ราคาโอเวอร์เรท ? ท็อป5แข้งอังกฤษค่าตัวสุดโหด
ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเตะอังกฤษแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรามักจะได้ยินจากสื่อบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาเองนั่นก็คือคำยกย่องสรรเสริญถึงฝีเท้าความเก่งกาจทางด้านลูกหนังดังกล่าว ที่ดูเหมือนจะเกินความสามารถที่แท้จริงไปหน่อย พอถึงฟุตบอลทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ระดับชาติ เราจึงไม่ค่อยเห็นพลพรรคสิงโตคำรามก้าวไปไกลถึง โทรฟี่แชมป์สักที นับตั้งแต่ปี1966
โดยยูโร2020 ที่จบไปไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อังกฤษ ภายใต้การทำทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็ทะลุไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ ทั้งที่ได้เล่นในสนามบ้านตัวเองอย่าง เวมบลีย์ แต่พวกเขากลับชวดแชมป์โทรฟี่ อองรี เดอ โลเนย์ เมื่อพ่ายให้กับจุดโทษให้กับอิตาลี 2-3 (เสมอกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ120นาที 1-1)
ทั้งที่จะว่าไป ทัพ " ทรีไลออนส์ " ขุมกำลังตัวผู้เล่นชุดนี้พร้อมสุดขีดมากๆ มีดาวรุ่งที่ทะลุเพดานฟอร์มแจ่มหลายคนทั้ง ฟิล โฟเด้น - เมสัน เมาท์ - เจดอน ซานโช่ หรือแม้กระทั่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด
รวมไปจนถึงนักเตะที่ต่างอยู่ในช่วงฟอร์มพีคกันมากๆกับสโมสรอย่าง ลุค ชอว์ - แฮร์รี่ แม็คไกวร์ - จอห์น สโตนส์ และ แฮร์รี่ เคน
นี่ยังไม่นับรวมพวกที่ เป็นม้ามืดที่มาวาดลวดรายในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว อย่าง เดแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ และเหล่าขุมกำลังเสริมตัวสำรองทีมีคุณภาพอย่าง โดมินิค คัลเวิร์ต ลูวิน -บูกาโย่ ซาก้า - คีแรน ทริปเปียร์ และ เบน ชิเวลล์
เรียกว่าขุมกำลังผู้เล่นไม่ได้เป็นรองอังกฤษยุค " โกลเด้น เจนเนอเรชั่น " 2004-2006 ภายใต้การคุมทีมของ " เฒ่าเพลย์บอย " อย่าง สเวน โกรัน อิริคสัน ด้วยซ้ำ
ฝีเท้าของนักเตะอังกฤษ ยังเป็นเครื่องหมายคำถามเสมอ ในเกมเวทีนานาชาติ หลายครั้งพวกเขาไม่เป็นไปตามราคาที่คุยไว้ หรือเป็นไปตามการวิเคราะห์ผ่านหน้าสื่อหน้ากระดาษ
พลพรรค ทรี ไลออนส์ มีหลายครั้งโดนทีมมหาอำนาจลูกหนังในยุโรป (ของแท้) เขี่ยตกรอบเสมอ ไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน ในปี 1996 และ 2010 / โปรตุเกส 2004 และ 2006 / อิตาลี 2012 และ 2020
โดยสิ่งหนึ่งที่สะท้อนคำยกย่องและฝีเท้าในตัวแข้งนักเตะอังกฤษแบบโอเวอร์เรท นั่นก็คือการให้ความสำคัญทางพื้นที่หน้าสื่อ รวมไปจนถึงราคาการซื้อขายนักเตะ ที่ถูกตีปั้นเกินมูลค่าที่ควรจะเป็นเสมอ เมื่อแข้งคนไหนมีสถานะเป็นนักเตะเลือดผู้ดีแล้ว พวกเขาจะมีค่าตัวเพิ่มขึ้นเกินความเป็นจริงในการย้ายทีม ราวๆ 30-40% เลยทีเดียว
เคสที่ โอเวอร์ มากๆ แม้จะยังไม่มีการโยกย้ายสังกัดเกิดขึ้น นั่นก็คือ เดแคลน ไรซ์ ของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ตัวกุนซือของทีมขุนค้อนอย่าง เดวิด มอยส์ ได้เคยพูดทีเล่นที่จริงไว้ว่า ค่าหัวของกองกลางวัย22ปีรายนี้ ต้องทะลุหลัก100ล้านปอนด์ เท่านั้น
