โกงความตาย ! ผี ตามเจ๊าสิงห์ ทดเจ็บ 1-1 คาเซมิโร่ โขกเซฟชีวิต 90+4
แม้ว่าสกอร์จะไม่ได้ยิงกันถล่มทลายระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่ทว่าก็เป็นเกมที่มีอัตราความเมามันสูงจริงๆกับคู่บิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์นี้อย่าง เซลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สองทีมกลุ่มบนของตารางที่ในระยะหลังพัฒนาฟอร์มการเล่นเป็นอย่างมาก ของสิงห์บูลส์ ก็นับตั้งแต่ เปลี่ยนกุนซือมาเป็น เกรแฮม พ็อตเตอร์
ส่วนของปีศาจแดง นับตั้งแต่ เอริก เทน ฮาก เข้ามาคุมทีม และการปรับตัวให้เข้ากับระบบและเพื่อร่วมทีมของ คาเซมิโร่ โดย90นาที ผลลัพธ์ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จบลงด้วยการเสมอกันไปแบบดราม่าระทึกขวัญ 1-1
โดยเกมในช่วง35นาทีแรก ต้องบอกได้เลยว่าทีมสีแดงแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ทำได้ดีกว่าชัดเจนทั้งในเรื่องของรูปเกม การครองบอล การหาจังหวะทำประตู แต่ทว่าพวกเขากลับไม่เฉียบขาดกันไปเอง ทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ แอนโทนี่
อย่างไรก็ตามด้วยรูปเกมที่เป็นรองมากๆของเซลซี ทำให้กุนซือ เกรแฮม พ็อตเตอร์ ไม่รีรออะไรที่จะเปลี่ยนตัวเปลี่ยนแท็กติก จาก 3-4-2-1 มาเป็น 4-3-3 ด้วยการถอด มาร์ค คูคูเรย่า ออก แล้วให้ มัตเตโอ โควาซิซ ลงมาบู๊แทน น.36 หลังจากนั้นรูปเกมของทีมเจ้าบ้านก็ดีขึ้นทันตาเห็น
มิดฟิลด์2คน รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ จอร์จินโญ่ เมื่อได้ โควาซิซ ลงมาทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น รวมไปจนถึงเกมก็ตกมาอยู่ภายใต้การคอนโทรลของเซลซีมากขึ้น หลังก่อนหน้านั้นเกมตรงกลางสนาม หรือจังหวะสองต่างๆเป็น คาเซมิโร่ และ คริสเตียน อิริคเซ่น เก็บกินได้เกือบหมด
ครึ่งหลังเกมทำท่าจะจบลงด้วยสกอร์ 0-0 อยู่แล้ว แต่ทว่าเซลซี ก็มาได้จุดโทษเมื่อ สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ไปเสียค่าโง่ใช้มือเหนี่ยว (ดึง) อาร์มานโดร โบรย่า ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที และก็เป็น จอร์จินโญ่ ซัดขึ้นนำ 1-0 น.87
ณ ตอนนี้แฟนบอลปีศาจแดง น่าจะสารภาพกับความปราชัยดังกล่าวแล้ว เนื่องจากในสนามมีแต่ผู้เล่นตัวรับอย่าง เฟร็ด - สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ รวมไปจนถึง คาร์เซมิโร่ เพราะต้องพอใจกับผลเสมอ 0-0 (ตอนที่ยังไม่ถูกนำ) แต่ทว่าอย่างไรก็ตามความพยายามของพวกเขาก็มาสัมฤทธิผลจนได้ ใน น.90+4
เมื่อ ลุค ชอว์ ครอสบอลจากทางฝั่งซ้ายไปให้ คาเซมิโร่ โขกย้อนทางไปเสาสอง แม้ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า จะปัดและตามควักบอลออกมาได้ แต่ทว่าเทคโนโลยีโกลไลน์ ก็แจ้งเตือนไปยังผู้ตัดสินว่าบอลข้ามเส้นไปทั้งใบแล้ว ซึ่งหลังถูกยืนยันว่าเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ผู้ทำประตู คาเซมิโร่ ก็แสดงอารมณ์ร่วมสะใจสุดขีดกับแฟนบอล หลังโกงความตายดังกล่าว
35นาทีแรก วันเวย์ผี แต่ขาดความคม
