในจังหวะสุดท้ายยังติดๆขัดๆ เมื่อไม่มี ซาลาห์
 

ทำให้45นาทีแรก สกอร์จึงจบลงด้วยผล 0-0 เริ่มครึ่งหลังมา ด้วยความที่ " เดอะ เชอร์รี่ส์ " ยังเล่นในแบบสไตล์ของตัวเองนั่นก็คือบีบสูงวิ่งเข้าใส่ ทำให้เข้าทางลิเวอร์พูล และได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 จาก ดารวิน นูนเญซ น.49
 

หลังจากนั้นเกมก็เข้าทางหงส์แดงเลย เพราะลูกทีมของ อันโดนี่ อิราโอล่า เปิดเกมบุกเปิดหน้าเข้าใส่ ทำให้เกิดช่องพื้นที่มากมายให้ผู้มาเยือนเลือกโจมตี สกอร์ค่อยๆไหล และไปจบลงที่ 4-0 จาก ดิโอโก้ โชต้า ที่ค่อนข้างเงียบในครึ่งแรก มากด2ตุง น.70 และ 79 ก่อนที่ นูนเญซ ที่กลัวจะน้อยหน้ารุ่นพี่ชาวโปรตุเกส เลยมายิงเพิ่ม น.90+3 ทำให้ยิงเบิ้ลได้เหมือนกันกับ โชต้า

อย่างไรก็ดีก็ไม่ใช่ว่าตลอดทั้งเกม บอร์นมัธ จะไม่มีโอกาสส่องตาข่ายเลย พวกเขาก็มีช็อตให้ลุ้นเช่นกันจาก ลูกยิงในเขตโทษของ จัสติน ไคเวิร์ต ที่ไปแฉลบ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ออกหลัง รวมไปจนถึง เดวิด บรู๊คส์ ที่หลุดไปยิง แล้วตักออกหลังไปซะงั้น ไม่นับจังหวะวูบวาบในเขตโทษ ที่ทำเสียของไม่ได้ยิงของทีมเจ้าบ้าน
 

ส่วนลิเวอร์พูลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 3แต้มดังกล่าว ก็ทำให้พวกเขาหนาวบนตำแหน่งจ่าฝูงยาวขึ้นไปอีก เพราะทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปมากถึง5แต้มแล้ว แม้ว่าจะแข่งมากกว่าทัพเรือใบสีฟ้าอยู่1นัด รวมไปจนถึงสกอร์ขาดลอย4-0 เมื่อคืน ก็แสดงให้เห็นว่า ระบบการเล่นของ เจเค นั้นทรงประสิทธิภาพขนาดไหน แม้ว่าจะไม่มีสตาร์ตัวหลักในทีมหลายราย 

 

นูนเญซ กดเบิ้ล มีส่วนกับทุกประตูหงส์

ช่วง45นาทีแรก เหมือนแนวรุกของลิเวอร์พูล กับเหล่าบรรดา3ประสาน จะยังต่อกันไม่ติดเท่าไหร่ เมื่อไร้เงา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพราะทั้ง ดิโอโก้ โชต้า -หลุยส์ ดิอ๊าซ และ ดาร์วิน นูนเญซ ยังไม่เข้าขา หรือจับจังหวะการเล่นกันได้เท่าไหร่ ทั้งที่กองกลางหงส์แดงคุมเกมได้หมดแล้ว
 

แต่ทว่าอย่างไรก็ตามใน 45นาทีหลัง เหมือน เจอร์เก้น คล็อปป์ จะแก้เกมมาได้เป็นอย่างดี เพราะ3ประสานด้านบนหงส์แดง มีความลื่นไหลกันมากขึ้น โดยเฉพาะในรายของ ดาร์วิน นูนเญซ และ ดิโอโก้ โชต้า รวมไปจนถึง สำรองอย่าง โคดี้ กัคโป
 

ดาร์วิน เป็นคนปลดล็อกประตูแรกให้กับทีมได้ เมื่อรับลูกจ่ายของ โชต้า และได้ยิงเอี้ยวตัวยิงด้วยขวาในเขตโทษ ซึ่งช็อตดังกล่าวหากเป็นร่างปรกติ มีโอกาสสูงมากๆที่ หอกชาวอุรุกวัยจะยิงแบบตะบันเต็มแรง ไม่ติดเซฟก็ชนเสาชนคาน แต่ทว่าเมื่อคืน กลับเลือกแปเน้นชัวร์เข้าไปอย่างเฉียบคม
 

ก่อนที่ดาวยิง100ล้านยูโร จะมาบวกเม็ดที่2 จากการเข้าชาร์จลูกเปิดของ โจ โกเมซ อย่างเหนือชั้นและเหมาะเหม่ง โดย4ประตูของหงส์แดง นูนเญซ มีส่วนร่วมด้วยทุกเม็ดเลย การบิวด์อัพ การเคลื่อนที่ รวมถึงเวลาขยับเล่นตัวรุกฝั่งซ้ายก็คุกคาม แม็กซ์ อารอน ได้เป็นอย่างดี

เสียดายที่ลูกตักจากด้านข้างเข้ามาของ ดาร์วิน นูนเญซ เจ้าหนูดาวรุ่ง คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ โหม่งผิดเหลี่ยมดื้อๆ แม้ที่ผ่านมา จะยิงนกตกปลาไปเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ดาร์วิน นูนเญซ มีส่วนร่วมกับเกมรุกหงส์แดงมาตลอด เป็นผู้เล่นที่หาตำแหน่งการยืนได้ดี

ทำเป็นเล่นไป ฤดูกาล2023-2024นี้ อดีตดาวยิงเบนฟิก้า ทำไปแล้วถึง10ประตู 10แอสซิสต์ รวมทุกรายการ แถมยังกดรวมไป 101 ตุงในอาชีพการค้าแข้งทั้งในนามสโมสรและทีมชาติเข้าให้แล้ว


 

เกมเพอร์เฟกต์ ของ โชต้า ยิง2จ่าย1


กลับมาได้ทันเวลาจริงๆสำหรับ ดิโอโก้ โชต้า หลังจากที่หายหน้าหายตาไป ราวๆ1เดือน และหายเจ็บเรียกฟิตกลับมาลงสนามได้ปลายเดือนธันวาคม ช่วงที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กำลังเตรียมตัวไปรับใช้ทีมชาติ อียิปต์ ใน แอฟริกัน เนชั่น คัพ

3เกมแรกที่กลับมาในพรีเมียร์ลีก ดาวเตะตีนคมชาวโปรตุเกส ที่ได้ลงตัวจริง1นัด สำรอง อีก2นัด ก็ฝากผลงานที่เด็ดดวง 3ประตู กับอีก 2แอสซิสต์ ซึ่งในแต่ละแมตช์ ดิโอโก้ โชต้า ไม่ได้มีโอกาสสับไกลเยอะเลย
 

กับ บอร์นมัธ โชต้า ได้ยิงเพียงแค่2ครั้งเท่านั้น และนั่นก็เป็นการส่งบอลผ่านมือ เนโต้ ไปซุกก้นตาขายทั้งสิ้น ลูกแรก รับบอลจาก โคดี้ กัคโป แล้วกดด้วยขวาเสียบชนเสาแรกเข้าไปอย่างสุดเฉียบ ส่วนเม็ด2 เป็นการโชว์ให้เห็นถึงสัญชาตญาณในเขตโทษเป็นอย่างดี 
 

โชต้า ตวัดยิงทันทีจากบอลเปิดของ เจ้าหนู คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ แต่ทว่าบอลที่แป๊กและกลับกลายเป็นดี หลอกกองหลังเจ้าบ้านบอลไม่ได้หนีไปไหนไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะจมูกไว ตามไปยิงซ้ำตามน้ำต่อทันที
 

ประตู1-0 ของ นูนเญซ ที่เป็นลูกปลดล็อกเกมให้เล่นง่าย ก็เป็นโชต้า นี่แหละที่ จ่ายมาให้ การหาพื้นที่ สัญชาตญาณในกรอบเขตโทษ การวางเท้ายิงที่หนักหน่วงดังกล่าว นี่คือจุดแข็งของ อดีตแข้งวูล์ฟแฮมป์ตันรายนี้มานานแล้ว 
 

โดย เจมี่ คาราเกอร์ ถึงขนาดได้เอ่ยปากชมว่า ดิโอโก้ โชต้า ดูจะจบสกอร์ได้คมกว่า โม ซาลาห์ หรือดาวยิงชื่อดังลิเวอร์พูลที่ผ่านมาอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ รวมไปจนถึง เฟร์นานโด ตอร์เรส เสียอีก

 

แม็คก้า บทบาทโฮลดิ้งมิดฟิลด์ คุมกลางอยู่หมัด

อาจจะด้วยความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงก่อนย้ายมา ด้วยดีกรีแชมป์โลกกับอาร์เจนติน่า แม้ว่าฟอร์มภาพรวมไม่ได้แย่อะไร แต่ทว่าก็ถูกติงเยอะเหมือนกันสำหรับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กับบทบาทกองกลางตัวรับหมายเลข6 ทั้งที่ตามความเป็นจริงไม่ใช่ตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัดนัก
 

เมื่อคืน 3มิดฟิลด์ ของทีมเครื่องจักรสีแดง เป็นการผนึกกำลังกันของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ - ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ เคอร์ติส โจนส์ โดยในรายของ เอลเลียตต์ ทำได้แจ่มในเรื่องของความขยัน วิ่งไล่บอล แต่การผ่านบอลยังไม่ชัวร์นัก
 

โจนส์ ก็เล่นได้ธรรมดาตามมาตรฐาน มีส่วนกับประตู1-0 ขนาด2รายที่กล่าวมา ไม่ได้เด่นเท่าไหร่ แต่ตัวของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ไม่ได้มีประตูหรือ แอสซิสต์ ก็คู่ควรได้รับรางวัล MOTM เช่นกัน

" แม็คก้า " คุมเกมในแดนกลางได้อย่างหมดจด ทำได้ครบหน้าที่ในบทบาทโฮลดิ้งมิดฟิลด์ ผ่านบอลจังหวะสำคัญ คุมจังหวะการเล่น เชื่อมเกมจากกลางไปหน้าได้อย่างไหลลื่นถูกจังหวะจะโคน สถิติหลังจบ90นาทีของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ยอดเยี่ยมมากๆทั้ง

 

เอาชนะการครอบครองบอล15ครั้ง - ชนะการดวล 14ครั้ง - ผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย 11ครั้ง - แท็กเกิ้ล 9ครั้ง - สร้างสรรค์โอกาส4ครั้ง - ตัดบอล 3ครั้ง - เรียกฟาวล์ 3ครั้ง ว่ากันว่านี่คือหนึ่งเกมที่ดีที่สุดในสีเสื้อลิเวอร์พูลของ แม็ค อัลลิสเตอร์ เลย
 


ไม่มี ซาลาห์ - ไม่มี เทรนต์ = ไม่มีปัญหา

จัดได้ว่าเป็นทีมที่ระบบการเล่น ทีมเวิร์คเยี่ยมจริงๆ สำหรับลิเวอร์พูล เพราะต้องไม่ลืมว่า เกมเจอกับ บอร์นมัธ พวกเขาขาด2คีย์แมนหลักอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ข้ามน้ำข้ามทะเล กลับไปรับใช้ทีมชาติ อียิปต์ ส่วน TAA ก็ยังมีอาการบาดเจ็บรบกวนเล็กๆน้อยอยู่

ยังไม่รับก่อนหน้านั้นที่ แบ็กซ้ายตัวจริงและตัวสำรอง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ คอสตาส ซิมิกัส เจ็บไหล่ทั้งคู่ 
แผงกลาง โดมินิค โซบอสซ์ไล ยังเจ็บอยู่ รวมไปจนถึง วาตารุ เอ็นโด กลับไปเล่นให้ทีมชาติญี่ปุ่น ในรายการ เอเชี่ยน คัพ ถ้าไปลิสต์รายชื่อดูจะเห็นว่าหายหน้าหายตาไปหลายคนเลย
 

กับบอร์นมัธ เมื่อคืน ทำให้ตำแหน่งแบ็กขวาเป็นโอกาสของเจ้าหนูดาวรุ่ง คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ ที่ได้เดบิวต์นัดแรกในพรีเมียร์ลีก และเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวจริงเลย ส่วนแบ็กซ้ายเป็น โจ โกเมซ ที่ขยับจากขวามาซ้ายจองสัมปทานดังกล่าว ช่วงที่ โรเบิร์ตสัน และ ซิมิกาส เดี้ยง
 

ซึ่งการขาดผู้เล่นคีย์แมนไปหลายคน ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้ยวบหรืออ่อนลงเท่าไหร่เลย นักเตะทุกคนยังเล่นได้ตามแท็กติกใบสั่ง แบ็กดาวรุ่ง แบร็ดลี่ย์ แม้เกมรุกไม่ได้เด่นเท่าเทรนต์ แต่เกมรับทำได้ดีตามมาตรฐาน ไม่มีตื่นหรือเหวอหลุด
 