ที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นดีลเมื่อคืนวัน ศุกร์ที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังอาร์เซน่อล เปิดตัว เบน ไวท์ จากไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ด้วยค่าตัวที่แพงระยิบถึง 50ล้านปอนด์ แต่ทว่าเมื่อลองไปเทียบกับค่าตัว (รวม แอดออน ต่าง) ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปสอยกองหลังระดับโลกอย่าง ราฟาเอล วาน จาก เรอัล มาดริด ได้ที่ราคาเพียง 43ล้านปอนด์ เท่านั้น
และในอนาคต เราก็มีโอกาสที่จะได้เห็นนักเตะเลือดผู้ดีรายแรก ที่อาจมีค่าตัวในการย้ายทีมที่ทะลุหลัก 100 ล้านปอนด์ เช่นกัน (และมีแนวโน้ม เป็นไปได้สูง) นั่นก็คือ แฮร์รี่ เคน และ แจ็ค กลีลิช นั่นเอง ซึ่งสองสตาร์ดาวดังทั้งคู่ ไม่คนใดคนหนึ่งน่าจะได้ย้ายมาเป็นนักเตะใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ไบน ไวท์ 50 ล้านปอนด์ ( ไบร์ทตัน ไป อาร์เซน่อล ) 2021
เรียกได้ว่าติดโผ Top5 เข้ามาอย่างฉิวเฉียดจริงๆ สำหรับแนวรับคนใหม่ของ อาร์เซน่อล รายนี้ หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทีมปืนใหญ่ ได้ทำการเซ็นสัญญาและเปิดตัว เบน ไวท์ อย่างเป็นทางการ สัญญายาว5ปี และค่าตัวมโหฬาร ตามที่สื่อรายงานไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆนั่นก็คือ 50ล้านปอนด์
ไวท์ ติดโผ แซง ไคล วอล์คเกอร์ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (49ล้านปอนด์) นอกจากนี้กองหลังวัย23ปีที่สามารถเล่นได้ทั้งในตำแหน่งแบ็กขวาและ เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ ยังทำสถิติเป็นนักเตะที่แพงที่สุดเป็นอันดับ3ในประวัติศาสตร์สโมสรอาร์เซน่อล รองจาก นิโคลัส เปเป้ (72ล้านปอนด์) และ ปิแอร์ เอมเมอริค โอบาเมยอง (57 ล้านปอนด์)
การทุบพระคลังสโมสรของอาร์เซน่อลหนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เพราะทัพ เดอะ กันเนอร์ส เองก็ขึ้นชื่อลือชาเหมือนกันสำหรับการต่อราคาค่าตัวนักเตะ รวมไปจนถึงนิยมชมชอบแข้งถูกและดี จากลีกในฝรั่งเศสมากกว่า
โดย เบน ไวท์ จะเข้ามาผนึกกำลังกับบรรดาแข้งเลือดผู้ดีชุดใหญ่ ในทีมที่พอมีอยู่นิดหน่อย อย่าง เอมิล สมิธ-โรล / บูกาโย่ ซาก้า และ ร็อบ โฮลดิ้ง โดยดีลค่าเสียหาย50ล้านปอนด์ของอาร์เซน่อล เป็นที่ถูกตั้งคำถามอยู่ไม่น้อยสำหรับความคุ้มค่า กับนักเตะที่พิสูจน์ตัวเองในเวทีพรีเมียร์ลีกได้เพียงแค่ 1ฤดูกาลเท่านั้น ( 2020-2021 )
ดาวเตะวัย23ปีรายนี้ เริ่มโชว์ฟอร์มเปรี้ยงปร้าง ในตอนที่ถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด ยืมตัวไปใช้งานใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ 2019-2020 และ ไวท์ ได้ลงเล่นให้ทัพ ยูงทอง ครบ46นัดในเกมลีก
ก่อนที่ทีมนกนางนวลจะดึงตัวกลับมาในซีซั่นล่าสุด 2020-2021 โดย เบน ไวท์ ได้ลงเล่นให้ไบร์ทตัน ในพรีเมียร์ลีก 36นัดด้วยกัน และหากจะว่าตามความเป็นจริง ในแผงหลังเพื่อนร่วมทีม ลูอิส ดังค์ ยังโดดเด่นกว่าด้วยซ้ำ
เบน ชิเวลล์ 50ล้านปอนด์ (เลสเตอร์ ไป เซลซี) 2020
ติดโผเข้ามาอีกแล้วสำหรับ เบน แต่หนนี้เป็น เบน ซิเวลล์ ที่ย้ายจากเลสเตอร์ ซิตี้ มายัง เซลซี เมื่อซัมเมอร์ 2020 ด้วยค่าตัวที่ทีมสิงห์บูลส์ยอมวอดวายให้กับ ทีมจิ้งจอกสยามที่ราคา 50ล้านปอนด์ แต่ทว่าเมื่อเทียบกับฝีเท้าและความสามารถแล้ว ไม่น่ามีใครเคลือบแคลงใจเท่าไหร่
โดยผลงานฤดูกาลแรกกับเซลซีในพรีเมียร์ลีก แบ็กวัย24ปีรายนี้ ทำไปได้3ประตู 5แอสซิสต์ จากการลงสนาม27นัด ส่วน2ซีซั่นสุดท้ายกับเลสเตอร์ ชิเวลล์ ทำไปได้รวม 3ประตู กับอีก7แอสซิสต์ในลีก
อดีตแบ็กทีมจิ้งจอกสยามรายนี้ คือนิยามของคำว่าแบ็กแบบสมัยใหม่อย่างแท้จริง เต็มไปด้วยทักษะความสามารถเหมือนผู้เล่นในเกมรุก และขึ้นเกมบุกอย่างหวังผลได้ทั้งประตูและแอสซิสต์ เซลซี เองก็ตามหาแบ็กซ้ายในแบบฉบับของ แอชลี่ย์ โคล มาอย่างยาวนาน ใกล้เคียงสุดแต่ก็ไม่เหมือนเห็นทีจะเป็น มาร์กอส อลอนโซ่
ส่วนรายอื่นๆอย่าง ฟิลิปเป้ หลุยส์ - บาบ้า ราห์มาน รวมไปจนถึง เอเมอร์สัน ต่างล้วนแล้วเอาชื่อเสียงมาทิ้งที่สแตมฟอร์ม บริดจ์ ทั้งสิ้น มีเพียงแต่ เบน ชิเวลล์ ที่ดูพอจะไปได้ตลอดรอดฝั่งได้
แม้ว่าจะหลุดจากตำแหน่งตัวจริงหลังจากการมาของกุนซือคนใหม่ โธมัส ทูเคิ่ล ที่นิยมชมชอบในการติดตั้งระบบหลัง3 ทำให้ช่วงแรกๆเสียตำแหน่ง แบ็กซ้ายตัวจริงให้กับ มาร์กอส อลอนโซ่
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามแบ็กซ้ายชาวอังกฤษรายนี้ ก็ค่อยๆเรียนรู้ การเล่นระบบหลัง3ดังกล่าว ที่เปลี่ยนจากฟูลแบ็ก มาเป็นวิงแบ็ก จนแย่งตำแหน่งตัวจริงมากจากแบ็กชาวบราซิลได้ และ ชิเวลล์ เอง ก็ได้ออกสตาร์ทเป็น 11ผู้เล่นตัวจริงในตำแหน่งแบ็กซ้าย ในนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ได้อีกด้วย
ราฮีม สเตอร์ลิง 50 ล้านปอนด์ (ลิเวอร์พูล ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้) 2015
เป็นดีลที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมจ่ายให้ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น และถือว่าแพงไม่น้อย 50ล้านปอนด์ รวม แอด ออน ต่างๆ ของ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่อายุเพียงแค่20ปี และยังไม่มีความสำเร็จถ้วยรางวัลติดไม้ติดมือมาเลย แต่ทว่าดาวเตะก้นงอนรายนี้ ก็ทะลุขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของทีมหงส์แดงได้ตั้งแต่อายุ 17ปี
ในฤดูกาล 2013-2014 ที่ลิเวอร์พูล เกือบคว้าแชมป์ลีก นอกจาก " พี่เฉาะ " หลุยส์ ซัวเรส และ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่ยิงกันอย่างกระจุยกระจายระเบิดภูเขาเผากระท่อมแล้ว ก็มี ราฮีม สเตอร์ลิง นี่แหละที่เป็นหน่วยกำลังเสริมชั้นดี ช่วยยิงช่วยแอสซิสต์ให้กับทีมเครื่องจักรสีแดง
ราฮีม ฝากผลงาน 23ประตู จาก129นัดในสีเสื้อแดงเพลิง แต่ทว่าฤดูกาลสุดท้ายก่อนย้ายไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เจ้าตัวแสดงอาการอยากย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ อย่างออกหน้าออกตา ก็ทำให้แฟนบอล เดอะ ค็อป บางส่วน ผลักไสไล่ส่งเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย
สเตอร์ลิง ฤดูกาลแรกกับทีมเรือใบสีฟ้า 2015-2016 ในยุคของ มานูเอล เปเยกิรี่ เจ้าตัวยังไม่ค่อยได้ฉายแสงสักเท่าไหร่ แต่ทว่าเมื่อ ซิตี้ เป็นกุนซือมาเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทิศทางต่างๆของแข้งอังกฤษเชื้อสายจาไมก้ารายนี้ ก็เป็นไปในทางบวกที่ดีขึ้น
อดีตกุนซือบาร์ซ่า ได้บ่มเพาะแนะแนวทางทัศนคติในการเล่นฟุตบอลที่ถูกต้อง และสเตอร์ลิงก็กลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของ ผู้จัดการทีมชาวสเปนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แม้จะมีจังหวะกระชากลากเลื้อยที่เรียกเสียงสบถด่าจากแฟนบอลอยู่เป็นระยะ แต่ ราฮีม ก็มักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลา พิกัดที่จะทำประตูได้เสมอ แถมยังสอดขึ้นมาทำแฮตทริกได้บ่อยครั้ง ทั้งที่ไม่ใช่ผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า
114ประตู จากการลงสนาม 294นัด รวมทุกรายการกับ ซิตี้ แถมยังกลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในฟุตบอลถ้วยยุโรป มากที่สุดเป็นอันดับ2ของสโมสร (21ประตู)
การจ่าย50ล้านปอนด์ ให้กับหงส์แดงเมื่อปี 2015 ถือว่าคุ้มค่าถอนทุนคืนแล้วจริงๆสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้ว่าซีซั่นที่พึ่งจบไปช่วงท้ายฤดูกาล สเตอร์ลิง จะสูญเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับดาวเตะรุ่นน้องอย่าง ฟิล โฟเด้น ก็ตาม
เจดอน ซานโช่ 73ล้านปอนด์ ( ดอร์ทมุนด์ ไป แมนฯยูไนเต็ด ) 2021
พึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเหมือนกันสำหรับ ดีลมหากาฬตำนาน 48 ชั่วโมงอย่าง เจดอน ซานโช่ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ลากยาวมาจากซัมเมอร์ ปี 2020 หลังจากที่ทั้งสองทีมเล่นชักกะเย่อ หาข้อตกลงที่โอเคยินยอมกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้ จนซัมเมอร์นี้ 2021 เรื่องราวก็จบอย่าง แฮปปี้ เอนดิ้ง เจดอน ซานโช่ ได้เปลี่ยนจากการสวมเสื้อสีเหลือง มาเป็นสีแดงสมใจ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัว เจดอน ซานโช่ มาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัว73ล้านปอนด์ วอดวายน้อยกว่าก่อนหน้า ที่ทางทีมเสือเหลืองตั้งค่าตัวของสตาร์ตัวเก็งของทีมรายนี้ ทะลุหลัก100ล้านปอนด์
ปีกวัย21ปี กลับมาอังกฤษหนนี้ พร้อมประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมในเวทีบุนเดสลีก้า 4ปีเต็ม และพัฒนาจากผู้เล่นระดับดาวรุ่งเป็นสตาร์หน้าจับตามองในลีกเมืองเบียร์
50ประตู 64 แอสซิสต์ กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นี่คือเครื่องการันตีผลงานของปีกดาวรุ่งรายนี้ได้เป็นอย่างดี แถมยังติดทีมยอดเยี่ยมของบุนเดสลีก้า อีก2สมัย 2018-2019 และ 2019-2020
ปีศาจแดงที่มีปัญหาผู้เล่นในตำแหน่งปีกขวามาตลอดในระยะหลัง ทั้ง เมมฟิส เดอ ปาย - เฮนริค มคิทาร์ยาน รวมถึงผู้เล่นที่ถูกดันมาเล่นแก้ขัดบางช่วงเวลาอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ทำไม่ได้ตามที่คาดหวังเพราะไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด ยังไม่นับรวมเคสของ ฆวน มาต้า และ เจสซี่ ลินการ์ด ที่เข้าๆ ออกๆตำแหน่งดังกล่าว
แต่ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ เจดอน ซานโช่ นั่นก็คือ ความกดดันและความคาดหวังอันมหาศาล จากแฟนผีทั้งในไทยและอังกฤษ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครรอให้เจ้าตัวได้ใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับระบบทีมได้แน่
ถ้าช่วงแรกยังไม่เปรี้ยงปร้างคำถามตัวโตๆจะตามมาแน่นอน และเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับแข้งวัย21ปีรายนี้ ในเกมเปิดหัวพรีเมียร์ลีก ที่แมนฯยูจะเปิดบ้านพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม นี้
แฮร์รี่ แม็คไกวร์ 80ล้านปอนด์ ( เลสเตอร์ ซิตี้ ไป แมนฯยูไนเต็ด) 2019
หาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ พณ ท่าน เอ็ด วู้ดเวิร์ด ไม่ดึงเชิงกวนประสาทเลสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาอาจไม่ต้องเจ็บตัวหนักกับค่าตัวของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ มหาศาลถึงขนาด80ล้านปอนด์ ทุบสถิติเป็นกองหลังที่แพงที่สุดในโลก ทั้งที่ยังไม่เคยได้โทรฟี่แชมป์ติดมือรายงานใดๆเลย
ความกดดันนี่คือสิ่งที่ แม็คไกวร์ ได้รับตั้งแต่วันแรกที่เซ็นสัญญาด้วยค่าตัว 80ล้านปอนด์ เพราะมีไม่น้อยที่นำเจ้าตัวไปเปรียบเทียบกับเซ็นเตอร์ฮาร์ฟขั้นเทพ ที่พิสูจน์ฝีมือของตัวเองมาแล้วกับ ลิเวอร์พูล แล้วอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แถมยังค่าตัวของกองหลังชาวดัตช์รายนี้ยังถูกกว่าอีกด้วย (75ล้านปอนด์)
แม็คไกวร์ โดนโจมตี และพลาดง่ายๆให้เห็นหลายครั้งในสีเสื้อของปีศาจแดง จนถูกตัดคลิปจังหวะเฟอะฟะมาให้ชมกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่เป็นกองหลังร่างใหญ่ สปีดที่ช้าทำให้เซ็นเตอร์แบ็กวัย28ปีรายนี้ โดยดาวเตะประเภทรถด่วนจี๋กระชากหายหลายครั้ง
แต่ทว่ามองถึงภาพรวม กัปตันหัวแตงโม รายนี้สำคัญต่อปีศาจแดงไม่น้อย เพราะเป็นคนที่ทำให้เกมรับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความเสถียรมากขึ้น สังเกตได้ว่าในช่วงท้ายฤดูาลที่ผ่านมา หลังจากที่แม็คไกวร์เจ็บ แนวรับของปีศาจแดงรวนทันที เมื่อ4นัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีก โดนคู่แข่งเจาะตาข่ายไปถึง 8ลูกเลยทีเดียว
แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เป็นอีกหนึ่งกองหลังที่เชี่ยวชาญในลูกกลางอากาศมากๆ และเป็นจุดแข็งจุดขายของเจ้าตัวเลยทีเดียว อีกหนึ่งข้อดีของอดีตเซ็นเตอร์ฮาร์ฟ "เดอะ ฟ็อกซ์ " รายนี้ นั่นก็คือความ อึด ถึก ทน เพราะก่อนได้รับบาดเจ็บ แม็คไกวร์ ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกให้ปีศาจแดงนานถึง 72นัดติดต่อกันไม่มีพัก
ฟอร์มที่โดดเด่น ของเจ้าตัวกับทีมชาติอังกฤษ ในยูโร2020 รวมไปจนถึงพาร์ทเนอร์ใหม่ระดับโลก อย่าง ราฟาเอล วาราน ที่จะเข้ามาประสานงานร่วมกัน น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่แฟนผีคาดหวังกับ แม็คไกวร์ มากกว่า2ปีที่ผ่านมาไม่น้อยเลยทีเดียว
- คอลัมน์นิสต์
- 751
- 31 ก.ค. 2564 14:57