หยุดเพื่อนรัก ไม่ให้ขึ้นจ่าฝูง ! ผี เอาอยู่ เจ๊า หงส์ 2-2 ซาล่าห์ ซัดโทษเซฟชีวิต
ก่อนแดงเดือดยกที่3 ของฤดูกาล 2023-2024 นี้ จะเริ่มขึ้น ด้วยสภาพความพร้อมทีม ฟอร์มการเล่น โมเมนตัม ต่างๆ ต้องบอกว่าลิเวอร์พูล ดูจะเป็นต่อมากๆในคราวนี้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายต้องยกทัพมาเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ตาม แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ 90นาที จบลงด้วยการที่หงส์แดง ปิดเกมไม่ลงในตอนแรก ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว ลงเอยด้วยการเสมอกันไปกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดมัน 2-2
ศึกแดงเดือดคราวนี้ ถือว่าเป็นภารกิจที่หนักหนาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงๆกับการขัดขวางให้ อริตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ไม่ให้กลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง แต่ทว่าด้วยสภาพทีมและฟอร์มการเล่น ต้องบอกว่าเป็นงานหนักเข็นครกขึ้นภูเขามากๆของปีศาจแดง
การจัดตัวผู้เล่น ตำแหน่งเซ็นเตอร์ด้วยความที่เดี้ยงไปเกือบหมด ทำให้ เอริก เทน ฮาก ต้องใช้บริการเด็กวัย19อย่าง วิลลี่ คัมบวาล่า ผนึกกำลังกับ แฮรรี่ แม็คไกวร์ นอกนั้นก็ชุดเดิม 3ประสานแนวรุก อเลฮานโดร การ์นาโช่ - มาร์คัส แรชฟอร์ด และ ราสมุส ฮอยลุนด์
ฝั่งลิเวอร์พูล จัดตัวผู้เล่นที่เกือบฟูลทีม มีเพียงตำแหน่งผู้รักษาประตู ควีวิน เคเลเฮอร์ ที่ได้เฝ้าเสาต่อเนื่องแทน อลิสซง เบ็คเกอร์ ที่เจ็บยาว เซ็นเตอร์ จาร์เรล ควอนห์ซ่า ได้ยืนคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แบ็กขวา คอร์เนอร์ แบร็ดลี่ย์ แดนหน้ามากันครบ ซาลาห์ - ดิอ๊าซ - นูนเญซ
เปิดเกมมาต้องบอกว่าเจ้าบ้านดูจะคึกแค่ราวๆ 5-10 นาทีแรก แต่ทว่าหลังจากนั้นความจริงก็ปรากฎ ลิเวอร์พูลครองเกมได้หมดจดเลย ขึงใส่เล่นเกมรุกอยู่ฝ่ายเดียว ยูไนเต็ด ไม่มีโอกาสเซ็ตบอล จ่ายบอลขึ้นหน้าเลย เหมือนเตะบอลอัดกำแพงแล้วเด้งกลับมาให้ตั้งรับตลอด
จนด้วยลูกสูตรเตะมุมของ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จาก หลุยส์ ดิอ๊าซ น.23 หลังจากนั้นทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็มีโอกาสบวกเม็ด2หลายครั้งแต่ไม่เฉียบขาดเอง แถมยังเป็นวันที่ อ็องเดร โอนาน่า ไม่พลาด และโชว์หนึบได้อีกด้วย จบ45นาทีแรก ทีมเยือนบุกมานำ 1-0
ครึ่งหลังมาจากรูปเกมที่ไม่มีอะไรของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กองหลังดาวรุ่งหงส์แดงอย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์ ไปทะลึ่งจ่ายบอลพลาดในแดนตัวเอง บรูโน่ แฟร์นันเดซ ตัดสินใจเลยยิงสวน เควิน เคลเลเฮอร์ จากบริเวนครึ่งสนาม บอลข้ามมือ นายด่านชาวไอร์แลนด์ เข้าประตูไปอย่างสวยงาม น.48
ซึ่งหลังจากนั้นรูปเกมโมเมนตัมก็เปลี่ยนมาเข้าทาง ยูไนเต็ด เลย และพวกขาก็มาได้ประตูแซงนำ 2-1 จากลูกปั่นโค้งๆสุดสวยในเขตโทษชนิด10เต็ม10ของ ค็อบบี้ ไมนู น.67 เล่นเอาสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แทบแตก
ทว่าอย่างไรหลังจากนั้นหงส์แดง ก็เน้นมากๆขึ้นเรื่อง บวกกับการที่ ETH เปลี่ยนตัวแบบรอโดนอีกแล้ว ถอด การ์นาโช่ ออก เอาชัวร์ตรงกลางให้ โซฟียาน อัมราบัต ลงมาแพ็กกลางแทน และหลังจากนั้นอีกราวๆ5นาที ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูตีเสมอ
จากจุดโทษของ โม ซาลาห์ น.84 จากการที่ วาน บิสซาก้า ไปเสียค่าโง่ เสียเหลี่ยม ไปเสียบ ฮาวี่ย์ เอลเลียตต์ ที่พยายามล้มเอาจุดโทษเอาขาเข้ามาขัดอยู่แล้ว แอนโทนี่ เทยเลอร์ เป่าเป็นจุดโทษทันที
เกมนี้มีการทดเวลาบาดเจ็บยาว7นาที ลิเวอร์พูล หมายมั่นปั้นมือมากๆที่จะเอาประตูชัย และก็เกือบได้จริงๆกับลูกชาร์จของ หลุยส์ ดิอ๊าซ แต่ทว่าข้ามคานออกไป จบเกมเสมอกันไป 2-2 หนึ่งแต้มนี้เสียหายพอสมควรสำหรับหงส์แดง เพราะมันทำให้พวกเขาหล่นมาเป็นรองจ่าฝูง มีอยู่ 71แต้ม จาก31นัด ตามหลังจ่าฝูงอาร์เซน่อล ที่แต้มเท่ากันแต่ลูกได้เสียดีกว่า ถึง9ลูก
เจ้าหนู วิลลี่ คัมบวาล่า ลงตัวจริงแดงเดือด
ด้วยความที่ ณ ตอนนี้ ผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทยอยกันเดี้ยงหมดทั้ง ราฟาแอล วาราน - วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ และ จอห์นี่ อีแวนส์ เหลือเพียงแค่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่พร้อมรายเดียว นั่นทำให้กุนซือ เอริก เทน ฮาก ไม่มีทางเลือกต้องส่งเจ้าหนูวัย19ปี วิลลี่ คัมบวาล่า ออกตาร์ทตัวจริงทันที
การได้ลงตัวจริงแมตช์ดวลลิเวอร์พูล นี่คือการได้ออกสตาร์ทตัวจริง นัดที่2ในพรีเมียร์ลีก ของเจ้าหนูลูกหม้อรายนี้เท่านั้น และคู่แข่งที่เจ้าตัวต้องรับมือด้วยนั่นก็เป็นแนวรุกระดับพระกาฬอย่าง นูนเญซ - ซาลาห์ และ ดิอ๊าซ
ประตูแรกที่เสียจากลูกเตะมุม คัมบวาล่า มีส่วนเล็กน้อยกับการประกบตัวผิดพลาด ก่อนบอลไปถึง ดิอ๊าซ (แต่ก็จะโทษเจ้าตัวไม่ได้เต็มปาก เพราะพลาดทั้งแผง) ส่วนภาพรวมทั้งเกมต้องบอกว่า เจ้าหนูรายนี้ มีดีและแย่สลับกันไป
ดูตื่นๆพิกลกับการรับมือแนวรุกลิเวอร์พูล ดูจะเป็นคนที่โอนโยกไปตามเซฟเวลาหงส์แดงจ่ายบอลออกซ้ายออกขวา เพื่อทะลายเกมรับเจ้าบ้าน แต่ทว่าก็มีจังหวะเข้าบอล สกัดบอล ให้เห็นเป็นระยะ รวมถึงการรับมือกับ นูนเญซ ถือว่าทำได้ดีกว่าในหลายช็อต
ทั้งตัว คัมบวาล่า และ แม็คไกวร์ ดูน่าหวาดเสียวทั้งสองราย เวลาที่โดนบีบจากแดนหลัง หรือเวลาที่ต้องเป็นคนเซ็ตบอลจากหน้าเขตโทษตัวเองออกมา แม้จะไม่ดีพอเป็นตัวจริงระยะยาวได้ แต่เจ้าหนูชาวฝรั่งเศสรายนี้ น่าจะยังพอให้ เอริก เทน ฮาก ส่งลงแก้ขัดในช่วงที่เหลือของฤดูกาล
กาเซมิโร่ นับวันยิ่งโรยลาจ่ายบอลเสียเป็นว่าเล่น
ฟอร์มนักขุดหน่อไม้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว 2022-2023 ไม่รู้หายไปไหนหมดสำหรับ กาเซมิโร่ เพราะซีซั่นใหม่นี้ หลังหายจากอาการบาดเจ็บ " พี่เกษม " ดูอืดอาด อุ้ยอ้าย เสียเหลือเกิน กับการเล่นบอลในแดนกลาง ด้วยรูปเกมที่เป็นรองสุดกู่ใน45นาทีแรก ต้องบอกว่านี่คือความพ่ายแพ้ของคู่มิดฟิลด์ปีศาจแดงด้วย
เวลา กาเซมิโร่ ได้บอลเราจึงได้เห็นกองกลางลิเวอร์พูลอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ วาตารุ เอ็นโด บีบเร็วเข้าใส่และกดดันอย่างสนุกสนาน นั่นทำให้อดีตแข้ง เรอัล มาดริด จ่ายบอลเสียเป็นว่าเล่นเลย
หรือเวลาที่ต้องลงมาเคลียร์บอลในเขตโทษ กาเซมิโร่ ก็โหม่งหรือหวดเคลียร์ ตกไปยังจุดที่ทำให้ทีมเยือนได้เซ็ตบอลบุกต่อเข้าใส่ เชื่องช้า ลุ่มล่าม นี่คือคำที่อธิบายถึงเจ้าตัวได้เลย แม้จะวัยเพียงแค่ 32ปีก็ตาม จังหวะฟาวล์ใส่ ดิอ๊าซ จนเสียฟรีคิกอันตายช่วงทดเจ็บ แถมยังได้รับใบเหลือง จัดได้ว่าโฉ่งฉ่างเหลือเกิน
แต่ทว่าแข้งชาวบราซิลรายนี้ ก็ยังมีจุดดีให้เห็นนั่นก็คือการลงมาช่วยสกัดบอลเคลียร์บอล โดยเฉพาะช่วงที่โดนโหมบุกหนัก เพราะเคลียร์บอลได้มากถึง6ครั้ง บล็อกลูกยิง2ครั้ง และ แท็กเกิ้ล4หน
ส่วนเกมบุกก็น่าเสียดายเช่นกัน กับจังหวะที่เจ้าตัวเติมสูงไปโขกย้อนชงให้เพื่อนร่วมทีม แต่ทว่าหาก กาเซมิโร่ เลือกโหม่งหมายทำประตูเอง อาจได้ลุ้นกว่านี้ก็ได้นะ รวมไปจนถึงลูกยัดกึ่งยิงกึ่งผ่านของ แรชฟอร์ด กาเซมิโร่ เข้าชาร์จจะเปลี่ยนทางบอลแต่ไม่โดน
ควอนซาห์ จ่ายพลาดครั้งเดียวเกมเปลี่ยน
ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่าทุกเหลี่ยมมุม โอกาสยิง15ครั้ง ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 45นาทีแรก ไม่มีโอกาสจบสกอร์เลย แม้แต่หนเดียว แถมลิเวอร์พูลเอง ยังขึ้นนำไปก่อนด้วย 1-0 ต้องบอกว่ามองไม่เห็นเหลี่ยมมุมไหนที่3แต้ม จะหลุดออกจากมือหงส์แดงเลย
แต่ทว่าด้วยความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของลิเวอร์พูล ที่เกิดขึ้นเลยเซ็นเตอร์ดาวรุ่งอย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์ ที่จ่ายบอลพลาดตรงกลางสนามตัวเอง ทำให้ บรูโน่ แฟร์นันเดซ หยิบโอกาสชิ้นมันยิงสวนตูมเดียวจากกลางสนามผ่านมือ เคลเลเฮอร์ เข้าไปสุดสวย น.48
โดยความผิดพลาดครั้งนี้ของ ควอนซาห์ เสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของสกอร์ และรูปเกม โมเมนตัม ที่อยู่ดีๆเหวี่ยงกับไปหาทีมของ เอริก เทน ฮาก ชัดเจน และทำให้ลิเวอร์พูลเอง ช็อตไปดื้อๆราวๆ 15-20นาที
ถ้าจะพูดกันตามตรงเลยคือ ถ้าไม่มีลูกจ่ายพลาดของ ควอนซาห์ ไม่มีท่าที่เลยทีปีศาจแดง จะกลับมาจากหลุมได้ และลูกยิงของ บรูโน่ นี่คือหนแรกของ แมนฯยูไนเต็ด เกมนี้ ที่พวกเขามีโอกาสยิงและก็แปรเปลี่ยนเป็นสกอร์เลย
อีกสิ่งที่น่าตำหนิ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั่นก็คือการเลือกเปลี่ยนตัว โดมินิค โซโบซไล ที่เล่นดีออก แล้วให้ เคอร์ติส โจนส์ ลงมาแทน หลังจากนั้นต้องบอกว่า ความทะลุทะลวงในแดนกลางของหงส์แดงประสิทธิภาพลดลงดื้อๆ บวกกับในรายของ โคดี้ กัคโป ที่มาแทน นูนเญซ ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างหรือมีอิมแพคอะไรเลย
หงส์ จบไม่คม จนโดนย้อนมาทำร้าย
ถ้าดูจากรูปเกมใน45นาทีแรก ต้องบอกว่าน่าเสียดายมากๆสำหรับลิเวอร์พูล ที่ไม่สามารถเก็บ3แต้ม ออกมาจาก ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ เพราะเมื่อมองทั้งโอกาส รูปเกม โมเมนตัม ต่างๆ ต้องบอกว่าตอนที่ขึ้นนำ1-0 มองไม่เห็นมุมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะกลับมาได้เลย
จบ45นาทีแรก ทีมของ " เจเค " ขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากลูกยิง ของ ดิอ๊าซ พร้อมด้วยสถิติที่ข่มมิดคู่อริ ลิเวอร์พูล มีโอกาส มากถึง 15ครั้ง เข้ากรอบ4 ครั้ง ขณะที่เจ้าบ้านทำเป็นเล่นไป ไม่มีโอกาสยิงแม้แต่หนเดียว
เอาแค่ครึ่งแรก ในรายของ โดมินิค โซโบซไล ก็มีโอกาสยิงมากถึง 3ครั้งแล้ว ที่ใกล้เคียงสุดเห็นทีจะเป็นตั้งแต่ต้นเกมเลยที่หลุดไปดวล แต่ทว่าติดเซฟของ อ็องเดร โอนาน่า รวมถึงวิ่งเข้ามาชาร์จในเขตโทษแต่บอลผิดเหลี่ยมหลุดไป
ส่วนในรายของ โม ซาลาห์ ที่ 2-3 นัดหลังโดนแฟนหงส์กร่นด่าเยอะเหลือเกินกับการใช้โอกาสอันสิ้นเปลือง เมื่อคืนแม้ " บังโม " จะซัดจุดโทษช่วยให้ทีมตีเสมอเป็น 2-2 ได้ แต่ทว่าโอกาสยิงของสตาร์ชาวอียิปต์ นั้นก็มากมายถึง6ครั้ง แต่ติดเซฟและยิงนกตกปลาไปหมด โดยเฉพาะจังหวะตามซ้ำลูกยิง ของ นูนเญซ ที่ซัดข้ามคานออกไปแบบไม่ได้ลุ้น
สำหรับ ดาร์วิน นูนเญซ ต้องบอกว่านี่คือแมตช์ที่ดาวยิงชาวอุรุกวัย มีส่วนร่วมกับเกมมากๆ เชื่อมบอลพักบอลได้ มีโอกาสยิงมากถึง5ครั้ง แต่ นูนเญซ ก็ยังเป็นนูนเญซ คนเดิมนั่นแหละคือพึ่งพาจังหวะสำคัญๆไม่ค่อยได้ ลูกเปิดของดิอ๊าซ เข้ามาให้โล่งๆ ไม่รู้ " น้องนุ่น " ทำไมเลือกตบกลับเข้ากลางมาอีกที ทั้งที่ควรจะยิงเองให้สิ้นซาก
เมื่อคืนทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีโอกาสยิงมากถึง 28ครั้ง หรือเอานับรวมทั้งในฤดูกาล หงส์แดงคือทีมที่มีสถิติยิงตรงกรอบมากที่สุด 863ครั้ง แต่แปรเปลี่ยนให้เป็นประตูคิดเป็นเพียงแค่ 8.3 % เท่านั้น
ไมนู เด็กมีของจริง ผีทำภารกิจขวางหงส์แชมป์
เชื่อว่าก่อนเกมจะเริ่มขึ้น และหลังจบ45นาทีแรก แฟนบอลผีแดงส่วนใหญ่ น่าจะทำใจแล้วว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะรอดยากในศึกแดงเดือดหนนี้ มิหนำซ้ำอาจได้เห็นสกอร์ที่ขาดลอย บาดตาบาดใจเหมือนในอดีต 4-0 / 5-0 หรือ 7-0 อีกต่างหาก เพราะตอนโดนนำ 1-0 พวกเขาสู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
มิดฟิลด์อย่าง กาเซมิโร่ และ ค็อบบี้ ไมนู ตั้งเกม เซ็ตบอล หรือชะลอบอลที่มาจากตรงกลางของลิเวอร์พูล ไม่ได้เลย นั่นจึงทำให้เป็นสาเหตุที่ครึ่งแรกพวกเขาเป็นรอง อริตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง
แต่ทว่าจุดเปลี่ยนนอกจากความผิดพลาดของลิเวอร์พูล ก็ต้องชื่นชม บรูโน่ แฟร์นันเดซ ด้วยที่ ฉวยโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวได้เป็นอย่างดี กับลูกยิงไกล บริเวณหัวกะโหลกครึ่งสนาม ที่พอเหมาะเหลือเกินข้ามมือ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ไป
จากนั้นโมเมนตัมก็เหวี่ยงมาทาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เต็มๆ จากลูกหมุนตัวยิงโค้งๆแบบผีจับยัด 2-1ของ ค็อบบี้ ไมนู ที่ตอกย้ำว่าเจ้าตัวพร้อมเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอนาคตของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคู่ควรกับการติดทีมชาตอังกฤษ ไปลุยยูโร 2024 ขนาดไหน
ถึงกระนั้นก็ดี ตอนที่นำ2-1 เอริก เทน ฮาก ก็ทำเหมือนนัดที่โดนเซลซีไล่แซง 4-3 นั่นก็คือเลือกวิธีรับแบบรอโดน เปลี่ยนตัวอันตรายที่มีความเร็วและสวนกลับได้ดีอย่าง การ์นาโช่ ออก จนท้ายที่สุดด้วยวิธีการเล่นแบบนี้แหละทำให้พวกเขาโดนลงโทษ
1แต้มของ ยูไนเต็ด อาจไม่เพียงพอให้พวกเขาทำคะแนนไปกดอันทีมอันดับ4 (วิลล่า) และ 5 (สเปอร์ส) ได้ แต่ทว่านั่นก็เพียงพอให้ทีมของ ETH ทำภารกิจสำคัญขัดขวางอริตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ไม่ให้กลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ พร้อมเปิดสวิตช์ให้ อาร์เซน่อล นำเป็นจ่าฝูง และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็พร้อมเป็นตาอยู่ที่อันตรายสุดๆในช่วง 7นัดสุดท้าย
- คอลัมน์นิสต์
- พรีเมียร์ลีก คอลัมน์บอล วิเคราะห์บอล แดงเดือด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล ค็อบบี้ ไมนู
- 165
- 08 เม.ย. 2567 14:30