เกมมัน คุณภาพ5ดาว ! ชุดขาว ตามเจ๊า เรือใบ 3-3 วัลเวร์เด้ ซัดตูมเซฟชีวิต
เป็นเกมบิ๊กแมตช์ คู่ใหญ่สุดแล้วใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ8ทีมสุดท้าย ระหว่าง เรอัล มาดริด เจ้ายุโรป 14สมัย กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเต็ง1ของรายการนี้ และฟอร์มระยะหลังเสถียรเหลือเกิน โดยความพร้อมก่อนเกมถือว่า ราชันชุดขาว เสียเปรียบเล็กน้อย เพราะเซ็นเตอร์ตัวหลักหายไปเกือบหมด ส่วนทางฝั่งเรือใบสีฟ้า เควิน เดอ บรอยน์ มีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองเพราะอาการป่วย
คาร์โล อันเชล็อตติ ก็มาในแผนเก่งของพวกเขา ในยุคที่ไร้กองหน้าตัวเก่งนั่นก็คือ 4-3-1-2 แต่ทว่าก็น่ากังวลตรงที่ตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟ เอแดร์ มิลิเตา กับ ดาบิด อลาบา ที่เจ็บยาวไปก่อนหน้านั้น ทำให้ต้องขัดตราทัพโดยการเอา โอเรเลียง ชูอาเมนี่ ไปยืนเซ็นเตอร์คู่กับ อันโตนิโอ รูดิเกอร์
ส่วนเรือใบสีฟ้า มาในระบบเดิม 4-3-3 แนวรับแบ็กอย่าง ยอสโก้ กวาร์ดิโอล กลับมาเป็นตัวจริง ส่วน เควิน เดอ บรอยน์ ที่มีอาการป่วยทำให้เป็นได้เพียงแค่ตัวสำรอง ทำให้ในตำแหน่งแดนกลาง เป็น มัตเตโอ โควาซิซ ที่ได้โควตาเล่นแทน
เริ่มเกมมาได้ไม่ถึง2นาที ความประมาทของเจ้าบ้านในการรับมือลูกฟรีคิก อันเดร ลูนิน สั่งกำแพงเพียงแค่ คน ทำให้ แบร์นาโด้ ซิลวา ฉวยโอกาสยิงเรียดเสาแรกขึ้นนำเลย 1-0 ซึ่งหลังโดนทะลวงตาข่ายเร็ว ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็ไม่ได้รวนแต่อย่างใด
ไม่กี่อึดใจ " โลส บลังโกส "ก็กลับมาแซงขึ้นนำ 2-1 จากลูกยิงของ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ที่ไปแฉลบ รูเบน ดิอ๊าซ น.12 และ โรดรีโก้ ที่หลุดเดี่ยวไปยิงแฉลบ มานูเอง อคานยี เข้าไปอีก น.14 และก็จบ45นาทีแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว ด้วยรูปเกมที่ มาดริด ดูดีกว่านิดๆในแท็กติกการเล่นของตัวเอง
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็แก้เกมมาดีมากๆ กลายเป็นขึงใส่ ราชันชุดขาว เลย พร้อมเปลี่ยนวิธีเข้าทำใหม่เจาะจากด้านนอก อาศัยจังหวะยิงไกล และท้ายที่สุดก็มาสัมฤทธิผล จากลูกซัดหายสุดสวยของ ฟิล โฟเด้น น.66 เสมอ2-2
ก่อนที่ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล จะเติมสูงมาตะบันไกลสุดเฉียบพลิกนำ 3-2 น.71 ถึงกระนั้นก็ดีราชันชุดขาว ก็ไม่ยอมพังพาบคา ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ง่ายๆ มาตามเจ๊าตีเสมอได้สำเร็จจาก ลูกยิงเครื่องหมายการค้าของ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ที่ซัดเต็มข้อล่อเต็มแข้งเสียบมุมเข้าไปสุดสวย น.79 และจบ90นาทีไปด้วยสกอร์ 3-3
ผลเสมอดังกล่าว ทำให้ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ลำบากไม่น้อยในการยกพลไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด นัดหน้า เพราะต้องชนะกลับออกมาให้ได้สถานเดียว ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาปรกติ ต่อเวลาพิเศษ120นาที หรือแม้กระทั่งดวลจุดโทษ โดยปีที่แล้วชุดขาวก็ตกรอบรองเพราะ ซิตี้ นี่แหละนัดแรกเสมอในบ้าน1-1 ก่อนเกม2 จะบุกไปโดนยำ4-0
ฮาลันด์ หายตัวอีกนัด รูดิเกอร์ ดูแลดี
เป็นอีกนัดที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ หายตัวอีกแล้วในเกมใหญ่ บิ๊กแมตช์ เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากเซ็นเตอร์คู่แข่ง เมื่อคืน อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ก็มาสามารถลักพาตัว ดาวยิงร่างยักษ์ชาวนอร์เวย์ได้อีกหน เพราะ ฮาลันด์ แทบไม่มีบทบาทส่วนร่วมกับเกมเลย
แม้ว่าจะพึ่งทำประตูในนัดที่บุกไปยิง คริสตัล พาเลซ 4-2 มา แต่ทว่าเกมกับ เรอัล มาดริด ฮาลันด์ ก็ไม่สามารถเป็นตัวอันตรายของทีมได้เลย ส่วนหนึ่งก็เพราะถูกโจทย์เก่า รูดิเกอร์ ประกบติดชีวิต แบบไปไหนก็ขอตามไปด้วย
90นาทีที่ได้อยู่ในสนาม ฮาลันด์ มีโอกาสยิงเพียง1ครั้งถ้วน และได้จ่ายบอลเพียงแค่ 9ครั้ง และไม่สามารถเลี้ยงบอลผ่านผู้เล่นชุดขาวได้เลย นั่นเท่ากับว่า3นัด (รวมฤดูกาลที่แล้ว) ที่เจอกับ เรอัล มาดริด เออร์ลิง ฮาลันด์ ไม่มีประตู หรือ แอสซิสต์ เลย
การเจอกับทีมใหญ่ 4นัดหลังสุดกับทั้ง สเปอร์ส -เซลซี - ลิเวอร์พูล และอาร์เซน่อล ฮาลันด์ เป้าสะอาดหมดเลย มีเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้นกับทีมใหญ่ ที่เจ้าตัวสังหารประตูได้ในระยะหลัง
โดยอดีตนักเตะสเปอร์ส และ เรอัล มาดริด อย่าง ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท ได้ออกมาตำหนิ หอกวัย23ปีรายนี้ว่า แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากจังหวะที่จะจริงประตู และแย่สุดๆเวลาครองบอล
แต่ถึงกระนั้นก็ตามถ้ามองจากผลลัพธ์ภาพรวมต้องบอกว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ แม้จะผลงานดร็อปไปจริง ทั้งจำนวนประตู และโอกาสจ่อๆที่มีพลาดให้เห็นถี่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลงาน30ประตู จาก37นัดทุกรายการ นั้นไม่ได้ย่ำแย่อะไรเลย ถือว่ายังดีมากๆด้วยซ้ำ แต่ทว่าภาพจำจากฤดูกาลที่แล้ว มันทำให้เหมือนกับว่า ฮาลันด์ ดร็อปไปมากๆเอง ทั้งที่จริงยังถือว่ามาตรฐานสูงอยู่
ซิตี้ โจมตีหลากหลาย เลือกเจาะด้านนอก
การต่อบอลมากจังหวะเอาชัวร์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมไปจนถึงการทำชิ่งจ่ายบอลเร็วไปมาก จากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย บริเวณหน้าเขตโทษของคู่แข่ง นี่คืออาวุธของ ซิตี้ ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ติดตั้งมาให้เป็นอย่างดี แต่ทว่าเกมนี้มันดูไม่ได้ผลกับ เรอัล มาดริด เท่าไหร่
ปรกติเกมบุกของซิตี้ จะทำได้ดีมากๆ ในการทำลายเชฟเกมรับคู่ต่อสู้ นั่นก็คือการจ่ายเร็ว ทำชิ่ง โยกออกซ้ายออกขวา บริเวณหน้าเขตโทษคู่แข่ง จนมีแนวรับสักคนที่หลง หรือหลุดตำแหน่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็จะเล่นงานตรงนั้นทันที
แต่ทว่าวิธีการดังกล่าว ไม่ใช่แท็กติกที่จะมาได้ผลกับทีมเขี้ยวลากดินอย่าง เรอัล มาดริด เท่าไหร่ เพราะทั้ง รูดิเกอร์ แล ชูอาเมนี่ ไม่หลงตำแหน่ง แบ็กซ้ายขวาอย่าง ดานี่ การ์บาฆาล และ แฟร์กล็องด์ เมนดี้ ยังช่วยปิดกั้นจังหวะสอดริมเส้นเข้ามาได้เป็นอย่างดี
นั่นทำให้ 45นาทีหลัง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเล่น เคาะเจาะจากด้านนอก อาศัยการชิ่งจ่ายเร็ว และหวังทีเด็ดจากลูกยิงไกล ซึ่งก็มาได้ผลจริงๆ เพราะทั้งสองเม็ดของทีมสีฟ้าเมืองแมนเชสเตอร์ ก็ได้มาจากช็อตยิงไกลสุดเฉียบนอกเขตโทษ
ฟิล โฟเด้น ที่ยิงไกลได้ดีอยู่แล้ว บอลพุ่งเป็นจรวดและมุมจัด พาทีมตีเสมอได้ แบ็กอย่าง กวาร์ดิโอ ก็เติมสูงปั่นด้วยขวาบริเวณนอกกรอบเขตโทษเข้าไปอย่างหมดจด ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการเปลี่ยนวิธีเล่นที่ได้ผลมากๆของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในยามที่เจาะจากด้านในเขตโทษไม่ได้
เกมแบบนี้ สไตล์ กรีลิช ปั่นป่วนชุดขาวสุดๆ
จะว่าไปนี่คือฤดูกาลที่ไม่ค่อยโสภาของ แจ็ค กรีลิช เท่าไหร่นะ ทั้งในเรื่องของผลงาน โอกาสได้ลงสนามตัวจริง รวมไปจนถึงอาการบาดเจ็บที่ตามรังควานอยู่ช่วงหนึ่งทำให้ ตำแหน่งตัวรุกด้านซ้าย จึงเป็นโอกาสของ เฌเรมี่ โดกู เสียเป็นส่วนใหญ่
แต่ทว่าพอเจ้าของฉายา " เดอะ แฟลช เบลเยี่ยม " เลิกจี๊ด หรือโดนคู่แข่งจับทางได้ ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กลับมาใช้บริการ แจ็ค กรีลิช อีกครั้ง โดยประตู1-0 ของ ซิตี้ ก็ได้มาจากจังหวะเรียกฟาวล์ของ กรีลิช นี่แหละที่ทำให้ทีมได้ฟรีคิก
กรีลิช ที่ไม่ใช่ปีกสไตล์จี๊ดจ๊าดแต่อย่างใด แต่เป็นแนวๆค่อยๆเลี้ยง ค่อยๆไถ หาจังหวะจ่ายเข้าใน หรือหักยิงเองมากกว่า ซึ่งเมื่อคืน สเต็ปการเล่นของ แจ็ค กรีลิช นั้นช่วยทีมได้เยอะมากๆ เพราะสามารถดึงตัวประกบของ มาดริดได้ ทีละ2คน
ทำให้สามารถจ่ายฉีกให้เพื่อนร่วมทีมเล่นต่อในพื้นที่ที่มากขึ้นได้ เพราะ " ไอ้แจ็ค " เป็นคนดึงตัวประกบไป เห็นได้ชัดก็ประตู 3-2 ของ ยอสโก กวาร์ดิโอล นี่แหละ นอกจากนี้ กรีลิช ยังเรียกฟาวล์ให้ทีมได้ถึง 4ครั้ง มีโอกาสยิง3ครั้ง และมีจ่ายจังหวะคีย์พาส 2หน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี แจ็ค กรีลิช ยังต้องปรับปรุงมากๆในเรื่องของการจบสกอร์ แต่ประโยชน์โดยรวมตอนนี้ ดูจะทำได้ดีกว่า โดกู ที่เหมือนจะหมดมุกไปแล้ว แถมยังเป็นผู้เล่นที่มักจะทำลายจังหวะเพื่อนเพราะยึกๆยักๆอีกด้วย เพราะฉะนั้นนัด2 ก็น่าจะเป็น กรีลิช นี่แหละที่จะได้ลงตัวจริงอีก
หลังชอบดันสูง ข้อเสียเดียว ซิตี้
ไม่ว่าจะเจอกับใคร คู่แข่งระดับไหน ทีมเล็กหรือทีมใหญ่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็มักจะเล่นด้วยปรัชญาของตัวเองตลอด นั่นก็คือครองบอล บีบสูง เซ็ตเกมบุกเข้าใส่ ค่อยๆนวด และ ทีมของ เป๊ป ก็เหนือกว่าคู่แข่งเสมอทั้งในเรื่องการครองบอล และหาโอกาสยิงประตูมากกว่า
เมื่อคืน เรือใบสีฟ้า ครองบอล มากกว่า 60ต่อ40 เปอร์เซ็นต์ แต่ทว่าในเรื่องของ โอกาสยิงประตูเป็น มาดริด ที่ทำได้มากกว่า 11 ต่อ 8ครั้ง แต่ทว่าทุกๆนัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มักจะมีจุดบอดเรื่องวิธีการเล่นเสมอ นั่นก็คือหลังลอย
กองหลังยืนสูงลอย นี่คือเราได้เห็นจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ว่าจะเจอกับทีมไหน เมื่อคืนด้วยคุณภาพผู้เล่นของราชันชุดขาวที่สูง เบสิค ดีทุกคน เราจึงได้เห็นจังหวะวางยาว หรือแทงทะลุให้กองหน้าอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ วัดกับแนวรับพวกเขาเองหลายครั้ง
ที่เห็นชัดสุดๆก็เป็นลูกแซงนำ 2-1 ของ เรอัล มาดริด วินิซิอุส จ่ายบอลไปพื้นที่ว่างจากแดนตัวเองให้ โรดรีโก้ หลุดสปีดไปรับบอลหนี มานูเอล อคานยี่ 45นาทีแรกเราจะเห็นได้ว่า ถ้า มาดริด ตัดบอลจากตรงกลางได้จะจ่าย ให้คู่กองหน้าชาวบราซิลในพื้นที่ว่างให้ได้กระชากใช้ความเร็ววัดตลอด
เอาแค่ในพรีเมียร์ลีก แม้ว่า ซิตี้ จะยังถือว่าเสียประตูน้อยอยู่ 31ประตู จาก31นัด แต่ทว่าพวกเขาเก็บไปได้เพียง 9 คลีนชีต เท่านั้น และการเสียประตูก็มักจะมาในรูปแบบการโดนสวนกลับ จ่ายบอลตัดหลังไปยังพื้นที่ว่าง ใช้ความเร็วของปีกโจมตี ซึ่งเมื่อคืน วิธีการเล่นแบบนี้ของ มาดริด นั้นเล่นงานได้หลายจังหวะมากๆ
วินิ & โรดรีโก้ บราซิลแท้ แต่ไปเยือน เอติฮัด หินแน่
นี่ถือว่าเป็นฤดูกาลเปลี่ยนถ่ายในแนวรุกของ เรอัล มาดริด เลยก็ว่าได้ เพราะต้องเสียดาวยิงคนเก่งอย่าง คาริม เบนเซม่า ไป แต่ทว่า คาร์โล อันเชล็อตติ ไม่ได้ตัวแทนที่สมน้ำสมเนื้อเลย เพราะไปคว้ามวยแทนแก้ขัดอย่าง โฆเซลู ในวัย34ปีมา ซะงั้น
นั่นทำให้ " พี่เจ้ " ต้องปรับระบบการเล่นใหม่ให้เหมาะสมกับทีมนั่นก็คือ 4-3-1-2 มี จู๊ด เบลลิงแฮม ยืนสูงเป็นคล้ายๆเพลย์เกอร์ และใช้คู่กองหน้าเป็นดูโอ้ชาวบราซิล วินิซิอุส จูเนียร์ กับ โรดรีโก้ ที่มีสปีดนรกเร็วจี๋ทั้งคู่
ซึ่งความเร็วของ วินิซิอุส และ โรดรีโก้ ช่างเข้าทางกับรูปแบบการเล่นหลังลอยสูงของ ซิตี้ เป็นอย่างมาก เพราะทำให้แข้งแดนกาแฟ ได้ใช้จุดเด่นที่มีความเร็วตรงพื้นที่ว่างเล่นงานทีมเยือน
โดยเฉพาะในรายของ วินิซิอุส ที่ฝากผลงาน 2แอสซิสต์ 4 คีย์พาส และโอกาสยิงอีก4ครั้ง รวมถึงสถิติส่วนตัวในการเจอจากทีมอังกฤษ อย่าง แมนฯซิตี้ - เซลซี และลิเวอร์พูล แข้งเบอร์7ชุดขาวยอดเยี่ยมมากๆ เพราะยิงไปได้ถึง7ประตู กับอีก8แอสซิสต์
ส่วน โรดรีโก้ ก็โชว์ให้เห็นชัดๆว่าสปีดเร็วกว่า อคานยี่ ขนาดไหน แม้ว่าจะได้อยู่ในสนามเพียงแค่ 71นาที แต่ทว่าอย่างไรก็ตามนัด2ที่ต้องไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ใช่งานง่ายของชุดขาวแน่ๆ
ต้องไม่ลืมว่า ซีซั่นที่แล้ว เรอัล มาดริด ตกรอบรอง เพราะมาโดนอัด 4-0 ที่สนามแห่งนี้นี่แหละ (หลังเกมแรกในบ้านเสมอมา1-1) ในรังเหย้าฤดูกาลนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ เอติฮัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังไม่แพ้ใครเลย ชนะ 17 เสมอ 5 แถมยังยิงคู่แข่งไส้แตกถึง 57ลูก เลยทีเดียว
- คอลัมน์นิสต์
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คอลัมน์บอล วิเคราะห์บอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เรอัล มาดริด
- 173
- 10 เม.ย. 2567 16:11