รูปเกมถือว่าฟอร์มดีเกินคาดจริงๆ สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการมาเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ 35นาทีแรก เพราะเกมแทบจะเป็นของพวกเขาแบบวันเวย์ 2มิดฟิลด์ในแดนกลางอย่าง คาเซมิโร่ และ คริสเตียน อิริคเซ่น ครองเกมได้อย่างอยู่หมัด
รวมไปจนถึงผู้เล่นคนอื่นๆก็ช่วยกันวิ่งไล่เพรสซิ่งได้เป็นอย่างดี แต่ทว่าปีศาจแดง ก็ยังคงมีปัญหาในแบบที่เราๆเห็นในซีซั่นนี้นั่นก็คือ การขาดผู้เล่นในตำแหน่งหน้าเป้า อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่เหมือนจะฟอร์มดีขึ้นมาช่วงปรี-ซีซั่น ก็มาเจออาการเดี้ยงเล่นงานไม่หยุดหย่อน
ส่วน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็สร้างคอนเท้นต์ ไม่หยุดหย่อน กับการเดินออกจากสนามตั้งแต่ยังไม่จบเกม(กับ สเปอร์ส) จนโดนสโมสรลงโทษตัดชื่อออกจากทีมในเกมกับเซลซี ทำให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ยืนค้ำเป็นหน้าเป้าตามเดิม
" แรชชี่ " ด้วยความที่ไม่ได้เป็นหน้าเป้าธรรมชาติ ทำให้มิติการเข้าทำของ ยูไนเต็ด ไปยังศูนย์หน้า ทำให้ต้องอาศัยการแทงทะลุช่องอย่างเดียว (หวังจากลูกครอสหรือลูกโยนยาก) แต่ทว่าเมื่อคืน แรชฟอร์ด ก็มีจะหวะได้ซัดเหน่งๆเช่นกัน แต่ไม่คมพอผ่านมือ จอมหนึบที่ขึ้นฟอร์มอย่าง เกปา
ครึ่งแรกปีศาจแดง มีจังหวะที่จะขึ้นเกมจ่ายบอลสวยๆหลายครั้ง โดยเฉพาะบอลทางฝั่ง ดิโอโก้ ดาโล่ต์ และ แอนโทนี่ แต่ทว่าทางฝั่งซ้าย ลุค ชอว์ ที่เล่นได้ดี กลับต้องมาตกม้าตายจังหวะต่อเกมของ เจดอน ซานโซ่
โดยอดีตปีก ดอร์ทมุนด์ มีฟอร์มที่น่าผิดหวังมากๆเมื่อคืน ทั้งจ่ายบอลพลาก ดีเลย์เกม และทำบอลเสียง่ายๆเมื่อคืน จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ น.52 ให้ เฟร็ด มาเล่นแทน พร้อมขยับ บรูโน่ แฟร์นานเดซ เอียงไปเล่นทางซ้าย สถิติหลังเกมระบุออกมาว่า เจดอน ซานโช่ สูญเสียการครอบครองบอลมากถึง 10ครั้งด้วยกัน
พ็อตเตอร์ แก้เกมเร็ว
ต้องบอกว่าเป็นการเลือกจัดตัวผู้เล่นของอดีตกุนซือไบร์ทตันที่ผิดพลาดได้เหมือนกัน สำหรับเกมเมื่อคืน เพราะ35นาทีแรก รูปเกมเป็นของทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างชัดเจน เพราะผู้เล่นในแดนกลางของปีศาจแดง เหนือกว่าอย่างชัดเจนทั้ง คาเซมิโร่ และ อิริคเซ่น
บวกกับมิดฟิลด์ของเซลซีในนัดนี้ที่มาในระบบ 3-4-2-1 อย่าง จอร์จินโญ่ และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ไม่ใช่ผู้เล่นประเภทตัวรับ หรือมีคุณสมบัติในการบดบี้ขยี้คู่แข่ง นั่นจึงทำให้การขึ้นเกมจากกลางไปหน้า หรือการลำเลียงบอลจากหลังไปกลางมีอุปสรรคตลอด
ซึ่งปัญหาดังกล่าว เกรแฮม พ็อตเตอร์ ก็ไม่รีรอเลยที่จะเปลี่ยนฟอร์เมชั่นการเล่น และเปลี่ยตัว โดย มาร์ค คูคูเร่ย่า ที่ได้เล่นเป็นเซ็นเตอร์ฝั่งซ้ายในระบบหลัง3 ถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ น.36 ให้ มัตเตโอ โควาซิซ ลงมาเล่นแทน
พร้อมเปลี่ยนระบบจาก 3-4-2-1 มาเป็น 4-3-3 หรือ 4-3-2-1 เมื่อ โควาซิซ ลงมาเกมของทีมสิงห์บูลส์ดีขึ้นอย่างชัดเจน เก็บจังหวะสอง ครองบอล หรือพลิกจากการโดนเพรสซิ่งได้ ซึ่งถือว่าเป็นการแก้เกมเร็วอีกหนึ่งนัดที่เข้าตาของ พ็อตเตอร์
ซึ่งอีกการเปลี่ยนตัวที่ได้เห็นผลของกุนซือวัย 47ปีที่ได้ผลเป็นอย่างมาก นั่นก็คือการถอดเอา ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ออก แล้วให้ อาร์มานโด โบรย่า ที่มีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนลงมาเล่นแทน เพื่อหวังโจมตีลูกโด่งใส่ปีศาจแดง
และก็เป็นศูนย์หน้าวัยรุ่นชาวแอลเบเนียรายนี้นี่แหละ ที่ทำให้ทีมได้จุดโทษ เพราไปโดน สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ เสียค่าโง่ ไปใช้มือเหนี่ยวล้มในกรอบเขตโทษ
คาเซมิโร่ ฟอร์มชุดขาว แพสชั่นมาเต็ม
ตอนแรกที่ย้ายมา และเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวสำรองของ สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ (ในช่วงร่างทอง) แถมพอได้ลงมา เป็นตัวสำรอง ก็โชว์ฟอร์มแปลกๆจ่ายบอลเสีย จังหวะจะโคนไม่เข้ากับเพื่อนร่วมทีมจริงๆสำหรับ คาเซมิโร่
แต่ทว่าเมื่อได้เริ่มออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ กองกลางเลือดแซมบ้ารายนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าทำไมถึงยึดตำแหน่งตัวจริงในแผงมิดฟิลด์ของ เรอัล มาดริด มาได้ ร่วมๆ8ปี พร้อมซิวแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีกไปถึง5สมัย
คาเซมิโร่ โดดเด่นมาต่อเนื่องทั้งในเกม เอฟเวอร์ตัน - สเปอร์ส มาจนถึงล่าสุดกับเซลซี ครึ่งแรกเจ้าตัวทำงานของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งบดบี้ทำลายเกมคู่แข่ง ลงมาช่วยซ้อนกองหลัง คุมจังหวะTempo บอลในแดนกลาง
มิดฟิลด์วัย30ปีรายนี้ จ่ายบอลได้อย่างแม่นยำ คอยดักจังหวะบอลของผู้เล่นทีมเจ้าบ้านได้เยี่ยม อยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอทั้งการเล่นเกมรับและเกมรุก ช่วยแบ่งเบาภาวะของ คริสเตียน อิริคเซ่นได้เป็นอย่างดี คาเซมิโร่ มีสถิติที่น่าชื่นชมทั้ง แย่งบอลกลับคืนมา 10ครั้ง / ชนะการดวล9ครั้ง / เคลียร์บอล 4ครั้ง / โดนเลี้ยงบอลผ่าน 0ครั้ง / วางบอลยาวเข้าไป 6ครั้ง
ซึ่งประตูโขกตีเสมอโกงความตาย น.90+3 ยิ่งตอกย้ำผลงานที่ยอดเยี่ยมของ อดีตแข้งราชันชุดขาวรายนี้เป็นอย่างดี นอกจากจะทำประตูสุดสำคัญพาทีมแบ่งแต้มออกจาก เดอะ บริดจ์ แล้ว อารมณ์ร่วมความสะใจชนิด80ตีนถีบ หลังโหม่งตีเสมอ ก็บ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่กระหายในชัยชนะและหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ คาเซมิโร่ เป็นอย่างดี
ลิซานโดร พร้อมบวกทุกสถานการณ์
นับตั้งแต่เสียรังวัดไปกับ 2เกมแรกในพรีเมียร์ลีก กับ ไบร์ทตัน และ เบรนท์ฟอร์ด ก็ต้องบอกว่า ลิซานโดร มาร์ติเนซ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้จริงๆว่า ด้วยรูปร่างที่สูงเพียง175 ซม. ก็สามารถเล่นในลีกที่ว่าหินและหนักหน่วงอย่างพรีเมียร์ลีกได้
เกมกับเซลซีเมื่อคืนถือว่าเป็นอีกหนึ่งแมตช์ที่น่าประทับใจของเซ็นเตอร์ร่างเล็กรายนี้ เพราะประสานงานกับ ราฟาเอล วาราน ได้เป็นอย่างดีในการรับมือกับ โอบาเมยอง รวมถึงเหล่าบรรดาตัวสนับสนุนอย่าง เมสัน เมาท์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง
" เดอะ บุตเชอร์ " ทำได้ยอดเยี่ยมทั้ง จังหวะชิงสกัดบอล แย่งบอล เคลียร์ลูกอันตราย กล้าชนกล้าเข้าปะทะจังหวะอันตรายแบบไม่กลัวเจ็บ แถมยังกัดไม่ปล่อยพร้อมชนกับทั้ง เมาท์ และ จอร์จินโญ่ โชคดีที่ผู้ตัดสินไม่ให้ใบเหลืองในจังหวะดังกล่าว
ลิซานโดร ยังมีจุดเด่นในเรื่องของการจ่ายบอล รวมไปจนถึงตะลุยขึ้นมาเล่นบนแดนกลางได้ แถมยังมีจังหวะพุ่งโหม่งแบบไม่กลัวเจ็บ จนบอลทะลุไปถึง บรูโน่ แล้วแทงต่อให้ แอนโทนี่ หลุดไปทางฝั่งขวาซัดออกเสาแรกไปนิดเดียว
อดีตกองหลังอาแจ็กซ์ เข้ามาเติมเต็มให้ แมนฯยูไนเต็ด ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ในเรื่องของการเป็นกองหลังที่กล้าชน เข้าบอลเร็ว ไม่ใช่จดๆจ้องๆไม่ถอยเหมือนพวก แม็คไกวร์ หรือ ลินเดอร์เลิฟ ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีช ของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เมื่อคืนก็คือ เคลียร์บอลได้มากกว่าใครในสนาม7ครั้ง - แท็กเกิ้ลสำเร็จ 5หน
ชาโลบาห์ แข็งแกร่ง - ราฮีม เป็นโรคไม่ยิงผี
การไร้เงา คาลิดู คูลิบาลี่ และ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า และเซลซี ต้องเล่นในระบบหลัง3 ทำให้ กองหลังดาวรุ่งอย่าง เทรเวอร์ ชาโลบาห์ ได้ออกสตาร์ทเป็น11ผู้เล่นตัวจริง ในพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่3ติดต่อกัน ซึ่งเจ้าตัวก็มีสถิติที่ดีมากๆในการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกให้กับสิงห์บูลส์
25นัดของ ชาโลบาห์ ในพรีเมียร์ลีก เซลซียังไม่เคยแพ้ใครเลย เก็บได้12คลีนชีต เสียไปเพียงแค่11ประตู แถมเจ้าตัวยังเติมขึ้นมาเล่นเกมบุกทำไปได้ถึง3ประตู กับอีก1แอสซิสต์ อีกด้วย เมื่อคืนกับแมนยูเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าประทับใจของแนวรับวัย23ปีรายนี้
ชาโลบาห์ ดักจังหวะบอลสำคัญๆของ ยูไนเต็ด ได้ตลอด ไม่เข้าพรวดพราด ตัดบอลได้2ครั้ง แถมยังมีลุ้นทำประตูให้กับทีมได้ด้วยแต่ทว่าน่าเสียดายที่โขกบอลไปชนคานออกหลังไป เคลียร์บอลได้3หน แถมยังประกบ แรชฟอร์ด ได้ดีในเขตโทษอีกด้วย
สำหรับแนวรุกอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง ระยะหลังก็ทำตัวร่างหงุดหงิดแบบช่วงที่เล่นไม่ออกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เช่นกัน โดยดาวเตะก้นโตเงียบเชียบมากๆสำหรับเกมเมื่อคืน ทำตัวยึกยัก ประสานงานกันไม่ติดกับ โอบาเมยอง จังหวะที่ควรยิงกลับจ่ายซะงั้น
จ่ายบอลได้แค่21ครั้ง โอกาสยิง 0 นี่คือผลงานของ สเตอร์ลิง เมื่อคืน โดยหลังจบเกมยิ่งเป็นการเพิ่มสถิติการไม่ถูกโฉลกกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือนัดที่24ที่เจ้าตัวเผชิญหน้ากับ แมนฯยูไนเต็ด แต่ทว่าเจ้าของค่าตัว47.5ล้านปอนด์รายนี้ ยังไม่เคยส่งบอลไปตุงตาข่ายทีมปีศาจแดงได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
- คอลัมน์นิสต์
- 267
- 23 ต.ค. 2565 14:21