หรือแชมป์จะเป็นหน้าใหม่ ! ความเฮี้ยนพรีเมียร์ลีก 2020-2021
พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2020-2021 เป็นฤดูกาลที่มีความดราม่าตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทั้งจากคำตัดสินของ VAR รวมถึงความพลิกผันยากแก่การคาดเดาของฟอร์มการเล่นของทีมใหญ่และทีมเล็ก
หรือแชมป์จะเป็นหน้าใหม่ ! ความเฮี้ยนพรีเมียร์ลีก 2020-2021
พึ่งรูดม่านเปิดฤดูกาลมาได้1เดือนกว่า ดูท่าก็ชักจะเฮี้ยนและยากต่อการคาดเดาซะแล้วสำหรับศึกสมรภูมิพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2020-2021 แม้จะเป็นซีซั่นที่ไม่มีผู้ชมแฟนบอลอยู่ในสนาม เพราะฤทธิไวรัสมฤตยูล้างโลกอย่าง โควิด-19 ที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดการแพร่ระบาดง่ายๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้อัตราความเมามันในสนามลดน้อยลงแต่อย่างใด แถมยังเป็นฤดูกาลที่มีความดราม่าบ้าคลั่งตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทั้งจากคำตัดสินของ VAR รวมถึงความพลิกผันยากแก่การคาดเดาของฟอร์มการเล่นของทีมใหญ่และทีมเล็กดิ้นรนหนีการตกชั้น
ลิเวอร์พูล ชนะ ลีดส์ 4-3
แอสตัน วิลล่า ถลุง ลิเวอร์พูล 7-2
ลีดส์ ถล่ม วิลล่า 3-0
จะเห็นได้ว่าทุกทีมสามารถเอาชนะกันได้หมดเป็นงูกินหาง ผ่านมาเพียงแค่6นัดของฤดูกาลทั้ง20ทีม พบกับความปราชัยครบแล้วทั้งสิ้น ยังไม่รวมแมตช์ช็อกระดับ5ดาว เหมือนหนังบู๊แอคชั่นเดินหน้าฆ่าแหลก
อย่างนัดที่พลพรรคคลับไก่บุกมาไล่อัดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6-1 เซลซีที่ตามหลัง เวสต์บรอมวิช 0-3 แต่กลับฮึดไล่ตีเสมอเป็น3-3 สเปอร์สที่นำเวสต์แฮม 3-0 ตั้งแต่ 16นาทีแรกแล้ว ไปจนถึงน.81 แต่กลับมาโดนทีมขุนค้อนของ เดวิด มอยส์ ยิงรัวตีเสมอ 3-3 ดื้อๆซะอย่างงั้น ยังไม่รวมถึงเลสเตอร์ ซิตี้ ที่อาจหาญถึงขนาดบุกไปฆาตกรรมหมู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คาบ้าน 5-2
ถามว่าทำไมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ถึงมีความมันสูงทะลุปรอทแตกขนาดนั้นน่าจะมีหลักๆสองสาเหตุ อย่างแรกคือ VAR ตอนแรกก็เหมือนจะเข้าท่าสำหรับการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในพรีเมียร์ลีก เพื่อให้เกิดความเคลียร์ยุติธรรมมากขึ้น
แต่ไปๆมา คนดูบอลอย่างเราๆท่านๆ จะเห็นว่ามาตรฐานในการใช้วีเออาร์ไม่เสถียรเลย จังหวะที่ควรพิจารณาใช้กลับไม่ใช้ หรือจังหวะล้ำหน้าที่ล้ำเพียงมิลลิเมตรรูขุมขน ที่ดูการตีเส้นของพวกพี่ๆแกแล้วอึดอัดเป็นอย่างมาก รวมถึงการให้จุดโทษ จังหวะเหตุการณ์ที่บอลไปโดนแขนผู้เล่นฝ่ายรับที่ดูหยุมหยิมยิบย่อยไปหมดใบเหลือง ใบแดง นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกมพลิกได้ง่ายๆ
ประการที่สอง การเล่นสนามปิดไร้คนดูก็แทบจะเหมือนกับหวดกันที่สนามกลางไปเลย ไม่มีทีมไหนเสียเปรียบได้เปรียบกันมาก แม้เจ้าบ้านจะได้เปรียบเล็กน้อยจากความคุ้นชินสนาม แต่เมื่อเซิ้งแข้งกันในฟลอร์หญ้าเจ้าบ้านแทบไม่ได้แตกต่างกันมากนัก สังเกตได้จากสถิติตลอด6นัดที่ผ่านเจ้าบ้านคว้าชัยได้19นัด ทีมเยือนทำได้ดีกว่าที่26นัด รวมถึงความกดดันจากเสียงเชียร์แฟนบอลที่ไม่มีมากระตุ้นให้เกิดความเครียด เตะกันสบายๆยิงกันถล่มถลายไส้แตกเหมือนตอนซ้อม
ส่วนเรื่องของการลุ้นแชมป์มองไปดูตารางคะแนน
1. เอฟเวอร์ตัน 13 คะแนน
2. ลิเวอร์พูล 13 คะแนน
3. แอสตัน วิลล่า 12 คะแนน (แข่งน้อยกว่า1นัด)
4. เลสเตอร์ ซิตี้ 12 คะแนน
5. สเปอร์ส 11 คะแนน
ส่วนทีมที่อย่าง ลีดส์ เซาแธมป์ตัน คริสตัล พาเลซ วูลฟ์ มีอยู่10คะแนน จะเห็นได้ว่าอันดับต่างๆในตารางแต้มไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่ ปรกติพรีเมียร์ลีกเตะมาได้สัก5-10นัด บรรดาคอลูกหนังอย่างเราๆ พอจะเดาออกว่าทีมไหนเป็นตัวเต็งลุ้นแชมป์หรือเป็นม้ามืดตัวที่3
แตกต่างจากฤดูกาลปัจจุบันที่ดูยากมาก เพราะ ตัวเต็ง1ตอนต้นฤดูกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ทำท่าว่าหมดแรงจูงใจไปดื้อๆ ทีมไม่ได้แกร่งจากฤดูกาลที่แล้วสักเท่าไหร่ แนวรุกไม่คม ไปเสียตรงพื้นที่เข้าทำจังหวะสุดท้ายซะเยอะ เซร์คิโอ อเกว์โร่ กุน โรยรา มีปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อย กองหลังพร้อมจะเสียประทุกเมื่อ มีที่ไหนเสียจุดโทษให้ทีมสุนัขจิ้งจอกถึง3ดอกในเกมเดียว แถมยังน่าจะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับทีมเรือใบสีฟ้าอีกด้วย
ด้านทีมแชมป์เก่าอย่างลิเวอรพูล แม้ว่าภาพรวมