โคตรมัน Classic แดงเดือด ! ผี ทะลุรอบรอง เฉือนหงส์ ต่อเวลา 4-3 อาหมัด ซุปเปอร์ฮีโร่

โคตรมัน Classic แดงเดือด ! ผี ทะลุรอบรอง เฉือนหงส์ ต่อเวลา 4-3 อาหมัด ซุปเปอร์ฮีโร่


มีครบทุกรสชาติและเต็มไปด้วยอัตราความเมามัน100เต็ม10จริงๆ สำหรับศึกแดงเดือดหนนี้ ที่พบกันในรายการ เอฟเอ คัพ รอบ8ทีม ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยทั้ง2ฝ่ายผลัดกันนำ ผลัดกันตาม จนเกมต้องยืดเยื้อไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที และท้ายที่สุดปีศาจแดงที่รวมพลังใจกันสู้สุดๆ เฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล 4-3 สุดดราม่า จากประตูชัยของ อาหมัด ดิยาโล่
 

แดงเดือด รอบ8ทีมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งก่อนเกม เอริก เทน ฮาก มีปัญหาปวดหัวไม่น้อย เพราะ กาเซมิโร่ เจ็บ ทำให้มิดฟิลด์คู่กลาง ต้องใช้ สก็อตต์ แม็คโทมิเน่ย์ ผนึกกำลังกับ ค็อบบี้ ไมนู

แดนหลังให้ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ จับคู่กับ ราฟาแอล วาราน และแบ็กซ้ายใช้ อารอน วาน บิสซาก้า ขัดตราทัพ เพื่อจับตาย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยเฉพาะ ส่วนแดนหน้าได้ ราสมุส ฮอยลุนด์ หายเจ็บมายืนค้ำเป็นตัวจริง
 

ฝั่งทีมของ " เจเค " มากันครบในแนวรุก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ - หลุยส์ ดิอ๊าซ และ ดาร์วิน นูนเญซ แดนกลางฟูลทีม แนวรับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นลูกพี่ใหญ่ แต่ทว่าพอผู้ตัดสินเป่านกหวัดเริ่มเกมเป็นเจ้าบ้านที่ทำได้ดีกว่าอย่างน่าเซอร์ไพรส์
 

กลายเป็นปีศาจแดงขึ้นนำไปก่อน1-0 จาก สก็อตต์ แม็คโทมิเน่ย์ น.10 หลังจากนั้นเจ้าบ้านพลาดโอกาสทองบวกเม็ดที่ 2หลายครั้ง และก็มาโดนหงส์แดงลงโทษท้าย 45นาทีแรก มาพลิกแซงเป็น 1-2 รัวๆ จาก อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ น.44 และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ น.45 +2

ครึ่งหลังเป็นทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ครองบอลเหนือกว่าชัดเจน และมีโอกาสบวกเม็ด3 แต่ทำไม่ได้ บวกด้วยการที่คล็อปป์ ถอด ซาลาห์ และ โซบอสซ์ไล ออก ทำให้เกมแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด ยูไนเต็ด ก็มาฮึดในช่วงท้ายตีเสมอเป็น 2-2 จากตัวสำรอง อันโตนี่ น.87 และลากยาวไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที เป็น ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่ซัดแฉลบให้หงส์ขึ้นนำ 2-3 น.105
 

แต่ทว่าด้วยแรงฮึดพิเศษของปีศาจแดง รวมถึงเสียงเชียร์ยังโรงละครแห่งความฝัน พวกเขาก็มาได้ประตูตีเสมอ 3-3 จาก มาร์คัส แรชฟอร์ด น.112 และ อาหมัด ดิยาโล่ ตัวสำรองก็มาสวมบทฮีโร่ ทำประตูชัย 4-3 น.120+1 พร้อมโดนใบเหลืองแดง ออกจากสนาม หลังฉลองท่าดีใจถอดเสื้อทันที

จบ120นาที ปีศาจแดง สามารถยุติความหวัง4แชมป์ ของ อริตลอดกาลได้ ด้วยการเขี่ยตกรอบ เอฟเอ คัพ พร้อมยังคงสถิติที่ขี่ลิเวอร์พูลในถ้วย เอฟเอ คัพ ไว้ได้มากๆต่อไป 18นัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะไปได้ถึง 10 เสมอ 4 และพ่ายเพียง4หน
 

โดยหนึ่งจุดที่ต้องชม คือการกล้าได้กล้าเสียของ เอริก เทน ฮาก ด้วยที่ในช่วงต่อเวลาที่เห็น ลิเวอร์พูล ที่หมดแรงล้ามากๆ อาจเนื่องด้วยกรำศึกมาอย่างหนักในเกม ยูโรป้า กุนซือชาวดัตช์เลือกถอดตัวรับออกจะยกแผง และใส่ตัวรุกมาเพียบ บรูโน่ แฟร์นันเดซ ถึงขนาดถอยต่ำไปเล่นเซ็นเตอร์ ก่อนที่จะได้ผลตอบแทนด้วยประตูชัยของ อาหมัด ดิยาโล่
 

ซึ่งหนทางสู่เวมบลีย์ในนัดชิงชนะเลิศของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นสดใสเหลือเกิน เพราะพวกเขาจับฉลากได้คู่แข่งเป็น โคเวนทรี ทีมอันดับ8 เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ ที่สร้างเหตุการณ์สุดดราม่า ซัด2ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บุกเชือด วูล์ฟแฮมป์ตัน มาได้ 3-2
 


การ์นาโช่ ลากเลื้อยสุดสะเด่า มีส่วนร่วมกับประตูผี

เกมพรีเมียร์ลีกเมื่อสัปดาห์ที่่ผ่านมาที่เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 ด้วยรูปเกมที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ก็เป็น อเลฮานโดร การ์นาโช่ นี่แหละที่ใช้สเต็ปเท้าและความเร็วหลอกล่อแนวรับผู้มาเยือนแล้วเรียกเป็น 2จุดโทษ ให้ บรูโน่ แฟร์นันเดซ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด สังหารได้
 

เมื่อคืน การ์นาโช่ ได้ยืนในตำแหน่งปีกขวา แต่ทว่าก็สลับกันเล่นทั้งสองฝั่งกับ แรชฟอร์ด เป็นระยะๆ ซึ่งฟอร์มของเจ้าหนูเลือดฟ้า-ขาว นั่นสุดยอดมากๆ แม้ว่าจะไม่มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ด แต่ทว่าก็มีส่วนร่วมกับทีมบุกของทีมเหลือเกิน
 

ประตูแรกก็เป็นปีกเบอร์17รายนี้แหละที่ยิงให้ เคลเลเฮอร์ เซฟ แล้วบอลมาเข้าทาง สก็อตต์ แม็คโทมิเน่ย์ ซ้ำจ่อๆเข้าไป หรือประตูตีเสมอ 2-2 การ์นาโช่ ที่แหวกตัดเข้าบอลบอลขลุกขลิกไปเข้าทาง อันโตนี่ หมุนตัวยิงเสียบมุมเข้าไป
 

ประตู4-3 ช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที อเลฮานโดร การ์นาโช่ ที่หลุดมาพร้อมกับ อาหมัด แล้วเป็นแอสซิสต์ บวกพยายามดึงตัวประกบใหั คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ ระแวงจน ปีกชาวไอวอรี่ โคสต์ สำเร็จโทษประตูชัยได้สำเร็จ
 

สิ่งที่แข้งวัย19ปี ทำได้ดีมากๆนั่นก็คือ การเลี้ยงกระชากเปิดพื้นที่แบ็กซ้ายและขวาของลิเวอร์พูล รวมถึงพลังกำลังความมุ่งมั่นที่เหลือล้น 120นาที เรายังเห็นการ์นาโช่ วิ่งใส่เต็มสปีดได้อยู่เลย โดยเฉพาะประตูชัย 4-3 เรียกว่าหลายเพลย์การโจมตีเมื่อคืน มีจุดเริ่มต้นตัวสปาร์คไฟของเจ้าตัวเลย
 


ซาลาห์ สถิติโหดยิงผี เปลี่ยนออกเกมหงส์ก็เปลี่ยนด้วย


เป็นดาวเตะที่นิยมชมชอบในการยิงประตู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงๆสำหรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพราะเกมเมื่อคืน ลูกยิงซ้ำของเจ้าตัวนี่คือ เม็ดที่13แล้ว ที่ซัดใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นที่อังกฤษรอบ2 เมื่อฤดูกาล 2017-2018
 

และนอกจากนี้ บังโม ยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการบุกมายิงประตูที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้5นัดติดต่อกัน เป็นคนแรกที่ทำสถิตินี้ได้ โดยสตาร์ชาวอียิปต์ อันตรายมากๆ เวลาเจอกับปีศาจแดง ซาลาห์ เกือบทำให้ทีมขึ้นนำไปก่อนด้วยซ้ำจากลูกวอลเล่ย์ท่ายากแต่บอลหลุดเสาออกไปนิดเดียว
 

แม้ว่าจะโดน อารอน วาน-บิสซาก้า ลงทุนไปไหนไปด้วยตามประกบติด แต่ทว่าเมื่อเวลาที่ ซาลาห์ ได้บอล แนวรุกของลิเวอร์พูล นั้นก็จะดูอันตรายเสมอ เพราะแข้งเบอร์11รายนี้ ดึงตัวประกบ หรือจ่ายคิลเลอร์พาส รวมไปจนถึงสร้างความระแวงให้แผงหลังคู่แข่งได้
 

การยืนถูกที่ถูกเวลานี่คือสิ่งที่ ซาลาห์ ทำได้ดีมาตลอด เพราะประตู 2-1 ตามซ้ำลูกยิงของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ อ็องเดร โอนาน่า ปัดออกมาได้ คล้ายๆกับ ในฤดูกาล 2022-2023 เกมที่แพ้ 2-1 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซาลาห์ ก็ตามโขกซ้ำลูกยิงของ ฟาบิโอ คาวัลโญ่ ที่ ดาบิด เด เคอา ปัดมาได้ เช่นกัน
 

ซึ่งช่วงที่ลิเวอร์พูลนำ2-1 พวกเขามีโอกาสเยอะมากที่จะจบสกอร์เป็น 3-1 แต่ทว่าเพื่อนร่วมทีมรายอื่นๆจบกันได้ไม่คมเอง ยิ่งมีช็อตหลุดมา5ต่อ2 แต่ทว่า ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ จ่ายบอลไปเข้าเท้า แฮร์รี่ แม็คไกวร์ แบบเสียของสุดๆ โอกาสทองจะฝังดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
 

อาจจะด้วยรูปเกมที่เหนือกว่าสุดๆในครึ่งหลัง ไม่รู้ว่าทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ประมาณรึเปล่า ทำให้เลือกถอด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ออกแล้ว ให้ โคดี้ กัคโป ลงไปแทน ซึ่งเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ช่วงที่ดีของแข้งชาวดัตช์ฟอร์มดีสักเท่าไหร่ ทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูล ดูอืดและช้าไปเลย กับช่วงเวลาที่เหลือ

 

กัคโป เก็บบอลไม่ได้ นูนเญซ ไม่ใช่นัดที่ดี

ถ้ามองวิเคราะห์ผลงานจากภาพรวม นี่คือฤดูกาลที่ดีมากๆเลยของ ดาร์วิน นูนเญซ เพราะทำไปได้แล้วถึง 17ประตูรวมทุกรายการ แถมยังเป็นประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ช่วงสำคัญกับเกมนิวคาสเซิ่ล 2-1 และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0
 

ส่วนในเกมกลางสัปดาห์ที่อัด สปาร์ต้า ปราก 6-1 ดาวยิงชาวอุรุกวัย ก็ได้เล่นแค่ครึ่งเดียว แต่ก็ยังมี1ประตูมาฝาก แต่ทว่าก็มีช็อตพลาดหมูหก 2-3 หลาเช่นเคย เกมกับปีศาจแดงด้วยสปีดและความเร็ว ทำให้ นูนเญซ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงต่อเนื่อง
 

แต่ทว่าเมื่อคืนจังหวะการเล่นของดาวยิงแตะหลัก100ล้านยูโร ดูขาดๆเกินๆยังไงก็ไม่รู้ โดยเฉพาะจังหวะการประสานงานกันกับ หลุยส์ ดิอาซ และ ซาลาห์ ยังดีที่มีส่วนร่วมในการ แอสซิสต์ให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ยิงดาบแรกติดเซฟออกมาให้ ซาลาห์ ซ้ำ มีโอกาสยิงอีก2ครั้ง แต่ไม่หนีมือ โอนาน่า
 

นูนเญซ ได้เล่นไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ120นาทีเลย ซึ่ง เจ้าตัวเป็นคนที่ทำผิดพลาดมหันต์มากๆ เพราะจ่ายบอลเสีย ในจังหวะที่ไม่มีความกดดันอะไรเลย จนโดน อาหมัด ดักได้ บอลเด้งไปเข้าทาง แม็คโทมิเน่ย์ และจ่ายให้ แรชฟอร์ด ตีเสมอ 3-3
 

ส่วน โคดี้ กัคโป ที่ลงมาแทน ซาลาห์ น.77 ต้องบอกเลยว่าทำให้ แนวรุกของลิเวอร์พูล ความน่ากลัวลดลงไปพอสมควร เพราะทั้งเก็บบอลไม่ได้ เฉื่อย ไม่มีอิมแพคต่อเกมบุกเลย แถมยังตัดสินใจบางจังหวะผิดพลาด
 

เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีของ กัคโป จริงๆ1-2 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าเมื่อกลางสัปดาห์ อดีตแข้งพีเอสวีรายนี้ จะเหมาเบิ้ลไป2เม็ด ก็ตาม แต่ทว่านั้นก็เพราะว่าเป็นการเจอกับทีมสมันน้อยด้วยส่วนหนึ่ง แตกต่างจากเมื่อคืนที่เป็นเกมชี้ชะตาบิ๊กแมตช์ แต่การที่เจ้าตัวลงมาทำให้แนวรับแผ่วและพลังงานลดลงไปพอสมควร
 


เทน ฮาก เลิกกลัว กล้าเปลี่ยนตัวผู้ชนะ

นอกจากผลงานแล้ว สิ่งหนึ่งที่ เอริก เทน ฮาก โดนแฟนบอลปีศาจแดงโจมตีอย่างหนักหน่วงนั่นก็คือ รูปแบบและวิถีการเล่น ที่เป็นเหมือนการด้อยค่าตัวเองเหลือเกิน เน้นรัดกุมมากเกินไปหน่อย ทั้งที่ศักยภาพทีมตัวผู้สามารถเปิดเกมรุกเข้าใส่ได้
 

มีที่ไหนได้เล่นในบ้านเกมกลับเป็นรองทั้ง บอร์นมัธ - ฟูแล่ม หรือ เอฟเวอร์ตัน โดยในศึกแดงเดือดฉบับ เอฟเอ คัพ ETH ได้ลดละเลิก ความปอดแหกดังกล่าว ด้วยการเปิดเกมเข้าแรกใส่ ลิเวอร์พูล อย่างเมามัน เมื่อมีพื้นที่โจมตีในแดน3 พวกเขาสร้างความอันตรายได้เป็นระยะ
 

ที่จริง ยูไนเต็ด ควรนำห่าง 2-0 ด้วยซ้ำหากว่า " แม็คทอม " คมกว่านี้ แต่ทว่าด้วยความชะล่าใจไปหน่อยนี่แหละทำให้โดนแซงรัวๆเป็น 2-1 ช่วงท้ายครึ่งแรก พอมาจนถึงครึ่งหลังเกมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยังไม่ฟื้น
 

จนมาช่วง10นาทีสุดท้าย เทน ฮาก กล้าเสี่ยงด้วยการถอดกองหลังอย่าง ราฟาแอล วาราน ออก เป็น อาหมัด ดิยาโล่ ลงมาแทน แถม แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่ลงมาเป็นสำรอง ก็มีบทบาทเป็นตัวค้ำเล่นลูกกลางอากาศในเกมรุกซะเยอะ
 

และต้องไม่ลืมว่าช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที แผงรับแบ็กโฟร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีหน้าตาออกมาเป็น ดาโล่ต์ - แม็คไกวร์ - บรูโน่ และ อันโตนี่ แสดงให้เห็นว่าเกมที่ไม่มีอะไรจะเสีย (แพ้มากแพ้น้อยมีผลเท่ากัน) อดีตกุนซือ อาแจ็กซ์ บ้าบิ่นมากขนาดไหน
 

สุดท้ายจริงๆต้องให้ เครดิต ความใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ของผู้เล่นปีศาจแดงเพราะปรกติ โดนนำไปถึง 2รอบ น่าจะจิตใจห่อเหี่ยวไปแล้ว แต่ทว่าก็สู้ไม่ยอมตาย วิ่งจนวินาทีสุดท้าย จนตีเสมอ และแซงเอาชนะ 4-3 ได้สำเร็จ ชนิดเร้าใจและกระชากอารมณ์แฟนบอลสุดๆ
 


ผีข่มหงส์ เอฟเอ คัพ แดงเดือดมันๆแบบนี้ที่หายไปนาน

เอาแค่ในช่วง2-3ปีหลัง ต้องบอกว่าเป็นแดงเดือดที่เดือดอยู่ฝ่ายเดียวเลยก็ว่าได้ เพราะ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั่นขาขึ้นเหลือเกิน ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงรอยต่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา - ราล์ฟ รังนิก รวมมาจนถึง เอริก เทน ฮาก มีแต่สาละวันเตี้ยลง ไม่ก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
 

เราจึงได้เห็นสกอร์ขาดลอยย่อยยับที่ลิเวอร์พูล บรรจงยัดเยียดให้กับคู่อริตลอดกาลทั้ง 7-0  / 5-0  / 4-0 เป็นการสนุกฝั่งเดียวเสียมากกว่า บวกกับฟอร์มของหงส์แดง หลังจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ประกาศอำลาล่วงหน้า ทำให้แข้งลิเวอร์พูลมีบัฟ วิ่งกันทะลุ 80ตีนถีบ หมายส่งท้ายสวยๆให้บอส
 

ทำให้ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น ลิเวอร์พูล ดูเป็นต่อมากๆ จากราคาของบ่อนพนันถูกกฎหมาย แต่ทว่าเป่านกหวีดเริ่มเกมมา เหลือชื่อว่า เจ้าบ้านจะเปิดเกมรุกเข้าใส่ได้ มีบีบสูง แถมยังมาชิงซัดประตูขึ้นนำไปก่อนอีกด้วย
 

สกอร์4-3 ที่ต้องไปวัดกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที นี่ต้องบอกว่าเป็นแดงเดือดที่เดือดที่สุด ในรับ10กว่าปีได้เลย พลัดกันนำ ผลัดกันตาม และที่สำคัญที่สุดปีศาจแดงที่ดูเป็นรอง รวมพลังกันสู้ขาดใจดิ้น 53ครั้ง นี่คือโอกาสยิงรวมกันในศึกแดงเดือด บอกถึงความเมามันสุดๆ
 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูล ดร็อปลงไปนั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นี่แหละ บวกกับ ผลพวงอาจมาจากเกมกลางสัปดาห์ ยูโรป้า ลีก ที่พวกเขาใช้ผู้เล่นตัวจริงหลายราย กรำศึกในเกมที่เอาชนะ สปาร์ต้า ปราก 6-1 นั่นทำให้ตั้งแต่ช่วง10นาทีสุดท้าย ไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ แข้งหงส์เหมือนจะหมดพลังจริงๆ
 

หลังจบเกมทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพิ่มสถิติข่มลิเวอร์พูลได้มากๆ ในรายการ เอฟเอ คัพ เพราะ18นัด พวกเขาชนะ 14 - เสมอ 4 และแพ้ 4 โดยหงส์แดง ไม่เคยบุกมาเอาชนะปีศาจแดงที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในรายการนี้ มาร่วม100กว่าปีแล้ว

 

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง