ส่ง ปืน ขึ้นจ่าฝูง ! ดีคนละครึ่ง หงส์ เจ๊า เรือ 1-1 โดกู เกือบทำเสียจุดโทษทดเจ็บ
เป็นศึกอภิมหาบิ๊กแมตช์ ของพรีเมียร์ลีก ในช่วง4-5ปีหลังสุดไปแล้วสำหรับ ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันมาตลอดในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยยก2 ที่แอนฟิลด์ ฤดูกาล 2023-2024 นี้ จัดได้ว่าเป็นการตัดสินแชมป์กลายๆ ได้เลย รวมไปจนถึงหากมีผลแพ้ชนะ ก็จะทำให้ทีมที่ปราชัย ยากมากๆที่จะครองสถานการณ์ที่ได้เปรียบในการลุ้นแชมป์
90นาทีที่แอนฟิลด์ เมื่อคืนผลจบลงด้วยสกอร์ 1-1 ชนิดที่บอกว่าเล่นดีกันคนละครึ่งได้เลย 45นาทีแรกเป็นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่วน45นาทีหลัง พลพรรคหงส์แดงที่เหมือนได้รับการกระตุ้นเป็นอย่างดีจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ วิ่งบดบี้เข้าใส่อย่างพลังงานล้นเหลือ
ซิตี้ จัดผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนาม ตัวเก่งมากันครบทั้ง โรดี้ - ฟิล โฟเด้น - เควิน เดอ บรอยน์ และ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ส่วนทางฝั่งลิเวอร์พูล ความฟูลทีมของพวกเขาถือว่าน้อยกว่าผู้มาเยือน เพราะ11ตัวจริง ไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แนวรับ ก็ไม่ใช่ชุดใหญ่ มีเพียง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เป็นตัวหลักคนเดียว
นอกนั้นเป็นเด็กและตัวสำรองอย่าง จาเรลล์ ควอนซ่า - คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ และ โจ โกเมซ เริ่มเกมเป่านกหวีดมาต้องบอกว่า ทีมของ เป๊ป ทำได้ดีกว่ามากๆ ทั้งในเรื่องการครองบอลและการหาจังหวะจบ
จนสุดท้ายเรือใบก็มาได้ประตูขึ้นนำ1-0 จากลูกสูตรเตะมุมของ เควิน เดอ บรอยน์ แล้วเป็น จอห์น สโตนส์ ที่โฉบมาตวัดที่เสาแรกแบบไม่ทันตั้งตัว น.23 หลังจากนั้นก็มีจังวะจบสกอร์กันทั้งสองฝั่ง แต่ไม่เฉียบคมพอและจบ45นาทีแรก ไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
ครึ่งหลังเหมือน " เจเค " จะปลุกกระตุ้นลูกทีมมาอย่างดี วิ่งเข้าใส่ แมนฯซิตี้ และก็มาได้ประตูตีเจ๊าแบบทันควัน นาธาน อาเก้ พลาดจ่ายคืนหลังเบา โดน ดาร์วิน นูนเญซ ฉกไปได้ ทำให้ เอแดร์ซอน ไม่มีทางเลือกต้องออกมาตัดฟาวล์จนกลายเป็นจุดโทษ
และก็เป็น อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ ที่ชัวร์มากๆในการสังหารเป้า ซัดโทษเข้าไป 1-1 น.51 ส่วน ซิตี้ ก็ต้องถอด เอแดร์ซอน ออก เพราะเจ็บจังหวะปะทะกับ นูนเญซ เป็น สเตฟาน ออเตก้า ลงมาเฝ้าเสาแทน (น.56)
หลังจากนั้นหงส์แดง ก็คึกสุดๆไปเลย นักเตะวิ่งเป็นม้าทุกคน โดยเฉพาะ หลุยส์ ดิอ๊าซ ที่กระชากลากเลื้อยได้เร้าใจมากๆ แต่ไปตายจังหวะสุดท้ายตลอด กับทั้ง2ช็อตที่ใกล้เคียงสุดๆ
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถูกส่งลงสนามในครึ่งหลัง ก็มีอิทธิพลต่อทีมเป็นอย่างมาก แต่ทว่าทางฝั่ง โคดี้ กัคโป ที่ลงมาแทน นูนเญซ กลับทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจ กลายเป็นทรงผมใหม่ที่เด่นกว่าฟอร์มในสนามซะงั้น
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เจียนอยู่เจียนไป ได้แก้เกมด้วยการส่ง มัตเตโอ โควาซิซ และ เฌเรมี่ โดกู ลงมาแทน เดอ บรอยน์ และ อัลวาเรซ หลังจากนั้น เรือใบสีฟ้าก็เริ่มกลับมาครองบอลได้ พักหนึ่งแต่แทบไม่มีโอกาสใกล้เคียงในการจบสกอร์เลย
ช่วงท้ายเกมตัวสำรอง โดกู มีโอกาสที่จะเป็นฮีโร่ของ ซิตี้ เมื่อได้ยิงด้วยซ้ายในเขตโทษ แต่ทว่าบอลไปชนเสาอย่างจัง เด้งมาเข้ามือ เคลวิน เคลเลเฮอร์ สบายๆ และช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย เกือบมีเหตุการณ์ดราม่าขึ้น เมื่อ เฌเรมี่ โดกู พยายามเล่นบอล แต่ทว่าเหมือนเป็นการไปถีบบริเวณหน้าอก ของ แม็ค อัลลิสเตอร์
แต่ทว่าผู้ตัดสินในสนาม ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ มองว่าเป็นจังหวะ ฟอลโลว์ ทรู มากกว่า จึงปฎิเสธการให้จุดโทษไป ทำให้จบเกมด้วยการเสมอ1-1 แบ่งแต้ม และส่งผลให้ อาร์เซน่อลที่ถูกมองว่าเป็นม้าตัวที่3 ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงแทนเป็นที่เรียบร้อย
ดิอ๊าซ ลากเลื้อยสะเด่า แต่เสียจังหวะสุดท้าย
แม้ว่าฤดูกาล 2023-2024นี้ จะไม่ได้ฟอร์มเปรี้ยงปร้างเท่ากับปีแรกที่ย้ายมา แต่ทว่าประโยชน์และอิทธิพลอิมแพคต่อทีมในแนวรุกนั้นมีมากจริงๆสำหรับ หลุยส์ ดิอ๊าซ ยิ่งเป็นเกมที่หงส์แดงไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นตัวจริง ภาระหนักจึงเป็นของปีกชาวโคลัมเบียรายนี้ ในการฉีกแนวรับผู้มาเยือน
เมื่อคืน ปีกชาวโคลัมเบีย มีลีลาการกระชากลากเลื้อยที่เร้าใจมากๆ เป็นปีกที่มีความมุทะลุ แข็งแกร่ง และเลี้ยงบอลได้ติดเท้าดีจริงๆ แบ็กขวาที่ว่าเล่นเกมรับแน่นๆอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ ยังมีจังหวะเอาไม่อยู่เหมือนกัน
ช็อตที่เรียกเสียงฮือฮาเห็นทีจะเป็นการโดนทั้ง โรดรี้ และ วอล์คเกอร์ รุมบริเวณริมเส้นแต่ทว่า ดิอ๊าซ ยังแข็งแกร่ง หลอกล่อไถมาจนถึงริมเส้นเรียกเอาลูกเตะมุมได้ ทำให้เจ้าตัวมีสถิติเลี้ยงบอลผ่านผู้เล่น ซิตี้ มากถึง4ครั้งตลอดทั้งเกม
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องเดียวที่เป็นจุดบอดเสียไปของอดีตปีก เอฟซี ปอร์โต้ รายนี้ก็คือความเฉียบคมในการจบสกอร์ ดิอ๊าซ มีโอกาสทองเหน่งๆ จากการจ่ายเข้ามาได้อย่างล้ำเลิศของ โม ซาลาห์ ทำให้ได้หลุดเดี่ยว แต่ทว่าเอียงตัวยิงออกไปเองแบบเสียของ
หรือจังหวะที่ครองบอลแข็งแกร่งได้ซัดหน้ากรอบเขตโทษ แต่ทว่าเฉี่ยวเสาออกไป ส่วนช็อตที่เข้าชาร์จในเขตโทษและบอลไปซุกก้นตาข่าย แต่ทว่าผู้ที่เปิดบอลมาให้อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ นั้นล้ำหน้าไปเสียก่อน
เอ็นโด ซามูไรพลังเหลือล้น
ช่วงแรกที่ย้ายมาจาก สตุ๊ตการ์ต เหมือนจะปรับตัวกับบอลอังกฤษยังไม่ค่อยได้ ดูช้าและทำบอลเสียหลายครั้ง แต่ทว่าหลังจากกลับมาจาก เอเชี่ยน คัพ ต้องบอกว่านี่แหละคือ วาตารุ เอ็นโด ในแบบที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการและในแบบที่แฟนบอล เดอะ ค็อป อยากเห็น
กลายเป็นว่าในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ เอ็นโด นี่แหละคือตัวเลือกหมายเลข1ของทีม นั่นก็ส่งผลดีให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้เล่นในบทบาทที่ตัวเองถนัดไม่ต้องถอยมาต่ำ ส่วนในรายของ ไรอัน กราเวนเบิร์ช (ที่เจ็บอยู่) ก็ต้องเป็นสำรองไปตามระเบียบ
มิดฟิลด์แดนอาทิตย์อุทัย สู้ได้ไม่เป็นรอง มิดฟิลด์เรือใบสีฟ้าเลยทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ - โรดรี้ และ แบร์นาโด ซิลวา เราจึงได้เห็น เอ็นโด้ ปั้มบอล แย่งบอลตรงแดนกลางได้หลายครั้ง ทำให้กองหลังลิเวอร์พูลไม่โดนบอลทะลุมาโจมตีมากนัก
หลังเกม วาตารุ มีสถิติ ที่ยอดเยี่ยมมากมายทั้ง ผ่านบอลแม่นยำ 96% - สกัดบอล2ครั้ง - ตัดบอล 2ครั้ง - แย่งบอลกลับมาครองได้ 6 ครั้ง - ชนะในการดวลลูกบนพื้น 85% - แท็กเกิ้ลสำเร็จ 4จาก4ครั้ง - ชนะการดวล 6จาก 7ครั้ง
มีบางจังหวะ เดอ บรอยน์ ถึงกับทำอะไรไม่ถนัดเลย เพราะเมื่อหันหลังรับบอล เอ็นโด ก็เข้าถึงตัวปั๊มบอลมาได้ การจ่ายบอลขึ้นหน้าที่ดี ก็เป็นสิ่งที่เซอร์ไพรส์เหมือนกันสำหรับ เอ็นโด เล่นขยันทุ่มเท พลังไม่หมดแบบนี้ สงสัยจะกลายเป็นอีกหนึ่งขวัญใจแฟนหงส์ได้ไม่ยากเลย
ฟาน ไดค์ แบกหลังดาวรุ่ง ทำ ฮาลันด์ เงียบสนิท
แม้ว่าฤดูกาลที่แล้ว 2022-2023 เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จะผลงานดร็อปลงไประดับหนึ่ง อาจจะด้วยสภาพร่างกายหรือตัวหลักในทีมหายหน้าหายตาเพราะอาการบาดเจ็บหลายราย ทำให้ฟอร์มทีมโดยรวมแกว่งไปด้วย แต่ทว่าพอซีซั่นใหม่ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ฟาน ไดค์ ก็เหมือนจะได้บัฟพลังร่างทองกลับมาด้วย
ลิเวอร์พูลมีปัญหาแนวรับบาดเจ็บหลายราย แต่ทว่า ฟาน ไดค์ ที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ก็เป็นตัวหลักประคับประครองน้องๆได้ตลอด เมื่อคืน กองกลังวัย32ปี ต้องเล่นกับเซนเตอร์ดาวร่งอย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์ (21ปี) แบ็กขวาเป็น คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ (20ปี) แถมยังมีแบ็กซ้ายเป็นตัวสำรอง สารพัด ประโยชน์ อย่าง โจ โกเมซ อีกด้วย
และนี่ก็เป็นอีกแมตช์ที่แสดงให้เห็นว่า เฟอร์จิล ฟานไดค์ เอาอยู่ขนาดไหนในการบัญชาการเกมรับที่มีแต่เด็กและตัวสำรอง มีหลายจังหวะที่เพื่อนร่วมทีมผิดพลาด แต่กัปตันทีมรายนี่้ก็ตามแก้เก็บ เช็ดกวาดให้ได้ตลอดจังหวะสุดท้าย มีช็อตที่ดวลกับ ฮาลันด์ แล้วเอาชนะได้หลายครั้ง
ไม่แปลกใจเลยที่จะมีสถิติที่ยอดเยี่ยมตลอด 90นาทีทั้ง เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศ 100% - ผ่านบอลสำเร็จ 77จาก 79ครั้ง - ชนะการดวล 6จาก 8ครั้ง - แย่งบอลกลับมาครองได้ 5ครั้ง - แท็กเกิ้ล และ ตัดบอลอย่างละ 4หน
ฟาน ไดค์ ครบเครื่องมากๆ ทำให้นึกถึงฟอร์มปีที่เจ้าตัวพาลิเวอร์พูลได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก และปีต่อมาสานต่อ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเลย การอ่านเกมที่เฉียบขาด รู้จังหวะจะโคนในการเข้าสกัดบอล และที่สำคัญทำให้ เออร์ลิง ฮาลันด์ แทบจะหายตัวไปเลยเมื่อคืน เพราะดาวยิงชาวนอร์เวย์ มีโอกาสลุ้นประตูตลอดทั้งเกม1ครั้งเท่านั้น
อัลวาเรซ น่าผิดหวังมาหลายนัดแล้ว โดกู สร้างความแตกต่าง
ด้วยความไม่คาดหวัง แต่ทว่าฟอร์มดีกว่าที่คาดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทำให้ซีซั่นใหม่นี้ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ มีบทบาทกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นอย่างมาก ประกอบกับช่วงต้นฤดูกาลลากยาวมาจนถึงเดือนมกราคม เควิน เดอบรอยน์ เจ็บยาว ทำให้บทบาทเพลย์เมคเกอร์ เป็นของ อัลวาเรซ
โดยเกมกับหงส์แดง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาในระบบ 3-2-4-1 โดย ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ที่ยืนเป็นริมเส้นฝั่งซ้าย และก็เป็นอีกนัดที่ แข้งเลือดฟ้า-ขาว ผลงานไม่เข้าตาเท่าไหร่ เพราะแทบจะไม่สร้างความอันตรายให้กับ เจ้าหนู แบร็ดลี่ย์ ได้เลย
เราจะเห็นความแตกต่างเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเกมรุกฝั่งขวาที่มีทั้ง ฟิล โฟเด้น และ ไคล์ วอล์คเกอร์ สิ่งหนึ่งที่ อัลวาเรซ เป็นมาหลายแมตช์แล้วก็คือ จังหวะการจ่ายบอลผ่านบอล มีล้น มีขาด มีเกินตลอด
เหมือนจังหวะจะโคนไม่เข้ากับเพื่อนร่วมทีมมาสักพักแล้ว หรือเมื่อมีโอกาสได้ยิงก็มักจะซัดออกไปเองแบบไม่ได้ลุ้น บอลไปตายที่อดีตแข้งโบคา จูเนียร์ หลายช็อตเหมือนกัน นั่นจึงทำให้ในเกมลีก 7นัดติดต่อกันแล้วที่ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ไม่ได้มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ด
และส่งผลให้เจ้าตัวได้อยู่ในสนามเพียงแค่ 69นาที เป็น เฌเรมี่ โดกู ได้ลงสนามมาแทน ซึ่งเจ้าของฉายา " เดอ แฟลช " ฟอร์มก่อนหน้าก็ไม่ได้ดีเหมือนกัน เพราะแม้จะมุดได้ แต่จังหวะสุดท้ายไปตกม้าตายเองตลอด ทั้งยิงไปติดบล็อก ยิงออกไปเอง หรือเปิดไม่แม่น
แต่ทว่าการลงมาของ โดกู ดูจะได้ผลไม่น้อย เพราะด้วยสไตล์ของเจ้าตัวเล่นงาน โจ โกเมซ ที่ต้องปรับไปเล่นแบ็กขวา ได้หลายครั้ง เรียกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กะให้ไปเผาเครื่องโจมตีตรงแบ็กขวาเลย ซึ่ง ปีกชาวเบลเยี่ยม ก็เกือบจะทำประตูชัยได้ เพราะซัดไปชนเสา
แต่ในขณะเดียวกันก็เกือบจะเป็นผู้ร้ายทำทีมพัง เพราะไปถีบ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเขตโทษจังหวะฟอลโล่ทรู แต่ทว่าผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ และ VAR กลับใจดีไม่เป่า ทำให้รอดไปอย่างหวุดหวิด
มีไม่กี่นัดที่เรือใบเกมเป็นรอง เปลี่ยน KDB แนวรุกอัมพาต
ฤดูกาลนี้ในพรีเมียร์ลีกมีอยู่2นัดด้วยกันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกมเป็นรองคู่แข่ง นั่นก็คือ นัดทีบุกไปพ่าย อาร์เซน่อล (1-0) และ แอสตัน วิลล่า (1-0) เมื่อคืนที่ แอนฟิลด์ ก็ออกแนวอีหร็อบนั้นเช่นกัน เพราะลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า 53 ต่อ 47 แถมมีโอกาสยิงมากกกว่า (ไม่นับติดบล็อก) 14 ต่อ8
รวมถึงนานๆทีเราจะเห็นลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ออกอาการลน จนจ่ายบอลเสียเมื่อโดนบีบ ซิตี้ จำเป็นต้องถอยไปตั้งรับในครึ่งหลัง แถมยังต้องเตะบอลทิ้งหวดไปข้างหน้าวัดเอา บางช็อตที่จวนตัวอีกด้วย
ทั้งที่เทียบตัวผู้เล่นต้องบอกว่า พลพรรคเรือใบสีฟ้า ดูจะฟูลทีมมากกว่า เมื่อเทียบกับลิเวอร์พูล โดยเฉพาะใน45นาทีหลัง ที่เกมอยู่ในการครอบของของเจ้าบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ เป๊ป ต้องจำใจแก้เกมโดยการถอด เควิน เดอ บรอยน์ ออก แล้วให้ มัตเตโอ โควาซิซ ลงมาแทน
ซึ่งการแก้เกมดังกล่าวทำเอา KDB เกิดอาการพ่อไม่เข้าใจตุ้มหัวเสียมากๆ จน เป๊ป เองต้องมาอธิบายให้ เดอ บรอยน์ ได้เข้าใจเลยทีเดียว โดยการที่ โควาซิซ (น.69)ลงมาทำให้ แมนฯซิตี้ ได้หายใจหายคอ กลับมาครองบอลได้มากขึ้น เพราะมิดฟิลด์ชาวโครแอตจัดได้ว่าเป็นผู้เล่นที่ครองบอลได้ดีมากๆอยู่แล้ว
แต่ทว่าสิ่งที่ต้องเสียไปนั่นก็คือ ประสิทธิภาพความทะลุทะลวงในแนวรุก เพราะนอกจาก เดอ บรอยน์ แล้ว ไม่มีผู้เล่นซิตี้คนไหนที่จ่ายลูกคิลเลอร์พาส หรือแทงทะลุช่องได้เลย ความอันตรายจากบอลตรงกลางสนามแทงสวนเวลาแนวรับลิเวอร์พูลยืนสูงนั้นหายไป
การที่ไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ส่งผลโดยตรงให้บอล ไปไม่ถึง ฮาลันด์ เลย จนทำให้ดาวยิงร่างยักษ์ชาวนอร์เวย์ หายตัวไปในช่วงเวลาที่เหลือ
- คอลัมน์นิสต์
- พรีเมียร์ลีก คอลัมน์บอล วิเคราะห์บอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลิเวอร์พูล จอห์น สโตนส์ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์
- 347
- 11 ม.ค. 2567 14:21