นับหนึ่งให้ คล็อปป ! หงส์ ซิว คาราบาว เชือด สิงห์ ต่อเวลา 120 น. 1-0
นับหนึ่งเพื่อเป็นการส่งท้ายให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แล้ว สำหรับลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พลพรรคหงส์แดงเอาชนะเซลซี ในนัดชิง คาราบาว คัพ ที่ต้องยืดเยื้อไปจนถึงการต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ กัปตันทีม เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งในช่วงของการต่อเวลา ทีมของ " เจเค " มีแต่บรรดาเด็กดาวรุ่ง แต่ก็รวมใจกันสู้ซิวแชมป์ ได้สำเร็จ
ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ " น้าแอ๊ดคัพ " ลิเวอร์พูล กับ เซลซี ทีมเครื่องจักรสีแดง มีปัญหาอาการบาดเจ็บพอสมควร เพราะตัวหลักในแนวรุกหายหน้าหายตาไปพร้อมกันหมดทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ - ดาร์วิน นูนเญซ - ดิโอโก้ โชต้า แดนกลาง โดมินิค โซบอสซ์ไล ยังไม่หาย รวมไปจนถึงแบ็กขวา เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์
ทำให้3ประสานแดนบน มีหน้าตาเป็น หลุยส์ ดิอาซ - โคดี้ กัคโป และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ทางฝั่งของเซลซี ถือว่าฟูลทีมเลย เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ จัดตัวได้ตามใจชอบ ตัวเจ็บก็เป็นชื่อเดิมๆที่เดี้ยงมาแล้วก่อนหน้านั้นอย่าง รีซ เจมส์ -โรมิโอ ลาเวีย กองหน้าให้โอกาส นิโคลัส แจ็คสัน ก่อน คริสโตเฟอร์ เอ็นคนคู
พร้อมกับริมเส้นขาประจำอย่าง โคล พาลเมอร์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง โดยเกมออกสตาร์ทมาค่อนข้างสูสีผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ทว่าเหมือนสิงห์บูลส์ จะมีโอกาสที่จะแจ้งกว่าทั้ง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่มีโอกาสได้ส่องเหน่งๆถึง3ครั้ง ตลอด90นาที แต่ทว่ายิงนกตกปลา รวมไปจนถึงเจอเซฟของ ควีวิน เคลเลเฮอร์
ทั้งสองทีมส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้ฝั่งละหนเช่นกันก่อนช่วงต่อเวลาพิเศษ120 นาที ทาง เซลซี ลูกยิงของ ราฮีม สเตอร์ลิง คนที่จ่ายมาให้อย่าง นิโคลัส แจ็คสัน ที่ล้ำหน้าไปก่อน
ทางหงส์แดง ก็จากลูกฟรีคิก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โหม่งเข้าไป แต่ทว่า VAR มาเช็กย้อนหลัง เป็น วาตารุ เอ็นโด ที่ยืนล้ำหน้าไปก่อน แม้ว่าจะไม่เล่นบอล แต่ห้องเครื่องชาวญี่ปุ่นไปสกรีนผู้เล่นเซลซี อย่าง ลีวาย โควิลล์ ไม่ให้ประกบ ฟาน ไดค์
สกอร์0-0 ทำให้ต้องยืดเยื้อไปถึงการต่อเวลาพิเศษ120นาที ซึ่งลิเวอร์พูล ก็ค่อนข้างจะอ่อนแรงแล้ว ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เดิมพันค่อยๆเปลี่ยนตัวเหล่าบรรดาดาวรุ่งลงมากันทั้ง บ็อบบี้ คร้าร์ก - จาเรลล์ ควานซาห์ - เจมส์ แม็คคอนเนลล์ และ เจย์เดน แดนน์ส
นั่นจึงเป็นโอกาสที่ดีมากๆที่ ทัพสิงห์น้ำเงิน ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นชุดใหญ่จะเผด็จศึกได้ แต่ทว่า เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ กลับไม่คิดอย่างนั้น ไปปอดแหกเลือกเปลี่ยนตัวเพื่ออุดในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที เพื่อหวังไปวัดกันที่จุดโทษมากกว่า
ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิดพลาดมาก เพราะนี่คือโอกาสอันดีสุดๆ ที่เซลซีจะล้มลิเวอร์พูล ในสภาพที่สมดุลเสียเพราะมีแต่เด็กเต็มทีมไปหมด และแล้วการเล่นแบบรอโดน ผ่อนเกมของ " พอช " ก็ทำให้พวกเขาโดนลงโทษอย่างสาสม ฟาน ไดค์ โฉบมาโหม่งเสาแรก จากลูกเตะตุมเข้าประตูไป 1-0 น.118
จบ120นาที หงส์แดง ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ซิวแชมป์ คาราบาว คัพ ( ลีก คัพ) ได้สำเร็จ เริ่มนับ1สร้างขวัญกำลังใจกับเส้นทาง4แชมป์ที่เหลือ และเป็นการครองโทรฟี่ใบนี้ ครั้งที่10เข้าให้แล้ว เป็นสถิติสูงสุดของเกาะอังกฤษ ส่วนเซลซี นี่กำลังจะเป็นฤดูกาลที่ล้มเหลวสุดๆของพวกเขาอีกปี เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่หว่านลงไป
พ่อหมีไม่ได้ลง แต่ยังมีลูกหมี เคลเลเฮอร์ โชว์หนึบ
การที่ อลิสซง เบ็คเกอร์ เป็นมือ1ของลิเวอร์พูล นี่จึงเป็นเรื่องยากมากๆที่ใครจะเบียดขึ้นมาเป็นมือ1ได้ เพราะฟอร์มของ " พี่หมี " นั้นจัดอยู่ในนายทวารระดับ เวิลด์ คลาส มาได้ 2-3ปี แล้ว แต่ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บ ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกใช้งาน ควีวิน เคลเลเฮอร์ อย่างต่อเนื่องมาจากในเกมพรีเมียร์ลีก
เคลเลเฮอร์ มีความทรงจำที่ค่อนข้างดีในนัดชิง คาราบาว คัพ กับ ลิเวอร์พูล เพราะเมื่อปี 2022 ก็เป็นเจ้าตัวนี่แหละที่เป็นผู้สังหารจุดโทษคนสุดท้าย เอาชนะเซลซีในช่วงดวลเป้าไปได้ 11ต่อ 10 และฟอร์มของ นายด่านวัย25ปี ก็เป็นพระเอกได้ไม่เป็นรอง ฮีโร่ อย่าง ฟาน ไดค์ เลย
โกลชาวไอร์แลนด์ มีสถิติการเซฟในนัดชิงมากถึง9ครั้ง บางลูกเจ้าตัวเซ้นส์ดีมากๆที่ยืนได้อย่างถูกที่ถูกเวลา แต่ก็มีช็อตเซฟยากๆไม่แพ้ อลิสซง ทั้ง จังหวะออกมาปิดมุมโคตรดีกับลูกหลุดเดี่ยวของ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ผวาเซฟลูกยิงจ่อๆของ โคล พาลเมอร์
ตามตระครุบซ้ำลูกยิงของ เอ็นคุนคู ไม่ให้โดนดาบ2 รวมไปจนถึงจังหวะขลุกขลิกในเขตโทษ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ก็สื่อสารกับแนวรับของทีมได้เป็นอย่างดี ไม่มีกั๊กหรือไม่เข้าใจกัน คอยให้เสียงกับ ฟาน ไดค์ และ โกนาเต้ ตลอด ไม่ออกลูกลนในเกมใหญ่นัดชิง
ซึ่งฟอร์มของ เคเลเฮอร์ ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าตัวเบียดตัวจริงสู้ อลิสซง เบ็คเกอร์ ไม่ได้หรอก แต่เจ้าตัวก็ดีพอสุดๆ ที่จะเป็นเป็นนายด่านตัวจริงของทีมระดับครึ่งบนของตารางได้หลายทีม เห็นทีซัมเมอร์เมอร์นี้ เราจะได้เห็น " ลูกหมี " ปีกกล้าขาแข็งออกไปพิสูจน์ตัวเองเป็นมือ1ของทีมอื่นแล้ว
ฟาน ไดค์ กัปตันผู้ชี้ชะตาเกม
แม้ไม่ได้เทพขนาดช่วงที่พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-2020 และค่อยๆดร็อปลงมาหลังจากนั้น เพราะบาดเจ็บยาวในปี 2020 จากการโดน จอร์แดน พิคฟอร์ด หวดแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ทว่าภาพรวม เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ยังคงเป็นกองหลังที่เหนียวแน่นและแข็งแกร่งลำดับต้นๆในลีกอยู่ดี
การได้รับมอบหมายสุดสำคัญเป็นกัปตันทีมคนใหม่ฤดูกาล 2023-2024 ฟาน ไดค์ ทำได้อย่างไร้ที่ติทั้งในเรื่องของฟอร์มการเล่น และความเป็นลูกพี่ผู้นำ เมื่อคืน เกมรับของเซ็นเตอร์ชาวดัตช์นั้นดีมากๆ จังหวะโดนเปิดจังหวะครอส ยืนดักบอล เคลียร์บอล ได้อย่างดีเยี่ยม
เซ็นเตอร์วัย32ปี เคลียร์ยบอลได้มากถึง 7ครั้ง - บล็อกลูกยิง2ครั้ง - ตัดบอล 2ครั้ง และเท็กเกิ้ล3ครั้ง บอลที่เปิดมาจากด้านข้างเหมือนมีแม่เหล็กไปที่คู่เซ็นเตอร์อย่าง ฟาน ไดค์ และ โกนาเต้ ไม่ก็เป็นทางฝั่งสิงน้ำเงินเองที่ยิงนกตกปลา
ช่วงท้ายเกม90นาที ไปจนถึงต่อเวลาพิเศษ120นาที ก็เป็น เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ นี่แหละที่ประคับประครองเหล่าบรรดาแข้งดาวรุ่งได้เป็นอย่างดี ก่อนที่กองหลังชาวฮอลแลนด์ จะมาโขกตุงเดียว ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายเป็นรอบที่ 2 และคราวนี้ไม่มีจังหวะฟาวล์หรือล้ำหน้าอะไร กลายเป็นประตูชัยให้กับทีม
นอกจากเกมรับที่เชื่อขนมกินเหลือเกินว่าอ่านทางบอลดี รวมไปจนถึงไม่ค่อยมีคู่แข่งเลี้ยงบอลผ่านๆ การเติมสูงขึ้นมาทำประตูจากลูกกลางอากาส นี่คืออีกหนึ่งอาวุธลับของเจ้าตัวมาตลอด ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จะโผล่มาทำประตูให้ทีมมากถึง 23ลูกเข้าให้แล้ว
และหลังจบเกมก็คู่ควรด้วยประการทั้งปวงที่กองหลัง 75ล้านปอนด์รายนี้ จะได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอบครอง เป็นโทรฟี่ ที่7ที่ ฟาน ไดค์ ได้ไปครอบครองกับลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ย้ายมาเมื่อหน้าหนาว 2018
นับ1ให้ถึง4 ส่งท้ายแด่ เจอร์เก้น คล็อปป์
หลังจากประกาศออกมาว่า นี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล ยุติช่วงเวลา9ปี ยังถิ่นแอนฟิลด์ นั่นทำให้ทำให้ทุกนัดที่เหลือของฤดูกาลนี้ จะเป็นเหมือนการเล่นนัดชิง เพื่ออำลา เจเค เลยก็ว่าได้ นักเตะทุกคนวิ่งสู้เพื่อบอส รวมไปจนถึงนัดชิง คาราบาว คัพ เมื่อคืนด้วย
เมื่อคืนลิเวอร์พูลที่แม้จะฟอร์มเป็นต่อเซลซี ที่เป็นทีมฟอร์มกล่องสุ่มไปแล้ว แต่ทว่าด้วยความที่ขาดแกนหลักหลายราย มาเจอกับสิงห์น้ำเงินชุดฟูลทีม ก็มีเรื่องที่ต้องหวาดเสียวกังวลเช่นกัน ตัวรุกไร้เงา ดาร์วิน นูนเญซ - โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ดิโอโก้ โชต้า
ตรงกลาง " โซโบ " ยังไม่หาย รวมไปจนถึงแบ็กขวาไม่มี เทรนต์ โกลเป็น เคลเลเฮอร์ ได้เฝ้าเสาแทน อลิสซง เบ็คเกอร์ ที่ยังไม่พร้อม ตลอดทั้งเกมดำเนินไปอย่างสูสี เป็นทางฝั่งลูกทีมของ โปเซ็ตติโน่ ที่มีโอกาสจะแจ้งกว่าด้วยซ้ำ
ช่วงท้ายเกมที่สกอร์ยังอยู่ที่ 0-0 ด้วยความที่กรำศึกมาอย่างหนักหลายรายการ ทำให้นักเตะลิเวอร์พูลนั้นล้า นั่นทำให้ คล็อปป์ ทำในสิ่งที่บ้าบิ่นและกล้าหาญมากๆ ด้วยการถอดตัวหลักอย่าง อเล็กซ์ซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โคดี้ กัคโป ออก
ผู้ที่ลงมาแทนคือบรรดาดาวรุ่งลูกรอกคะนองอย่าง เจย์เดน แดนส์ (18ปี) - เจมส์ แม็คคอนเนลล์ (19ปี) - บ็อบบี้ คล้าร์ก (19ปี) - ยาเรลล์ ควอนซ่าห์ (21ปี) หวังอาศัยหวังความสดความห้าว ไปเบียดกับผู้เล่นตัวจริงเซลซี ซึ่งก็ได้ผลด้วย ช่วงต่อเวลาพิเศษกลายเป็นหงส์แดงที่โขยกเข้าใส่จนมาได้ประตูชัย
ซึ่งวิธีคิดแบบกล้าได้กล้าเสี่ยง บ้าระห่ำของ กุนซือเมืองเบียร์นี่แหละ คือส่วนสำคัญเลยที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ซิวได้1 เหลืออีก3ถ้วยให้ลุ้น เชื่อว่านักเตะลิเวอร์พูล พร้อมเล่นแบบถวายหัวส่งท้ายให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ แบบเกินร้อยแน่ๆ
เซลซี จบไม่คม ฝันร้ายของ กัลลาเกอร์
ถ้าเอาตามอันดับและสถานการณ์ในตาราง เซลซีหากอยากไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป อย่าง ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ลีก เนื่องจากอันดับในลีกพวกเขาแย่เหลือเกิน เมื่อพวกเขาอยู่ที่อันดับ11 เป็นจ่าฝูงแดนใต้ บวกฟอร์มยังกระท่อนกระแท่น เอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นทีมกล่องสุ่ม พวกเขาต้องเน้นแมตช์นี้มากๆ
เซลซี ที่แพ้ลิเวอร์พูลใน2ถ้วยติดต่อกันทั้ง คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ ในปี 2022 ยุคของกุนซือ โธมัส ทูเคิ่ล พวกเขาน่าจะหมายมั่นปั้นมือมากๆ ที่จะล้างแค้นให้ได้ บวกนี่คือไม่ใช่ลิเวอร์พูลชุดที่ดีที่สุด เนื่องด้วยโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน
รูปเกมต้องบอกว่าเป็นไปอย่างสูสี ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทว่าเป็นทางฝั่งมุมน้ำเงิน ที่จ่อจะได้ประตูมากกว่า แต่ขาดวิญญาณเพชฌฆาตกันไปเอง รวมไปจนถึงนายด่านสำรองอย่าง เคลเลเฮอร์ โดนวิญญาณ เหนียวหนึบปลาหมึกยักษ์เข้าสิง
โดยเฉพาะในรายของ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่ปรกติเจ้าตัวไม่ใช่คนจบสกอร์เฉียบคมอยู่แล้ว มีจุดเด่นในเรื่องความขยันมากกว่า นั่นจึงไม่แปลกใจที่ดาวเตะผมสวยรายนี้ ที่แม้จะเล่นสูงเป็นเบอร์10 แต่ทว่าก็ทำไปได้เพียง 3ประตูเท่านั้น จา34นัดรวมทุกรายการ
3ครั้ง คือโอกาสที่ กัลลาเกอร์ ได้ยิงจ่อๆ ทั้งจังหวะหลุดเดี่ยว แต่เหมือนจับบอลยาวจนโดน เคเลเฮอร์ ออกมาปิดมุมได้ทำให้ง้างเท้ายิงยาก มีจังหวะตวัดยิงลูกเปิดของ พาลเมอร์ ไปชนเสา รวมถึงได้ซัดแบบไร้ตัวประกบบริเวณเขตโทษ แต่ทว่าก็สับข้ามคานออกไปไกล
นี่ยังไม่นับลูกยิงจ่อๆของ พาลเมอร์ ในเขตโทษ แต่ เคเลเฮอร์ ผวาเซฟได้ รวมไปจนถึง อั๊กเซล ดิซาซี่ ที่ได้ชาร์จจ่อๆในเขตโทษ แต่จังหวะไม่เป็นใจบอลผิดเหลี่ยมชนหัวเข่าปลิ้นสูงออกไปอย่างน่าเสียดาย
โปเซ็ตติโน่ ไร้ DNA ผู้ชนะ เปลี่ยนตัวรอโดน และก็โดนสมใจ
ถ้าเอาตามมาตรฐานทีมระดับท็อปทั่วไป หรือเอาเป็นในยุคที่เจ้าของทีมเป็น โรมัน อบราโมวิช เชื่อว่า เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ ชะตาน่าจะขาดไปแล้ว ด้วยการสร้างทีมไประดับกว่า 400 ล้านปอนด์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ก็แลกมาด้วยการเป็นทีมฟอร์มลุ่มๆดอนๆ ครองจ่าฝูงแดนใต้ที่11ของตาราง
ก่อนเกมนัดชิง คาราบาว คัพ จะเริ่มขึ้น เซลซี ที่ดูเป็นรองแต่ก็ดูมีความหวังพอสมควร เพราะพวกเขาอยู่ในสภาพที่ฟูลทีมกว่าลิเวอร์พูล ทางฝั่งหงส์แดง ตัวเจ็บเพียบทั้ง ซาลาห์ - โชต้า - นูนเญซ - โซบอสซ์ไล - เทรนต์ และ อลิสซง เบ็คเกอร์
รูปเกมจึงออกมาค่อนข้างสูสีสุดมัน เกมในแเดนกลางอัดหนักใส่กันได้อย่างสนุก ซึ่งถือว่า " พอช " วางเกมกลยุทธ์มาสู้กับลิเวอร์พูลได้ดีมากๆ ไม่ได้เป็นรองเลย แถมยังมีลูกหนักไว้ขู่ตลอด โชคดีที่ผู้ตัดสิน คริส คาวานาห์ ใจดีแจกยากหน่อย โดยเฉพาะจังหวะที่ ไกเซโด้ เข้าบอลช้า จน กราวเวนเบิร์ช ต้องถูกหามออกจากสนาม
ช่วงท้ายเกม ลิเวอร์พูลที่ดูหมดแรง ทำให้กลายเป็นเซลซี ที่มีฮึดขึ้นมาอีกรอบ " เจเค " ไม่มีทางเลือกจึงส่งพวกแข้งวัยรุ่นลงสนามมาเพียบทั้ง เจย์เดน แดนส์ - เจมส์ แม็คคอนเนลล์ - บ็อบบี้ คล้าร์ก - ยาเรลล์ ควอนซ่าห์
มันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ และไม่ได้มีบ่อยๆ ที่สิงห์บูลส์ จะเผด็จศึก หงส์ชุดเด็กตัวสำรองดาวรุ่ง แต่ทว่า เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ กลับไม่กล้าให้ลูกทีมเปิดเกมแลกเข้าใส่ลิเวอร์พูลชุดเด็ก เล่นรับแบบรอโดนไปลุ้นจุดโทษ
เปลี่ยนเอา เทโวห์ ชาโลบาห์ มาแทน ชิเวลล์ แพ็กเกมรับดื้อๆ พร้อมโยก ลีวาย โควิลล์ ไปเล่นแบ็กซ้ายตำแหน่งไม่ถนัดอีกต่างหาก จากสถานการณ์ที่น่าจะหยิบปลาชิ้นมันมาได้ แต่ทว่ากลับไปเลือกอุด รอลุ้นแบบ 50/50 และก็มาโดนลงโทษอย่างสาสม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ " พอช " เปลี่ยนตัวแย่ เลือกเล่นอุดแบบรอโดน เกมที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1 เช่นกัน ซึ่ง DNA วิธีคิดแบบ เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ ยากเหลือเกินที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเจ้าของทีม ท็อดด์ โบห์ลี่ จะมองเห็นและสร้างความเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกุนซือหรือไม่เช่นกัน
- คอลัมน์นิสต์
- เซลซี เจอร์เก้น คล็อปป์ คาราบาว คัพ ลิเวอร์พูล เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คอลัมน์บอล
- 401
- 26 ก.พ. 2567