โจ โกเมซ แบ็กซ้ายขัดตราทัพ มี1แอสซิสต์ ในเกมนี้ ดูท่าจะเข้ารูปเข้ารอยแล้ว แม้จะไม่ได้เนี๊ยบในทุกจังหวะ และที่สำคัญที่สุดแนวรุกที่ไร้ " บังโม " ทั้ง โชต้า และ นูนเญซ ก็ลั่นตาข่ายกันได้พร้อมหน้าพร้อมตา
 

3นัดกับการขาดหายไปของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทีมเครื่องจักรสีแดง กวาดชัยได้3นัดรวดทั้ง ใน เอฟเอ คัพ บุกไปเขี่ย อาร์เซน่อลตกรอบ 2-0 คาราบาว คัพ รอบรอง เปิดบ้านเชือดฟูแล่ม 2-1 และล่าสุดบุกไปยิง บอร์นมัธ ไส้แตก 4-0
 

โดยในอดีตลิเวอร์พูล เคยเจอเหตุการณ์ขาดคีย์แมนหลักไปรับใช้ทีมชาติ กลางฤดูกาลมาแล้ว (2021-2022)ตอนนั้นเป็นทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่หายไป แต่ทว่า4นัดในลีกที่ไร้เงา 2สตาร์ชาว เซเนกัลและอียิปต์ หงส์แดงเก็บ3แต้ม ได้4นัดรวดเหนือทีมอย่าง เบรนท์ฟอร์ด - พาเลซ - เลสเตอร์ และ เบิร์นลี่ย์ 

 

บอร์นมัธ เล่นสไตล์ตัวเอง กลายเป็นเข้าทางหงส์

ด้วยความที่ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ลากยาวมาจนถึงปลายเดือนธันวาคม บอร์นมัธ เป็นหนึ่งทีมที่ฟอร์มร้อนแรงมากๆ จากทีมโซนตกชั้นเขยิบตัวเองมาอยู่ที่อันดับ12ของตาราง ชนะ6 - เสมอ1 ก่อนที่จะมาพ่ายไก่เดือยทองนัดส่งท้ายปี
 

บวกกับดาวยิงตัวเก่งของพวกเขา โดมินิค โซลันกี้ ฟอร์มร้อนแรงมากๆจนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม ของพรีเมียร์ลีก จากผลงาน6ประตู และรวมในซีซั่นนี้ 12ลูกในพรีเมียร์ลีก เป็นรองเพียงแค่ โม ซาลาห์ และ เออร์ลิง ฮาแลนด์ (14ประตู) เท่านั้น
 

ส่วนกุนซือ อันโดนี่ อิราโอล่า ก็มาในแนวทางที่ชัดเจนอยู่แล้ว ในเรื่องของปรัชญาการเล่น ที่เน้นการจ่ายบอล ต่อบอล บีบสูง ซึ่งวิธีการเล่นดังกล่าวต้องบอกว่า เป็นการเล่นเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อน เข้าทางปืนของลิเวอร์พูลอย่างชัดเจน จนค่อยๆมาทำนบแตกใน45นาทีหลัง
 

ประตู1-0 นี่ชัดเจนเลยว่า " เดอะ เชอร์รี่ส์ " ที่จ่ายบอลพลาดตรงกลางสนาม โดน อิบราฮิมา โกนาเต้ วางยาวสวนเข้ามา คู่เซ็นเตอร์อย่าง คริส เมปแฮม และ อิลีย่า ซาบาร์นี่ ไม่ทันตั้งตัว จัดระเบียบเกมรับยืนตำแหน่งไม่ทัน ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะต่อบอลกันไม่กี่จังหวะและไปจบที่ ดาร์วิน นูญเญซ 

โดมินิค โซลันกี้ ดาวยิงความหวังสูงสุดของทีมแดนใต้ ที่ต้องมาเจอกับทีมเก่าอย่างลิเวอร์พูล เป็นนัดที่เจ้าตัวเงียบเชียบโชว์ฟอร์มไม่ออกเป็นอย่างมาก ไม่ค่อยได้บอล หรือเมื่อได้บอลแล้วโดนเข้าถึงตัวเร็วหันหลังให้ประตู ทำให้ไม่ได้พลิกเล่น แถมยังได้รับการดูแลประกบติดอย่างดีจาก อิบราฮิมา โกนาเต้ อีกด้วย


 


 


 

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง