เกมโหดโคตรดราม่า ! สิงห์ หัวใจนักสู้ ตามเจ๊าเรือใบ 4-4 พาลเมอร์ กดจุดโทษทดเจ็บ
ใครไม่ดูถือว่าพลาดจริงๆสำหรับ คู่บิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก คู่สุดท้ายประจำสัปดาห์ที่12 ระหว่าง เซลซี ที่ได้เล่นในบ้าน ต้อนรับการมาเยือนของจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งก่อนเกมพลพรรคเรือใบสีฟ้า ดูจะเป็นต่อไม่น้อย แม้ว่านัดล่าสุดสิงห์บูลส์ จะบุกไปถล่มเอาชนะ สเปอร์ส 9คน มา4-1ก็ตาม โดยผลลัพธ์90นาที ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นการเจ๊ากันไปแบบโคตรเดือดมีครบทุกรสชาติ 4-4
เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ ที่เลิกอินดี้ และจัดตัวนักเตะให้ลงเล่นในตำแหน่งถนัดสักที กำลังฟอร์มดีขึ้นมาเรื่อยๆ ต้องเจอกับศึกหนัก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงที่แกร่งทั่วแผ่นมากๆ เริ่มเกมมาเป็นเจ้าบ้านที่คึกคักทำได้ดีกว่า แต่ทว่าก็เป็น เรือใบ ที่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากจุดโทษของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ น.25 จากจังหวะเสียเหลี่ยมของ มาร์ค กูกูเรย่า
ถึงกระนั้นก็ดี เซลซี ก็มาฮึดแซงนำเป็น 2-1 ได้จาก ลูกโขกของ ติอาโก้ ซิลวา น.29 และ ราฮีม สเตอร์ลิง น. 37 เกมทำท่าว่าจะจบ45นาทีแรก ด้วยการขึ้นนำของเจ้าบ้าน แต่ทว่า มานูเอล อคานยี่ ก็มาโหม่งประตูตีเสมอ 2-2 ได้ น.45+1
เริ่มครึ่งหลังมาเจ้าบ้านเหมือนจะยังสมาธิไม่ดี มาโดน ฮาแลนด์ เข้าชาร์จ เม็ดที่2ของตัวเอง น.47 ขึ้นนำ 3-2 สิงห์น้ำเงินก็ยังไม่เสียขวัญง่ายๆ เล่นในแบบรูปเกมของตัวเอง มาตีเสมอ3-3 จากดาวยิงที่ฮ็อตต่อเนื่องอย่าง นิโคลัส แจ็คสัน น.67
หลังจากนั้นเกมก็แลกกันอย่างเมามันไม่มีใครกลัวใคร จน ซิตี้ ก็มาได้ประตูแซงขึ้นนำอีกครั้งเป็น 4-3 จากลูกยิงไกลของ โรดรี้ ที่ซัดไปแฉลบ ติอาโก้ ซิลวา เปลี่ยนทางเข้าประตู หมดสิทธิที่ โรเบิร์ต ซานเชส จะเซฟได้ น.86
ช่วงเวลาที่เหลือด้วยความที่ตามอยู่แค่1ประตู ไม่มีอะไรจะเสีย บวกกับได้รับเสียงเชียร์ปลุกใจจากแฟนบอลที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เซลซี ก็มาแสดงสปิริตรวมใจสู้ จนเกิดดราม่าช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อาร์มานโด โบรย่า ตัวสำรอง ได้บอลในเขตโทษแล้วล็อกหลบ รูเบน ดิอ๊าซ เข้าพรวดพุ่งเสียบจังๆ ผู้ตัดสินไม่ลังเลเลยที่จะเป่าเป็นจุดโทษ
และผู้สังหารจุดโทษก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเหมือนถูกเขียนบทไว้แล้ว โคล พาลเมอร์ เด็กเก่าของซิตี้ เอง ยิงจุดโทษเข้าไป น.90+ 5 พาเซลซี ตีเสมอ 4-4 ได้แบบโคตรบ้าระห่ำ ซึ่งก่อนจะยิงจุดโทษมีจังหวะชุลมุนกันเล็กน้อยใบเหลืองปลิวว่อน
การแชร์แต้มจบลงไปด้วยสกอร์ 4-4 ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ยุติธรรมทั้งสองฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะเซลซี ที่เลือกวิธีสู้แบบกล้าหาญมากๆ บีบเข้าใส่ผู้มาเยือน แทบทุกจังหวะ รวมไปจนถึงเมื่อหมดเวลาการแข่งขัน ยังได้เห็นอารมณ์ที่เดือดสุดๆของ เมาริโอ โปเซ็ตติโน่ ที่ไม่พอใจคำตัดสินหลายช็อต ของ แอนโธนี่ เทย์เลอร์ แถมยังเมินจับมือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีกด้วย
ฮาแลนด์ เหมือนเล่นไม่มีอะไร แต่ทรงประสิทธิภาพสุดๆ
น่าจะตบกระแสฟอร์มตกจากเสียงนกเสียงกาได้มากพอสมควรแล้วนะ สำหรับ เออร์ลิง ฮาแลนด์ หลังกด2เม็ดใส่ เซลซี ทำให้ยอดรวมตอนนี้ของดาวยิงผมยาวชาวนอร์เวย์ สะสมรวมเป็น 13ประตู จาก12นัดในลีก ขึ้นนำเป็นดาวซัลโวเดี่ยวๆ
เมื่อคืนในเรื่องของเหลี่ยมชั้นเชิงการเป็นกองหน้าของ ฮาแลนด์ ถือว่ารอบจัดมากๆ โดยเฉพาะจากจังหวะจุดโทษที่จุดเริ่มต้นมีที่มาจากการเหนี่ยวดึงกันกับ มาร์ค กูกูเรย่า แต่ทว่าพอถึงช็อตที่ แบร์นาโด้ ซิลวา เปิดเข้ามา เจ้าตัวกลับเลือกปล่อย และแบ็กหัวฟูรายนี้กลับดึงต่อ จนกลายเป็นเสียเหลี่ยมโดนจุดโทษในที่สุด
ซึ่งการยิงจุดโทษ หอกวัย23ปีรายนี้ ก็ยิงได้ดีมากๆ หลอกหน้าเท้าให้ โรเบิร์ต ซานเชส พุ่งไปอีกทาง ส่วนเม็ด2 ก็มาจากการพุ่งเข้าชาร์จในเขตโทษ บอลไม่โดนเท้า แต่กลับไปโดนก้นค่อยๆกลิ้งเข้าประตูซะงั้น
การยืนค้ำเป็นหน้าเป้าของ ฮาแลนด์ ทำให้เซ็นเตอร์เซลซีอย่าง ติอาโก้ ซิลวา และ อั๊กเซล ดีซาซี่ หนักใจมากๆ เพราะสามารถยืนค้ำแนวรับ ดึงตัวประกบให้ผู้เล่นปีกมีช่องว่างที่จะเล่นได้ แถมความสูงใหญ่ของเจ้าตัว ยังเป็นเป้าที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมครอสลูกโด่งได้ลุ้นอีกด้วย
การทะลวงตาข่ายสิงห์บูลส์ได้เมื่อคืนเท่ากับว่า เออร์ลิง ฮาแลนด์ ทำประตูทีมในพรีเมียร์ลีกได้ 19 จาก21ทีม ณ ตอนนี้มีเพียง ลิเวอร์พูล กับ เบรนท์ฟอร์ด ที่ยังไม่โดน เด็กยักษ์ชาวนอร์เวย์ส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย
นี่แหละ สตอร์ลิ่ง ร่างทอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังแฝงการเป็นเด็กเก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยเปล่านะ ทำให้เหล่านักเตะอย่าง โคล พาลเมอร์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง ฟอร์มไฉไลสุดๆ คุกคามแนวรับทีมเก่าได้ แถมยังมีรายชื่อบนสกอร์บอร์ดทั้งคู่
เอาในรายของ ราฮีม ก่อน ต้องบอกว่า ณ นาทีนี้ นี่คือแนวรุกที่อันตรายสุดๆของเซลซีไปแล้ว นี่คือ " สตอร์ลิ่ง " ร่างทอง สมัยอยู่เรือใบเลย เกมเมื่อคืน เวลาที่ดาวเตะก้นงอนรายนี้ ได้บอลหรือเลี้ยงบอล สถานการณ์ 1-1 แนวรับผู้มาเยือนเอาไม่อยู่เลย
ไคล วอล์คเกอร์ ที่ว่าแน่นๆเกมรับเหนียวๆ สปีด จัดจ้าน ยังโดน เพื่อนร่วมทีมเก่าเผาเครื่องได้อยู่เป็นระยะ ใครจะมาแย่งบอลกับ สเตอร์ลิง ตอนนี้ต้องบอกว่ายากหน่อย แถมบังมีจังหวะหลอกเตะบอลรอดขา เจเรมี่ โดกู แบบสวยๆ
อารมณ์ร่วมนี่คือสิ่งที่ ราฮีม สเตอร์ลิง มีตลอด นอกจากนี้ด้วยความขยัน ทำให้เรายังได้เห็นเจ้าตัววิ่งไปทั่วสนามอีกด้วย น่าเสียดายนี่จังหวะเลี้ยงตะลุยของเจ้าตัว นิโคลัส แจ็คสัน ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมเล่นตลอด เลี้ยงไลน์ไม่ดีบ้าง แถมยังมีจังหวะแย่งยิงดื้อด้วย
นอจากจะมี1ประตู 1แอสซิสต์ แล้ว อดีตเด็กเก่าเรีอใบรายนี้ เลี้ยงบอลผ่านผู้เล่นเรือใบ 10ครั้ง เรียกฟาวล์ได้3หน แถมยังมีจังหวะถวายพานสวยๆให้ มาโล กุสโต้ แบ็กขวาสำรองได้ยิงโล่งๆฝั่งขวา แต่ทว่ากลับยิงข้ามคานแบบน่าเสียดายสุดๆ
รีซ เจมส์ เอาอยู่ฝั่งขวา รุกได้ รับเลิศ
เล่นได้ไม่เหมือนนักเตะที่พึ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นานเลยสำหรับ รีซ เจมส์ เกมเมื่อคืนกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่เป็นเพียงนัดที่3ในลีกที่ เจ้าตัวได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเท่านั้น แถมด้วยตำแหน่ง เจมส์ ต้องดวลกับปีกที่ร้อนแรงสุดๆตอนนี้อย่าง เฌเรมี่ โดกู
ในการรับมือกับ " เดอะ แฟลช " แบ็กลูกหม้อเซลซีรายนี้เอาอยู่มากๆ แทบจะไม่ปล่อยให้ โดกู สร้างจังหวะอันตรายได้เลย แถมเกมรุกที่เป็นจุดเด่นของเจ้าตัวมาตลอด (ก่อนเจ็บ) ก็ทำได้ดีอีกด้วย เล่นเอา ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ปั่นป่วน
รีซ เจมส์ แอสซิสต์ ให้กับทีมได้ในจังหวะที่ กวาร์ดิโอล ผิดพลาด แถมยังเอาชนะจังหวะแท็กเกิ้ลได้ถึง5ครั้งอีกด้วย บีบเพรสซิ่ง -ฟรีคิก เติมไปครอสบอล มีครบเลยสำหรับเจ้าตัวในนัดนี้ ทั้งที่คู่แข่งเป็นทีมยักษ์ใหญ่คุณภาพสูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ปรกติเรามักจะเห็นแบ็กที่ เกมรุกดีแต่เกมรับแย่ หรือเกมรับแย่แต่เกมรุกดี แต่ทว่า รีซ เจมส์ ออลอิน ด้วยทั้ง2บทบาทเลย เราเคยเห็นเจ้าตัวเล่นในระบบวิงแบ็ก (หลัง3) มาแล้ว ระบบแบ็กโฟร์ก็ทำได้สุดยอดเหมือนกัน
น่าเสียดายที่ด้วยความฟิต ทำให้ รีซ เจมส์ ได้อยู่ในสนามไปเพียงแค่ 64นาทีเท่านั้น เป็น มาโล กุสโต ที่ลงมาเล่นแทน และน่าคิดเช่นกันตอนที่สกอร์เสมออยู่ 3-3 กุสโต ได้ยิงโล่งๆ แต่แปด้วยซ้ายข้ามคานออกไปแบบไม่ได้ลุ้น ซึ่งถ้าเป็น เจมส์ อาจทำได้ดีกว่า และโมเมนตัมเปลี่ยนไปเลย ก่อนที่ โรดรี้ จะยิงลูก 4-3 ก็เป็นได้
แนวรับ ซิตี้ รั่วจัด กวาร์ดิโอล & ดิอ๊าซ แจกโชค
ถ้าว่ากันตามมาตรฐานปรกติ นี่ถือว่าเป็นฟอร์มที่หล่นจากที่เคยทำได้ของตัวเองจริงๆสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถึงแม้กระนั้นพวกเขาก็ยังเกือบคว้าชัยชนะได้ นั่นแสดงให้เห็นว่า มาตรฐานระบบทีมที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เซ็ตไว้ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นสูงขนาดไหน
เกมเมื่อคืน ซิตี้ ที่ว่ากันว่าเป็นเจ้าพ่อของการครองบอล แต่ทว่าก็เหนือกว่าเซลซี ไม่มาก 54 ต่อ 46 เปอร์เซ็นต์ แดนกลางของพวกเขาอย่าง โรดรี้- แบร์นาโด้ ซิลวา ครองเกมไม่ค่อยได้เลย เมื่อเจอกับ การบีบเพรสซิ่งหนักของ มอยเซส ไกเซโด้ - เอ็นโซ่ เฟอร์นานเดซ รวมไปจนถึง คอเนอร์ กัลลาเกอร์
ซึ่งตามมาตรฐานปรกติแล้ว คู่แข่งที่มาบีบสูงใส่ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สภาพศพไม่สวยทุกราย แต่ทว่ายกเว้นกับเซลซีเมื่อคืน การต่อบอลจ่ายบอล เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรือใบสีฟ้าตกลงไป
บวกกับแนวรับนัดนี้ ทำตัวน่าผิดหวังกันหลายราย ไคล วอล์คเกอร์ ที่ เร็ว แรง ทะลุ นรก ก็โดนเพื่อนร่วมทีมเก่า สเตอร์ลิง เผาเครื่องเป็นระยะ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล มีหลุดตำแหน่งบ่อย โดยเฉพาะประตู 2 ที่ไปสะดุดบอลตั้งให้ รีซ เจมส์ ได้แอสซิสต์
ส่วน รูเบน ดิอ๊าซ ที่โดน อาร์มานโดร โบรย่า หลอกนิดเดียว แต่เจ้าตัวก็พุ่งพรวดเข้ามาเสียบแบบเสียเชิงสุดๆ (ไม่รู้เป็นเพราะสนามลื่นฝนตกด้วยเปล่า) จนทำให้ทีมเสียจุดโทษ และโดนตีเสมอ 4-4 ในที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ต้องบอกว่าแม้ฟอร์มของเรือใบสีฟ้า จะหล่นจากมาตรฐานปรกติมากๆ แต่พวกเขาก็เกือบที่จะกลับมาจาก สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วย3แต้ม นั่นก็เป็นการบ่งบอกถึงคุณภาพของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับการเป็นโคตรทีมแห่งยุคได้อย่างดี
เกมคุณภาพ5ดาว โคตรดราม่ามีครบทุกรสชาติ
แม้ว่านัดนี้แล้ว เซลซี จะโชว์ฟอร์มโหด บุกไปถล่ม ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส ที่เหลือ9คน ไป4-1 แต่ทว่าเกมที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยความที่ยังไม่แน่นอนของสิงห์บูลส์ ทำให้พวกเขายังดูเป็นรองทีมจ่าฝูงไม่น้อย
สกอร์4-4 นั่นก็บ่งบอกถึงอัตราความเมามันของเกมอยู่แล้ว ยิ่งผลัดกันนำ ผลัดกันตาม รูปเกมพลิกไปพลิกมาตลอด มีทั้งจุดโทษ ใบเหลืองปลิวว่อน8ใบ มีนักเตะที่ได้เจอกับทีมเก่าทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง - โคล พาลเมอร์ รวมไปจนถึง มัตเตโอ โควาซิซ
แถมทั้ง พาลเมอร์ และ ราฮีม ก็ยังทำประตูได้อีกด้วย โดยเฉพาะเจ้าหนู โคล พาลเมอร์ ที่เป็นคนซัดจุดโทษตีเสมอ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ พาเซลซีแชร์แต้มได้
เซลซีของ " พอช " มาในรูปแบบการเล่นที่เหนือเมฆมากๆ น้อยทีมที่จะบีบเพรสสูงเข้าใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะนั่นเป็นเหมือนการวิ่งเข้าใส่รถสิบล้อ แต่นั่นเป็นแท็กติกวิธีการเล่นที่ได้ผลมากๆเมื่อคืน
นอกจากนี้ เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ ที่เหมือนจะอารมณ์ค้างมากๆ กับคำตัดสินของกรรมการ แอนโธนี่ เทย์เลอร์ จนไปด่ากราดหลังจบเกม จนโดนใบเหลือง มิหนำซ้ำกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ยังอารมณ์ค้างไม่ไปจับมือกับ เป๊ป หลังจบเกมอีกด้วย
ผลเสมอดังกล่าวทำให้สถานการณ์หัวตารางเบียดสูสีกันมากๆ เพราะอันดับ1ถึง5 เรียงจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - ลิเวอร์พูล - อาร์เซน่อล - สเปอร์ส และ แอสตัน วิลล่า มีคะแนนห่างกันแค่3แต้มเท่านั้น (28ถึง25)
- คอลัมน์นิสต์
- 125
- 13 พ.ย. 2566 12:33