OUTCLASS แลมพ์เก้าอี้ร้อน ! เรือใบบุกสอนบอลสิงห์3-1
แม้สกอร์จะไม่ได้ขาดลอยมากนัก แต่ก็เรียกว่าOUTCLASS เลยก็ว่าได้สำหรับฟุตบอลคู่ระหว่าง เซลซีดวลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่ออาคันตุกะจากเมืองแมนเชสเตอร์บุกมาถลุงเอาชนะทีมดังแห่งกรุงลอนดอนสบายๆ 3-1
อิลคาย กุนโดกัน – ฟิล โฟเด้น – และ เควิน เดอ บรอยน์ ดาหน้าช่วยกันซัดคนละตุงให้ทีมเรือใบสีฟ้านำไปก่อนในครึ่งแรกสบายๆ 3-0 ก่อนที่จะผ่อนเกมในครึ่งหลังปล่อยให้เซลซีทวงคืนมาได้1ประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บจาก คัลลัม ฮัดสัน โอดอย
นอกจากจะแพ้ด้วยสกอร์ที่ค่อนข้างขาดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นฟุตบอล ลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เอาชนะ ลูกสมุนของแลมพาร์ดได้อย่างหมดจด
ทั้งแท็กติกการเล่น การครอบครองเกม จังหวะความเฉียบขาด รวมถึง หัวใจความเป็นนักสู้ในยามที่อยู่ในสนาม
การปราชัยของ ซุปเปอร์แฟร้งค์ ทำให้เซลซีหล่นมาอยู่อันดับ8ของตาราง ตามหลังจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูล7แต้ม แถมยังแข่งมากกว่าทีมหงส์แดงอยู่1นัด
ส่วนเรือใบสีฟ้า จากที่เหมือนจะไม่ใช่ทีมฟอร์มลุ้นแชมป์ลีก เมื่อผลงานในฤดูกาลนี้ไม่ร้อนแรงฉูดฉาดเท่าเดิม แต่ทว่าในตอนนี้ทีมมหาเศรษฐีเมืองแมนเชสเตอร์ ก็เริ่มจะจูนเครื่องติดเข้าให้แล้ว
เมื่อคว้า3แต้มในพรีเมียร์ลีก 3นัดติดต่อกัน ตามหลังทีมเครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ 4แต้ม และยังแข่งน้อยกว่า1นัด
โฟเด้น รอวันเติบใหญ่
แม้จะไม่ค่อยได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเลยเมื่อได้โอกาสจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในการออกสตาร์ทเป็น11ผู้เล่นตัวจริง
สัมผัสบอล 31ครั้ง สร้างสรรค์โอกาส4ครั้ง 1ประตู 1แอสซิสต์ คือสถิติคร่าวๆอันยอดเยี่ยมของแข้งดาวรุ่งวัย20ปี ในเกมนี้ การเล่นเป็นตัวรุกฝั่งซ้ายของเจ้าตัว คุกคามแบ็กขวาตัวเก๋าอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า จนเสียฟอร์มหลายหน
การเคลื่อนไหวการจ่ายบอลของ ฟิล โฟเด้น มีส่วนสำคัญมากๆที่ทำให้เกมบุกของเรื่อใบลื่นไหลในวันนี้ โฟเด้น ไม่เก็บบอลไว้กับตัวนานเกินไป และสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมก่อนที่จะจ่ายบอลได้เป็นอย่างดี
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ เป๊ป ไม่เลือก ริยาด มาห์เรซ ที่เก็บบอลไว้กับตัวนานเกินไปลงสนามเป็น11ตัวจริงในนัดนี้
ความยอดเยี่ยมดังกล่าวของดาวเตะวัยละอ่อนชาวอังกฤษ ถึงขนาดทำให้กูรูลูกหนังชื่อดังอย่าง แกรี่ เนวิลล์ เอ่ยปากชมเจ้าตัวว่าฟอร์มการเล่นและลีลาท่าทางต่างๆในสนาม ทำให้หวนนึกถึง มาร์ค โอเวอร์มาร์ส เลยทีเดียว
ซุปเปอร์แฟร้งค์ ไม่ค่อยกล้า
เชื่อว่าแฟนทีมสิงห์บูลส์หลายๆคน เข้าใจและรู้ดีถึงขีดความสามารถในการเป็นผู้จัดการทีม ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
