โคตรเจ้ายุโรป 15สมัย ! ชุดขาว สุดนิ่ง ทุบ ดอร์ทมุนด์ 2-0 แชมป์ ยูซีแอล
นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-2024 ถือว่าเป็นครั้งที่ถูกมองว่า คู่เข้าชิงนั้นห่างชั้นกันเหลือเกิน ทั้งในเรื่องของฟอร์มการเล่น ตัวนักเตะ ผู้จัดการทีม รวมไปจนถึงความเขี้ยวความเก่าในถ้วยใบหูใหญ่ยุโรปนี้ ระหว่าง เรอัล มาดริด แชมป์อลังการ14สมัย กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ยังไม่เคยสัมผัสโทรฟี่ดังกล่าวเลย นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก ยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
เรื่องการจัดทัพ เรอัล มาดริด ถือว่ามีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ตำแหน่งเดียวจาก11ตัวจริงหลัก นั่นก็คือผู้รักษาประตู อังเดร ลูนิน มีอาการป่วย ทำให้ ติโบต์ กรุกส์ตัว ที่หายเจ็บทันช่วงท้ายซีซั่น มือ1คนเก่าได้เฝ้าเสาแทน แนวรุกจัดมากันครบทั้ง วินิซิอุส จูเนียร์ - โรดรีโก้ และ จู๊ด เบลลิงแฮม โดยมี โฆเซลู รอเป็นทีเด็ดตัวสำรอง
ฟากของทีมรอง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาใน11ตัวผู้เล่นที่ดีที่สุด นำโดย นายด่าน เกรกอร์ โคเบล - มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ - เอ็มเร่ ชาน และ เจดอน ซานโช่ โดย มาร์โก รอยส์ มีชื่อบนม้านั่งสำรองไปก่อน
ออกสตาร์ทในครึ่งแรกต้องบอกว่าลูกทีมของ เอดิน เทอร์ซิซ ทำได้ดีกว่ามากๆ แม้ว่าจะครองบอลได้ไม่เยอะเท่า แต่หาโอกาสจบสกอร์ได้เหน่งๆ และน่าจะเป็นสกอร์อย่างยิ่งทั้งจาก ดาวรุ่ง คาริม อเดเยมี่ และ นิคลาส ฟืลล์ครุก แต่ทว่าไม่เฉียบขาดพอ ทางฝั่งของชุดขาวเองแม้จะโดนบุกหนัก แต่ก็ต้องชมพวกเขาด้วยที่แทบไม่ลนอะไรเลยในครึ่งแรก
ผลลัพธ์ที่เวมบลีย์ คู่ชิงดำดังกล่าว ก็ไม่ต้องยืดเยื้อ จบลงภายใน90นาที และเป็น เรอัล มาดริด ที่เก๋ากว่าชัดเจน เอาชนะไปเบาะๆ 2-0 แม้ว่าจะลำบากหน่อยใน45นาทีแรก โดย ราชันชุดขาว มาได้2ประตูในครึ่งหลังจาก ลูกโขกของ ดานี่ การ์บาฆาล น.74 และตอกฝาโรงด้วย วินิซิอุส จูเนียร์ น.83
ครึ่งหลังกลายเป็นหนังคนละม้วน จากการแก้เกมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่บีบสูงมากๆขึ้น ทำให้เกมเป็นของทีมเมืองหลวงสเปนอย่างสมบูรณ์แบบ ดอร์ทมุนด์ แทบไม่ได้ตอบโต้อะไร แถมช่วงท้ายเกม ไปจนถึงทดเวลาบาดเจ็บ " อันเช่ " ก็เปลี่ยนตัวเขี้ยวถ่วงเวลาสุดๆ เผาเวลาไปเรื่อยๆ
" โลส บลังโกส " ยังคงตอกย้ำความเป็นโคตรทีมแห่งยุโรป ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ ยูซีแอลได้เป็นสมัยที่15 ทิ้งห่างอันดับ2อย่าง เอซี มิลาน ที่ซิวไป7ครั้ง แบบไม่เห็นฝุ่น คาร์โล อันเชล็อตติ ไม่มีอะไรต้องถามแล้วกับการเป็นบรมกุนซือ ส่วน จู๊ด เบลลิงแฮม ขวบปีแรกกับ มาดริด จบลงด้วยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
รวมไปจนถึงนี่คือการอำลา โทนี่ โครส ที่ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างสวยงามอีกด้วย มิดฟิลด์เมืองเบียร์ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้่ยนส์ ลีก ได้เป็นสมัยที่5กับราชันชุดขาว ซึ่งสวนทางกับ มาร์โก รอยส์ ของ ดอร์ทมุนด์ ที่ถูกเขียนบทมาให้เป็นผู้ผิดหวังอีกครั้ง กับปีสุดท้ายในสีเสื้อเสือเหลือง
ซึ่งน่าเสียดายและเศร้าตามแฟนบอล โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เหลือเกิน เพราะปีที่แล้ว พวกเขาพลาดแชมป์ บุนเดสลีก้า ในนัดสุดท้ายทั้งที่พวกเขาเป็นผู้กุมชะตาตัวเอง มาจนถึงเมื่อคืนก็พลาดน่านัดชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ เป็นครั้งที่3ติดต่อกันด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ดีต้องให้ เครดิต กุนซือหนุ่ม เอดิน เทอร์ซิซ ที่พาทีมมาไกลขนาดนี้ ทั้งที่แทบไม่ได้มีสตาร์ชื่อดังเลย
รุกรับได้หมด เขาคือ การ์บาฆาล
เป็นแบ็กที่ทำผลงานสม่ำเสมอมาตลอดของ เรอัล มาดริด สำหรับ ดานี่ การ์บาฆาล แต่ทว่าความโดดเด่นของเจ้าตัวดูจะน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับความสามารถ อาจเนื่องด้วยช่วงที่ มาร์เชโล่ อยู่เป็นแบ็กของมาดริด ทางฝั่งซ้ายนั้นได้รับการจับตามองมากกว่า เพราะฝั่งนั้นมีการเติมเกมบุกที่เมามันเหลือเกิน
แต่ทว่าเมื่อ มาร์เชโล่ เก็บข้าวเก็บของออกไป สปอตไลต์ ก็เป็นฉายที่ การ์บาฆาล แทนบวกกับแบ็กซ้าย เรอัล มาดริด ในระยะหลังเป็น เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ที่ขัดตราทัพเล่นแก้ขัด รวมไปจนถึง แฟร์กล็องด์ เมนดี้ ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่
การลงเล่น11ตัวจริงเมิ่อคืนที่เวมบลีย์ ด้วยตำแหน่งแบ็กชาวสเปนต้องรับมือกับ คาริม อเดเยมี่ ช่วงแรกอาจมีลนๆนิดหน่อยในการรับมือกับเจ้าหนูที่มีความเร็ว แต่ทว่าเมื่อจูนเกมติด การ์บาฆาล ก็เอาอยู่เสร็จสรรพเลย
เหลี่ยมบอลเชิงบอลประสบการณ์นี่คือสิ่งที่ การ์บาฆาล เหนือกว่าแนวรุกทีมจากเยอรมันที่มีแต่ดาวรุ่งชัดเจน รุกดีรับได้ ขึ้นสุดลงสุดพลังงานไม่มีวันหมด นี่คือนิยามของแข้งวัย32ปีในนัดนี้ ก่อนที่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวจะเป็นผู้ขวิดประตูให้ เรอัล มาดริด ขึ้นนำ น.74 ซึ่งเป็นประตูที่ทำให้โมเมนตัม เหวี่ยงมาทางราชันชุดขาวหมด ไม่แปลกใจเลยที่ได้ แมน ออฟ เดอะ แมตช์
และด้วยเวลาที่เหลือแม้จะตามแค่ลูกเดียว แต่มันดูยากเหลือเกินที่ ดอร์ทมุนด์ จะทวงประตูคืนได้ ลูกโขกของ การ์บาฆาล ทำให้เจ้าตัวเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองหลังคนแรก นับตั้งแต่ เซร์คิโอ รามอส เมื่อปี 2016 ที่ทำประตูได้ในนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก
นอกจากนี้ปรกติ การ์บาฆาล ไม่ใช่แบ็กประเภทจอมบุกอะไร เคยยิงได้มากสุดคือต่อฤดูกาลคือ2ประตู ( 2013-2014) แต่พอมาซีซั่นนี้ 2023-2024 เจ้าตัวยิงได้มากที่สุดในอาชีพการค้าแข้ง นั่นก็คือ6ประตูรวมทุกรายการ
วินิซิอุส ก้าวเป็นซุปเปอร์สตาร์เต็มตัว (มานานแล้ว)
แม้จะมีลีลายียวนกวนประสาท หรือยั่วยุแฟนบอลฝั่งตรงข้ามบ้าง แต่ทว่าความสามารถในเชิงลูกหนังช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าก้าวกระโดดจริงๆสำหรับ วินิซิอุส จูเนียร์ จากแข้งที่ค่อนข้างบ้าเลี้ยงจนโดนด่า กลายมาเป็นแนวรุกตัวกระชากสุดสำคัญของราชันชุดขาว
เกมสำคัญๆโผล่มาหรือมีอิมแพคต่อเกมตลอดเลยสำหรับแข้งชาวบราซิลรายนี้ ด้วยตำแหน่งฝั่งซ้าย " วินิ " ได้ดวลกับ ยูเลียน รีเออร์สัน ซึ่งช่วงแรกๆต้องบอกว่าแบ็กจากดอร์ทมุนด์ เอาอยู่ได้ดีเลย แต่ทว่าพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ วินิซิอุส ก็เครื่องค่อยๆร้อนขึ้น
45นาทีหลัง วินิซอุส จูเนียร์ เล่นงานแบ็กทีมจากเยอรมันได้ดีมากๆ ความเร็ว ความคล่อง การไปกับบอลได้ดี การเอาตัวรอดในพื้นที่แคบๆ ทำให้ไม่ยากเลยที่แข้งเบอร์7รายนี้ จะกระชากไปสร้างความอันตรายเลี้ยงจี้ไปที่ริมเส้นได้
ชนะการดวล13ครั้ง - เลี้ยงบอลผ่าน8ครั้ง - สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่ง 5ครั้ง และเรียกฟาวล์ 3ครั้ง โดยประตูตอกฝาโรง 2-0 นั้นเหมือนจะง่ายแต่ต้องให้เครดิตเทคนิคการยิงเจ้าตัวด้วย เพราะยิงบอลกระดอนพื้นชิพหนีมือผู้รักษาประตู โคเบิล ที่ปัดได้เพียงปลายมือ
รวมถึงนี่ยังเป็นนัดที่2ในรอบชิงชนะเลิศแล้วที่ วินิซิอุส จูเนียร์ ทำประตูได้ ( 2022 ชนะลิเวอร์พูล 1-0) ต้องบอกว่าประสบการณ์และความเก๋านี่เกินอายุจริงๆสำหรับ วินิซิอุส และเหล่าบรรดาผู้เล่นอายุน้อยของ เรอัล มาดริด ทั้งหลาย
ดอร์ทมุนด์ ควรขึ้นนำได้ก่อน อเดเยมี่ พลาดโอกาสทอง
ก่อนเกมเริ่มต้นขึ้นต้องบอกเลยว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถูกจัดให้เป็นรองพอสมควรเลย ทั้งในเรื่องของชื่อชั้นตัวนักเตะ ประสบการณ์นัดชิงชนะเลิศ รวมไปจนถึงเรื่องของตัวกุนซือที่ คาร์โล อันเชล็อตติ เหนือกว่า เอดิน เทอร์ซิซ แต่ทว่าพอเสียงนกหวีดเป่าขึ้น กลายเป็นทีมเสือเหลืองที่ทำได้ดีกว่า
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาในแท็กติกสมัยใหม่ ที่ใช้เล่นงาน เรอัล มาดริด ใน45นาทีแรก นั่นก็คือการอินเวิร์ทแบ็ก ซึ่งผู้ที่รับบทบาทนั่นก็คือ เอียน มาตเซ่น ที่เติมขึ้นมาออกบอล แทน เอ็มเร่ ชาน ที่ออกบอลได้ไม่ดีเท่า
อีกอย่างครั้นจะให้ ดอร์ทมุนด์ไปต่อบอลแข้งกับ แดนกลาง เรอัล มาดริด คงจะไม่ใช่ การเติมอินเวิร์ดของ มาตเซ่น ทำให้เสือเหลืองมีผู้เล่นเติมในแดนกลางเพิ่มเข้ามาอีก1คน รวมไปจนถึงแท็กติกวางยาวให้ คาริม อเดเยมี่ ได้ใช้ความเร็ว และมีพื้นที่ได้วัดดับแนวรับมาดริด นั้นได้ผลมากๆ
แต่ก็อย่างว่าด้วยประสบการณ์ และความเฉียบคมนั่นแหละ ทำให้ดอร์ทมุนด์ไม่สามารถขึ้นนำได้ โดยเฉพาะในรายของ อเดเยมี่ ที่ได้หลุดเดี่ยว แต่ตัดสินใจไม่ได้ เลือกล็อกหลบ กรุกตัวส์ แต่บอลกลับห่างประตูไปหน่อย ทำให้ทำอะไรไม่ถนัด ไม่มีมุมยิง จน การ์บาฆาล มากันไว้ได้ทัน
ดาวรุ่งวัย22ปี ได้หลุดไปยิงอีกครั้งมุมแคบ แต่ติดเซฟ ธิโบต์ กรุกตัวส์ ส่วน กองหน้าอย่าง นิคลาส ฟืลล์ครุก มีโอกาสจะแจ้งแต่ยิงไปชนเสา พอมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หอกชาวเยอรมัน โขกเต็มแรงส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย แต่ทว่าถูกจับล้ำหน้าไปก่อน
จริงๆพลพรรคเสือเหลืองควรที่จะขึ้นนำ เรอัล มาดริด ใน45นาทีแรกมากๆ เพราะมีโอกาสได้สับถึง 8ครั้ง ส่วนทีมจากสเปนได้ยิงเพียง2หน ซึ่งการไม่ยอมฆ่า มาดริด ตั้งแต่ครึ่งแรกนี่แหละ ทำให้ทีมเจ้ายุโรปถ้วยนี้กลับมาได้ในครึ่งหลัง และครองเกมได้อย่างเสร็จสรรพ ไร้โอกาสจะแจ้งที่ดอร์ทมุนด์จะทำประตูได้
รอยส์ ถูกกำหนดให้ผิดหวัง สวนทาง โครส
ถือว่าเป็นนักเตะจอมอาถรรพ์ของวงการลูกหนังคนหนึ่งได้เลยสำหรับ มาร์โก รอยส์ เอาในนามทีมขชาติ เมื่อถึงทัวร์มาเมนต์สำคัญ อย่าง ยูโร หรือ ฟุตบอลโลก เจ้าตัวมักจะมีปัญหาอาการบาดเจ็บตลอดจนต้องอดไปเล่นรายการใหญ่ ส่วนกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รอยส์ ได้ถ้วยระดับ เมเจอร์เพียง2ครังเท่านั้น นั่นก็คือ เดเอฟเบ โพคาล ส่วนแชมป์ บุนเดสลีก้า เจ้าตัวก็ยังไม่เคยได้
เกมที่เวมบลีย์ เมื่อคืน นี่คือนัดสุดท้ายของ มาร์โก รอยส์ ในเครื่องแบบสีเหลือง หลังย้ายมาจาก โบรุสเซีย มึนเช่น กลัดบลัค เมื่อปี 2012 โดยในอดีต ดาวเตะจอมเดี้ยงมีประสบการณ์อกหักในนัดชิง ยูซีแอล มาแล้ว เมื่อปี 2013 ทีพ่าย บาเยิร์น มิวนิค (1-2)
อาจจะด้วยสภาพร่างกาย แท็กติกการเล่น รวมไปจนถึงฟอร์มในระยะหลังทำให้ มาร์โก รอยส์ ในวัย35ปี ต้องเป็นตัวสำรองไปก่อน โดยหลังจากที่แนวรุกทำเกมกันไม่ขึ้นทำให้ กุนซือ เทอร์ซิซ เลือกส่ง รอยส์ ลงมาแทน อเดเยมี่ น.72 แต่ทว่าหลังจากนั้นแค่2นาที ชุดขาวขึ้นนำ 1-0
ซึ่งหลังจาก รอยส์ ลงมาต้องบอกว่า แนวรุกดอร์ทมุนด์ เหมือนขาดตัวขับเคลื่อนที่มีความเร็วปู๊ดป๊าดไปเลย บวกกับรูปเกมก็เป็นของ เรอัล มาดริด ข้างเดียวทำให้ มาร์โก รอยส์ ที่ช้าอยู่แล้ว แทบไม่ได้บอล ถูกตัดออกจากเกมไร้ตัวตน
นี่จึงเป็นเดจาวู อีกครั้งที่ มาร์โก รอยส์ ต้องอกหักในนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โคพาล 3ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2ครั้ง การอำลาของเจ้าตัวกับดอร์ทมุนด์ จึงจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ สวนทางกับ โทนี่ โครส ที่อำลา เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้ และจะแขวนสตั๊ดหลังจบยูโร 2024
โทนี่ โครส ในวัย34ปี ฝีเท้ายังคงดีเยี่ยม และก็เป็นผู้ทำแอสซิสต์ ให้ การ์บาฆาล โขกประตูจุดเปลี่ยนของเกม นั่นเท่ากับว่า ก่อนอำลาราชันชุดขาว นี่คือแชมป์ยูซีแอล สมัยที่6 ของยอดกองกลางชาวเยอรมัน (รวม1สมัยกับ บาเยิร์น)
15สมัย ราชันชุดขาวคือเจ้ายุโรป " อันเช่ " บรมกุนซือ
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือจะรวมชื่อเก่าด้วย อย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ ต้องบอกว่าถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปนี้ เรอัล มาดริด ครองอย่างเบ็ดเสร็จจริงๆ เพราะว่าจำนวนแชมป์พวกเขาคืออันดับหนึ่ง 15สมัย มากกว่าอันดับ2อย่าง เอซี มิลาน ที่ทำไปได้7สมัย มากกันมากกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อคืนแม้ว่าชื่อชั้นและฟอร์ม ราชันชุดขาวจะเหนือกว่า ดอร์ทมุนด์ แต่เมื่อเริ่มเกิม พวกเขาก็ลำบากเหมือนกัน 2ต่อ8 นี่คือโอกาสจบสกอร์ที่ เรอัล มาดริด ทำได้น้อยกว่าทีมจากเยอรมัน ครึ่งแรกตอนที่ตั้งเกมยังไม่ได้ พวกเขาโดนส่องเป็นระยะๆ แต่ทว่าก็ต้องชื่นชมความนิ่งของ ยอดทีมจากแดนกระทิงดุด้วยที่ไม่ได้ลนหรือออกอาการเป๋เลย
ก่อนที่ครึ่งหลังเหมือน คาร์โล อันเชล็อตติ จะแก้เกมได้ดีขึ้น ดอร์ทมุนด์ ความอันตรายลดน้อยลงไป จนแทบไม่มีโอกาสจบสกอร์ เกมเป็นของ เรอัล มาดริด ฝ่ายเดียว เพราะพวกเขาบีบสูงตั้งแต่ในแดนของทีมเสือเหลือง
จังหวะโขก1-0 ของ การ์บาฆาล น.74 แม้จะเหลือเวลาอีกเหลือเฟือ แต่ทว่ามันดูไม่มีท่าทีเลยที่ ดอร์ทมุนด์ จะทวงประตูตีเสมอได้ เพราะเกมเป็นของ เรอัล มาดริด หมดแล้ว แค่พาบอลเลยมาครึ่งสนามยังเป็นงานที่ยากเลย
ก่อนที่ท้ายที่สุดความผิดพลาดและไม่นิ่งของ เอียน มาตเซ่น จะโดนลงโทษด้วยประตูตอกฝาโรงของ วินิซิอุส จูเนียร์ ความผิดพลาดเล็กๆน้อยในการประกบตัวลูกเตะมุม การส่งบอลหน้าเขตโทษพลาด เรอัล มาดริด ลงโทษได้หมดเลย
อีกคนที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้นั่นก็คือ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ปรุงแต่ง เรอัล มาดริด ได้เป็นอย่างดีตามทรัพยากรนักเตะที่สโมสรมีให้ เมื่อไม่มีกองหน้าเป้า ก็เปลี่ยนให้ทีมมาเล่นระบบ 4-3-1-2 รวมไปจนถึงปรับ จู๊ด เบลลิงแฮม ให้ยืนสูงกว่าตอนที่อยู่ทีมเก่า
ส่วน " อันเช่ " ที่คือแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่5ของเจ้าตัว (เรอัล มาดริด 3 และ เอซี มิลาน 2) ในฐานะผู้จัดการทีม ไม่มีกุนซือคนไหนทำได้เทียบเท่าแล้วในเมืองมนุษย์ รวมไปจนถึง เรอัล มาดริด ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นราชันถ้วยหูใหญ่ใบนี้จริงๆ กับแชมป์ 15สมัย แถม9นัดหลังสุดที่เข้าชิงรายการนี้ พวกเขาเฮรวดทั้งหมด 100%
- คอลัมน์นิสต์
- คอลัมน์บอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริด โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คาร์โล อันเชล็อตติ จู๊ด เบลลิงแฮม โทนี่ โครส วินิซิอุส จูเนียร์
- 1182
- 02 มิ.ย. 2567 15:25