ถ้วยนี้ของพี่เขา ! ชุดชาว รัวแซงท้ายเกม บุกเฉือน เรือใบ 3-2 จู๊ด ฮีโร่ ทดเจ็บ

ด้วยระบบการแข่งขันแบบใหม่ นั่นทำให้ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องมีคู่บิ๊กแมตช์ ตั้งแต่หัววันเลย โดยทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เรอัล มาดริด ที่ไม่ได้จบเป็น8ทีมที่ดีที่สุด เข้ารอบไปแบบอัตโนมัติ ทำให้พวกเขาต้องมาฟัดกันเอง ตั้งแต่ในรอบ เพลย์ออฟ ซึ่ง เอาฟอร์มฤดูกาลนี้ ต้องบอกว่า ราชันชุดขาว ที่แม้ไม่ได้พีคมาก แต่ก็ยังดูเหนือกว่า เรือใบสีฟ้า ที่เสียทรงมา และท้ายที่สุดแล้วนัดแรกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ก็เป็น ราชันชุดขาว ที่มาแซงท้ายเกมเอาชนะ ซิตี้ ไปแบบระทึกขวัญ 3-2

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เกมพรีเมียร์ลีก พึ่งแพ้อาร์เซน่อล มาแบบขาดลอย 1-5 และมาแก้ตัวในเกม เอฟเอ คัพ ได้ แต่ทว่าก็ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ กว่าจะเฉือน เลน์ตัน โอเรียนต์ จากลีก วัน มาหืดจับ 2-1 การเปิดบ้านเจอกับ เรอัล มาดริด ยูซีแอล เพลย์ออฟ นัดแรก พวกเขาเล่นในระบบ 4-2-3-1

โกล เอแดร์ซอน แบ็กซ้าย-ขวา ยอสโก้ กวาร์ดิโอล กับ ริโก้ ลูอิส คู่เซ็นเตอร์ มานูเอล อคานยี่ ผนึกกำลังกับ รูเบน ดิอาซ มิดฟิลด์ตรงกลาง จอห์น สโตนส์ ถูกจับมาเล่นร่วมกับ แบร์นาร์โด้ ซิลวา 3ตัวรุกบน แจ็ค กรีลิช - ซาวินโญ่ - เควิน เดอ บรอยน์ หน้าเป้า เออร์ลิง ฮาลันด์
 

ฝั่ง เรอัล มาดริด ที่สะดุดมา2นัดติดใน ลาลีก้า คาร์โล อันเชล็อตติ มาในระบบถนัด 4-2-3-1 ผู้รักษาประตู ติโบต์ กูร์กตัวส์ แผงแบ็กโฟร์ไล่จากขวาไปซ้าย เฟเดรีโก วัลเวร์เด้ - ออเรเลียง ชูอาเมนี -ราอูล อาเซนซีโอ-  แฟร์กล็องด์ เมนดี้  มิดฟิลด์ห้องเครื่อง เอดูอาร์โด กามาวินก้า ยืนกับ ดานี เซบายอส
 

ตัวรุกฝั่งซ้ายขวา - วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดริโก้ หน้าต้ำคล้ายเพลย์เมคเกอร์ จู๊ด เบลลิงแฮม และหน้าเป้า คิลิยัน เอ็มปั๊ปเป้ เริ่มเกมมาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม รูปเกมก็ส่อเค้าว่าจะมันเลย เพราะเจ้าบ้านมีเจตนาที่จะเปิดเกมบุกเข้าใส่ผู้มาเยือน และ มาดริด เองก็จะเล่นแบบรอสวนกลับ

เพียงแค่ น.8 ก็มีเสียวทันที เมื่อ วินิซิอุส ใช้ความเร็วลากเข้าเขตโทษแล้วโดน เอแดร์ซอน รวบเต็มๆ แต่โชคดีที่เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน หลังจากนั้นทีมดังจากสเปนก็ได้ลุ้นอีกทั้ง เอ็มปั๊ปเป้ และ เมนดี้ แต่ทว่ามีทั้งติดเซฟและติดบล็อก
 

ทว่าอย่างไรก็ตามกลายเป็นเจ้าบ้าน ขึ้นนำไปก่อน 1-0 น.19  กวาร์ดิโอล ได้พักบอลด้วยอกในเขตโทษ แล้ว ฮาลันด์ วิ่งเข้ามาโฉบแปด้วยซ้ายผ่าน กูร์กตัวส์ ที่ออกมาไกลนอกเส้นเข้าไป ซึ่งกว่าจะตัดสินเป็นประตูลูกนี้ ต้องใช้เวลาไปกับการดู VAR นานมากๆ
 

จากเกมที่เปิดอยู่แล้ว พอมีประตูเกมก็เปิดมากขึ้นไปอีก มีโอกาสมากทั้งสองฝั่ง วินิซิอุส ซัดแฉลบชนคาน อคานยี่ ที่โฉบมาโหม่งเสาแรกแต่บอลก็ยังเช็ดคานออกหลังไป วัลเวร์เด้ ได้ซัดด้วยขวาหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งงามหมด แต่ เอแดร์ซอน ยังปัดปลายนิ้วได้ จบ45นาทีแรก เจ้าบ้านยังนำ 1-0

ครึ่งหลังเกมก็ยังเปิดแบบเมามันเหมือนเดิม ฮาลันด์ ลากเลี้ยงหาช่อง ก่อนยิงด้วยขวาบอลไปแฉลบ กามาวินกา ชนคานออกไป แต่แล้ว เรอัล มาดริด ก็มาตีเสมอ1-1 จนได้ น.60 ลูกฟรีคิกที่ติดบล็อก เด้งมาเข้าทาง เซบายอส หยอดเข้าไปในเขตโทษ เอ็มปั๊ปเป้ ได้กระโดดเอี้ยวตัววอลเล่ย์ บอลเหมือนจะไม่เป็นใจไปโดนหน้าแข้ง แต่ทว่ากลายเป็นดี ย้อยหนี เอแดร์ซอน เข้าไป
 

หลังตีเสมอได้ มาดริด ก็ได้ใจบุกต่อเนื่อง แต่ทว่ากลับเป็น เรือใบสีฟ้า ที่มาได้จุดโทษ เซบายอส ไปทะเล่อทะล่า เตะ ฟิล โฟเด้น ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที และ เออร์ลิง ฮาลันด์ สังหารเข้าไป ขึ้นนำ 2-1 น.77 ทว่าแม้จะโดนขึ้นนำและเหลือเวลาไม่มาก เรอัล มาดริด ก็แสดงคาแร็กเตอร์ความตายยากบนถ้วยนี้ออกมาอีกครั้ง เพราะพวกเขาได้2ประตูแซงเอาชนะไปได้ 3-2 แบบระทึก
 

บราฮิม ดิอ๊าซ ตัวสำรองซ้ำลูกยิงของ วินิซิอุส น.86 และ จู๊ด เบลลิงแฮม สปีดไปยิงลูกดีดผ่าน เอแดร์ซอน เข้ามาของ วินิซิอุส เจ้าเก่าเข้าไป น.90+2 จบ90นาที ราชันชุดขาว กุมความได้เปรียบสำหรับเลก2ที่ เบอร์นาบิว มากๆ เพราะบุกมาเอาชนะได้ ยังรังเหย้าของ ซิตี้ 3-2

 

ล้อเลียนผมเหรอ ! ไม่มีผลหรอก วินิซิอุส โคตรเด่น

ก่อนเกมก็มีประเด็นอยู่แล้ว สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เรอัล มาดริด โดยเฉพาะในรายของ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่มองว่าตัวเองถูก โรดรี้ ปล้นรางวัล บัลลงดอร์ ไป จนแฟนบอล ซิตี้ ในสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ทำป้ายล้อเลียน ดาวเตะแดนแซมบ้ารายนี้ พร้อมข้อความ STOP CRYING YOUR HEART OUT ซึ่งเป็นชื่อเพลงของวง OASIS
 

แต่ทว่าการกระทำดังกล่าวของแฟนบอลเรือใบ ไม่ได้มีผลอะไรกับ วินิซิอุส จูเนียร์ ในสนามเลย กลับกันมันเหมือนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้แข้งเบอร์7รายนี้ ระบายความอัดอั้นตันใจดังกล่าว ออกมาบนสนามหญ้า
 

วินิซิอุส โดดเด่นมากๆ และใช้ความเร็วเล่นงานแนวรับ ซิตี้ ได้ดีโคตรๆ จริงๆเจ้าตัวน่าจะเรียกจุดโทษให้ชุดขาวตั้งแต่ต้นเกมด้วยซ้ำ แต่เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน ประตูตีเสมอ2-2 ที่ บราฮิม ดิอาซ ยิงเข้าไป ก็เป็น " วินี่ " นี่แหละที่ยิงดาบแรก
 

รวมถึงประตูชัย 3-2 วินิซิอุส จูเนียร์ ก็ใช้ความเร็วถึงบอลก่อน ลูอิส แล้วดีดผ่าน เเอแดร์ซอน จนกลายเป็นช็อตง่ายดายให้ จู๊ด เบลลิงแฮม ตามไปยิงง่ายๆ ต้องบอกว่าตลอดทั้งเกมความเร็วและความคล่องของ แข้งแดนแซมบ้า เล่นเอา ลูอิส ได้แต่วิ่งตามจริงๆ
 

การล้อเลียนของแฟนซิตี้ นั้นไม่มีผลใดๆ แถมจบเกมยังได้รับ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เสียอีก ทั้งเกม วินิซิอุส มีโอกาสยิง3ครั้ง (ชนคาน1) เลี้ยงบอลผ่าน3หน แถมยังจ่ายจังหวะคีย์พาสได้มากถึง 5ครั้งอีกด้วย

 

ฮาลันด์ ปลดล็อก ระเบิดตาข่ายชุดขาว + สถิติ ยูซีแอล สุดโหด

ก่อนหน้านี้ 4นัด ที่ได้ดวลกับ เรอัล มาดริด เออร์ลิง ฮาลันด์ ยังสอยตาข่ายทีมเมืองหลวงจากสเปนได้เลยแม้แต่ลูกเดียว และโดนค่อนขอดและตั้งคำถามเหมือนกันว่า ดาวยิงผมสวยรายนี้ ชอบหายหน้าหายตาเวลาเล่นเกมใหญ่
 

แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ฮาลันด์ ก็มาหยุดสถิติปืนฝืดกับ เรอัล มาดริด ไว้ที่ 378 นาที เมื่อแปด้วยขวา จากลูกพักอกมาของ กวาร์ดิโอล เข้าไป หลังจากความพยายามยิง14ครั้งก่อนหน้าในการเจอกับชุดชาว ไม่เป็นผล ซึ่งประตูดังกล่าวต้องลุ้นหนักเหมือนกันเพราะมีการเช็ก VAR อยู่นาน
 

ฮาลันด์ มาบวกเม็ดที่2ของตัวเองได้ จากลูกจุดโทษ ที่หลอกหน้าเท้าให้ กูร์กตัวส์ พุ่งไปคนละทาง ที่จริงก่อนหน้านั้นหอกชาวนอร์เวย์น่าจะมีประตูเพิ่มเช่นกันจากลูกยิงแฉลบแต่ไปชนคาน ฮาลันด์ นอกจากประตูแล้ว สิ่งที่ทำได้ดีมากๆของเจ้าตัวนั่นก็คือการอาศัยความใหญ่ ความแข็งแกร่ง บังบอลพักบอลได้นี่แหละ
 

2ประตูของ หัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ ทำให้ยอดรวมของเจ้าตัวบนเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นร้ายกาจมากๆ 48ประตู จาก48นัดแรก สถิติดีกว่า รุด ฟาน นิสเตลรอย เสียอีก ที่48นัดแรกในถ้วยนี้ซัดไป 42ประตู
 

ส่วนอีกคนที่เล่นดีมากของเรือใบสีฟ้า นั่นก็คือ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่ในเรื่องของเกมรุกดีมากๆ เติมได้ถูกจังหวะ จ่ายบอลจากแนวลึกได้ดี เป็นคนแอสซิสต์ให้ ฮาลันด์ มีจังหวะเข้าแท็กเกิ้ลสวยๆหยุด คิลิยัน เอ็มปั๊ปเป้

 

เอแดร์ซอน เซฟเยอะ แต่พลาดเข้าตาจริงๆ

นี่เป็นฤดูกาลที่ไม่รู้ว่าใครเป็น ผู้รักษาประตูมือ1ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กันแน่ เพราะทั้ง สเตฟาน ออร์เตก้า และ เอแดร์ซอน ต่างกันสลับได้ลงเฝ้าเสาแบบแล้วแต่นัดแล้วแต่คู่แข่งเลย โดยก่อนเกมเมื่อคืน ออร์เตก้า ได้ลงเล่นไป 14นัด ส่วน เอแดร์ซอน 23นัด
 

ซึ่งทั้งนายด่านชาวเยอรมันและบราซิล ต่างมีข้อผิดพลาดให้เห็นเป็นระยะๆเหมือนๆกันนั่นก็คือ การจ่ายบอล หรือเรื่องตัดสินใจเพลย์การเล่นต่างๆ เมื่อคืนกับ เรอัล มาดริด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วางใจ เอแดร์ซอน ให้เฝ้าเสา
 

เอาในเรื่องดีก่อนนายด่ายแดนแซมบ้า มีช็อตเซฟสวยๆให้เห็นเยอะเหมือนกันทั้ง ท้ายครึ่งแรกปัดปลายมือลูกซัดเต็มแรงของ วัลเวร์เด้  ป้องกันลูกยิงแบบไม่จับของ เอ็มปั๊ปเป้ ออกมาบล็อกลูกหลุดมายิงของ จู๊ด
 

แต่ทว่าอย่างไรก็ตามกับจังหวะที่ทีมเสียประตู เอแดร์ซอน นั้นก็พลาดเข้าตาเหลือเกิน โดยเฉพาะประตู 2-2 จุดเริ่มต้นก็มาจากเจ้าตัวนี่แหละเปิดเกมไม่ดีโดน เบลลิงแฮม ตัด ต่อเนื่องมาให้ วินิซิอุส ได้ยิงมุมแคบ บอลไม่หนีตัว แต่ เอแดร์ซอน ไปใช้หน้าอกเซฟ เลยมาเข้าทาง บราฮิม ดิอาซ ซ้ำเข้าไป
 

รวมถึงประตูโดนแซงทดเจ็บ 3-2 ก็ออกมาเร็วเกินจนโดน วินิซิอุส จูเนียร์ กระดกหนีง่ายๆ ให้ จู๊ด เบลลิงแฮม สปีดตามไปชาร์จ ซึ่งภาพรวมซีซั่น 2024-2025 ต้องบอกว่า ทั้ง เอแดร์ซอน และ ออร์เตก้า มีช็อตผิดพลาดเข้าตาหลายครั้ง และมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ซัมเมอร์นี้ ซิตี้ จะมองหาโกลคนใหม่

 

เรือใบไม่เหมือนเดิม แต่ยังเล่นแบบเดิม

ต้องบอกว่าฤดูกาล 2024-2025นี้ เป็นปีที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แย่ที่สุดนับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก้าวขึ้นมาคุมทีมเมื่อปี 2016 เพราะพวกเขากลายเป็นทีมที่แพ้ง่าย จุดเด่นที่เคยมีกลายเป็นจุดอ่อน แถมการเสริมทัพเมื่อซัมเมอร์ ยังไม่ได้ตอบโจทย์ผลิดออกออกผลเท่าไหร่
 

เอกลักษณ์ของ เรือใบสีฟ้า ในมือ เป๊ป นั่นก็คือ การเป็นทีมครองบอลเหนียวแน่น จ่ายบอลเร็วแม่นยำ บิลด์อัพจากแดนหลังได้อย่างไม่มีปัญหา รวมไปจนถึงในตำแหน่งโกลที่สามารถเล่นบอลด้วยเท้า ได้ไม่แพ้ผู้เล่นเอาท์ฟิลด์
 

แต่ทว่าอย่างไรก็ตามด้วยวิธีการเล่นแบบเดิม แต่นักเตะตอบสนองไม่ได้แบบเดิมนี่แหละ ทำให้พวกเขาโดนคู่แข่งแก้ลำและเล่นงานได้ กับ เรอัล มาดริด เมื่อคืน แม้ว่าแนวรุกทีมเยือนจะเต็มไปด้วยแข้งสปีดมีความเร็วทั้ง โรดรีโก้ - เอ็มปํ๊ปเป้ และ วินิซิอุส กุนซือ เป๊ป ก็ยังเล่นแบบเดิม
 

นั่นก็คือกองหลังยืนไลน์สูง ทั้งที่แนวรุกชุดชาว เป็นจรวดทางเรียดทุกคน รวมไปจนถึงการต่อบอลจากแดนหลังก็ยังคงทำแบบเดิม แต่ความแม่นยำไม่เหมือนเดิม นั่นจึงทำให้เห็นการเสียประตูจากพื้นที่ว่าง ให้กองหลังต้องวิ่งไล่กวดแนวรุกคูแข่งบ่อยครั้ง ลูกถูกตีเสมอ2-2 และโดนแซง 3-2 นี่ชัดเลย
 

การขาด โรดรี้ ทำให้แดนกลาง ครองบอลได้ไม่เหนียวแน่น หรือจังหวะจะโคนการเล่นไม่ชัวร์เหมือนแต่ก่อน ส่งผลมาถึงกองหลังที่ต้องเจองานเข้ามากขึ้น โควาซิซ รับภาระไม่ได้ จากจุดแข็งกลายเป็นจุดอ่อน เราจึงได้เห็น ซิตี้ เสียประตูในลักษณะคล้ายๆเดิมหลังลอยหลายนัด
 

ณ ปัจจุบัน เรือใบสีฟ้า แพ้ไปแล้วถึง 12นัด รวมทุกรายการ นอกจาก เออร์ลิง ฮาลันด์ และ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล แทบไม่เห็นผู้เล่นรายไหน ที่ฟอร์มอยู่ในมาตรฐานตัวเองระยะหลังเลย เห็นทีซัมเมอร์ 2025นี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะได้เม็ดเงินก้อนใหญ่ ไปช็อปปิ้งนักเตะสร้างทีมใหม่แน่ๆ
 

ราชันหลังพิการไม่เป็นไร ถ้วยนี้ของพี่เขาจริงๆ

หลังจากที่สะดุดมา2นัด ใน ลาลีก้า สเปน แพ้ เอสปันญ่อล (0-1) และ เสมอ แอตเลติโก มาดริด (1-1) แต่นั่นก็ยังทำให้ เรอัล มาดริด นำเป็นจ่าฝูง อยู่ แต่ทว่าคู่แข่งอย่าง ตราหมี และ บาร์ซ่า ก็แต้มจี้คอมาแค่ 1และ2คะแนน ตามลำดับ ส่วน ยูฟ่า แชมเปี้่ยนส์ ลีก ราชันชุดชาวเข้าป้ายอันดับที่ 11 อดเป็น8ทีมที่ดีที่สุดที่จะเข้ารอบไปโดย อัตโนมัติ
 

ก่อนเกมเพลย์ออฟกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องบอกว่า เรอัล มาดริด หลังพิการสุดๆ เพราะแผงแบ็กโฟร์เมื่อคืน ต้องใช้ เฟเดรีโก วัลเวร์เด้  ขัดตราทัพมาเล่นแบ็กขวา เซ็นเตอร์ ออเรเลียง ชูอาเมนี -ต้องถูกถอยมาเล่นร่วมกับดาวรุ่ง ราอูล อาเซนซีโอ ดีที่แบ็กซ้าย แฟร์กล็อง เมนดี้ ได้เล่นในตำแหน่งถนัด
 

ไม่มีทั้ง ดาบิด อลาบา - อันโตนิโอ รูดิเกอร์ แผงแบ็กโฟร์ ราชันชุดขาว ที่เล่นดีสุดเมื่อคืนเห็นจะเป็น เมนดี้ ส่วน ชูอาเมนี่ ที่ไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของตน มีปัญหาพอควรกับการตามประกบ ฮาลันด์ ที่ทั้งใหญ่และแข็งแรง
 

ส่วนรูปเกม แม้ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ครองบอลมากกว่านิดหน่อย แต่ทว่าโอกาสเข้าทำที่จะแจ้ง เป็นทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ได้ลุ้นหวาดเสียวมากกว่า ตอนที่ตามหลังโดนลูกจุดโทษ 1-2 ของ ฮาลันด์ ทั้งที่พวกเขากำลังเล่นดี นึกว่าจะเป๋ไปแล้วสำหรับ มาดริด
 

แต่ทว่าความเก๋า ความเขี้ยวลากยาวของ เรอัล มาดริด ในถ้วย ยูซีแอลนี้ ต้องบอกว่ามากมายมหาศาลจริงๆ เพราะพวกเขามารวมพลังยิงแซงเอาชนะไปได้ 3-2 จากประตูในช่วงท้ายเกมและทดเจ็บ สมราคาเจ้ายุโรป มากที่สุด 15สมัย จริงๆ
 

เลก2ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ทีมของ " อันเช่ " จะเล่นสบายขึ้นอีกเยอะด้วยสกอร์ที่ได้เปรียบ ทำให้เลือกแนวทางการเล่นได้ และมีแววที่ราชันชุดขาว จะได้เล่นในเกมแพลนที่ถนัดและเข้าทางนั่นก็คือเกมสวนกลับ แล้วใช้ความเร็วของพวก วินิซิอุส - โรดรีโก้ และ เอ็มปั๊ปเป้ เป็นอาวุธเด็ดลงทัณฑ์