คงไม่มีใครถึงขนาดคาดหวังว่าตำนานเตะหมายเลข8ของสโมสร จะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก บดกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ในเร็วๆนี้
เข้าใจว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้จากสถิติที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมเซลซี ที่ไม่เคยรอเวลาของความสำเร็จเลย
สิ่งนี่น่าผิดหวังและเป็นหอกคอยทิ่มแทงสำหรับแลมพาร์ด จนถึงตอนนี้คือการหว่านเงินไปกว่า 200ล้านปอนด์ แลกกับการได้มาเพียงอันดับ8ในพรีเมียร์ลีกเวลานี้
ชนะ1 เสมอ1 แพ้4 คือสถิติของทีมสิงห์ไฮโซ6นัดหลังสุดในเกมลีก ช่วงพักครึ่ง45นาทีแรก แฟนบอลหลายคนคาดหวังว่า แลมพาร์ด จะกล้าปรับแผนการเล่นเพื่อกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น
เช่น ถอดกองกลาง แล้วเพิ่มกองหน้าอย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นลูกกลางอากาศ มาพักบอล
แต่ทว่าไม่ใช่เลยกุนซือหนุ่มวัย42ปี เลือกที่จะเปลี่ยนตัวผู้เล่นตำแหน่งต่อตำแหน่ง โอดอย แทน ซิเย็ค – กิลเมอร์ แทน ก็องเต้ – ฮาแวร์ตซ์ แทน โควาซิซ ไม่ปรับแผนการเล่นเป็นกองหน้าคู่ เพื่อหวังประตูคืนแต่อย่างใด
การเปลี่ยนตัวแบบนี้ เหมือนยอมแพ้กลายๆ การเปลี่ยนตัวตำแหน่งต่อตำแหน่ง ในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูคืน มันทำให้นึกถึงผู้จัดการทีมคนเก่าอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี่ อยู่ไม่น้อยทีเดียว
จอห์น สโตนส์ คืนชีพ
การย้ายเข้ามายังถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ของ เนธาน อาเก้ และ รูเบน ดิอ๊าซ ทำให้หลายๆคนมองว่าอนาคตของ จอห์น สโตนส์ กับทีมเรือใบสีฟ้าน่าจะลำบากกว่าเดิมแน่ๆ
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม อดีตกองหลังเอฟเวอร์ตัน ก็สามารถเบียดเอาชนะ เซ็นเตอร์ฮาร์ฟตัวหลักของทีมอย่าง เอเมอริค ลาป็อร์กต์ ให้หลุดเป็นผู้เล่นบนม้านั่งสำรองได้
6นัดที่สโตนส์ ลงสนามให้กับทีมในพรีเมียร์ลีก ทีมเรือใบสีฟ้าเสียไปเพียงแค่1ประตู เก็บไป5คลีนชีต
ส่วนเกมดวลกับเซลซี กองหลังวัย26ปี สามารถตัด ติโม แวร์เนอร์ ออกจากเกม และลักพาตัวดาวยิงชาวเยอรมันออกจากสนามได้อย่างอยู่หมัด
ส่วนคู่ขาอย่าง รูเบน ดิอ๊าช ก็ทำได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองไม่แพ้กัน จากสถิติส่วนตัวหลังเกม เคลียร์บอลจังหวะสำคัญ 6ครั้ง / บล็อกลูกยิง 4ครั้ง / แย่งบอล 3ครั้ง
โอเคว่าฤดูกาลนี้ แนวรุกของทีมเรือใบสีฟ้า จะไม่ได้เปรี้ยงป้างกระฉูดแตก เหมือนที่เราๆเคยรู้จัก อาจจะด้วยเพราะดาวยิงตัวความหวังสูงสุดอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยังไม่ฟิตพร้อมสมบูรณ์ลงล่าตาข่ายสักที
แต่ทว่าสิ่งที่ดีแหลมพุ่งขึ้นมานั่นก็คือเกมรับที่แน่นหนา มีระเบียบวินัยมากขึ้น 15นัดในพรีเมียร์ลีก ซิตี้ โดนคู่แข่งกระซวกตาข่ายเพียงแค่13ลูกเท่านั้น น้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ถ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ เกมรุกอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักของพวกเรา แต่เป็นเกมรับที่แข็งแกร่งแน่นหนาเป็นภูผาของพวกเขาเองที่มาทดแทนความดุดันในเกมรุกที่หายไป
ภาษากายของนักเตะเซลซี
นอกจากจะสู้ไม่ได้อย่างเอกฉันท์ทั้งในเรื่องฝีเท้า แท็กติก ทุกอย่างที่เป็นฟุตบอลแล้ว เรื่องของหัวจิตหัวใจเซลซีก็แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบหลุดลุ่ยเช่นกัน
สภาพของแข้งทีมสิงห์บูลเรียกได้ว่าหน้าบอกบุญไม่รับหรือถอดใจกันทุกคนหนังจากที่เห็นทีมของตนโดน ซิตี้
กระทำชำเราทีละลูกใน45นาทีแรก ไม่มีความกระหายไม่มีแรงกระตุ้นเวลาที่สถานการณ์เพลี่ยงพล้ำ
บางช่วงโดนลูกทีมของ เป๊ป เล่นลิงชิงบอล หาบอลไม่เจอเป็นเวลาร่วมๆเกือบ1-2นาที ทุกคนก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมเสียหมด
แตกต่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึงแม้จะยิงนำห่างไปแล้วถึง 3-0 แต่เวลาที่พวกเขาเล่นไม่ได้ดั่งใจ หรือวิ่งไล่เพรสบอลไม่สำเร็จ ก็ยังมีพาสชั่นออกอาการหงุดหงิดไม่พอใจฟอร์มการเล่นของตัวเอง
โดยเฉพาะกับ ฟิล โฟเด้น ที่หงุดหงิดหัวเสียเป็นอย่างมาก ที่เพื่อนร่วมทีมวิ่งไล่บอลคืนมาไม่สำเร็จ แม้ตอนนั้นสกอร์จะขาดลอยไปแล้วก็ตาม
การที่นักเตะแสดงออกมาอย่างนี้ก็ต้องโทษพวกเขาด้วยส่วนหนึ่ง แต่เมื่อมองไปที่ข้างสนาม แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็มีท่าทีที่ยอมแพ้ต่อคู่แข่งไม่ต่างจากลูกทีม
ทั้งจากอากัปกิริยา รวมถึง การเปลี่ยนตัวที่เพลย์เชฟไม่กล้าเสี่ยง เหมือนเจ้าตัวก็หมอบไพ่ยอมแพ้กลายๆเช่นกัน
เสี่ยหมีไม่เคยปราณีกุนซือ
เรียกได้ว่าจากอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่เสี่ยหมี ย่างก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของเซลซี พวกเขามีวงจรเฉลี่ยในการเปลี่ยนกุนซือที่ถี่มากๆ ไม่ถึงรายละ2ปีด้วยซ้ำ
และตอนนี้สถิตินี่น่าตกใจอย่างหนึ่งก็คือ แลมพาร์ด เป็นผู้จัดการทีมเซลซีที่มีเปอร์เซ็นต์พาทีมคว้าชัยชนะได้น้อยที่สุดภายใต้ยุคของเสี่ยหมี ที่ 49% คิดเป็นค่าเฉลี่ย1.6แต้มต่อเกม
น้อยกว่า อังเดร วิลาส โบอาส ที่ทำได้1.7แต้มต่อเกม
เข้าใจว่าฟุตบอลเวลาทีมฟอร์มตก เราจะโทษเพียงแค่โค้ชอย่างเดียวก็คงไม่แฟร์นัก แต่ละทีมมีช่วงฟอร์มดีฟอร์มขึ้น ทุกอย่างต้องใช้เวลาในการสร้าง ปรับจูน สร้างความเข้าใจภายในทีมทั้งนักเตะสต๊าฟโค้ช กุนซือ
การเปลี่ยนผู้จัดการทีม มันก็เหมือนรีสตาร์ทเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
แต่การรอคอยที่ว่า ไม่เคยมีอยู่ในวิสัยทัศน์การสร้างความสำเร็จของเสี่ยหมีเลยนี่สิ แลมพาร์ดในช่วงที่เป็นนักเตะเซลซี เขาก็เคยเห็นการประหัตประหารกุนซือชื่อดังมาแล้วหลายคน
หากในอีก3-4นัดข้างหน้าทีมยังไม่ดีขึ้น อาจเป็นทีของเขาแล้วที่ต้องโดนก็เป็นได้
- คอลัมน์นิสต์
- 400
- 04 ม.ค. 2564 18:16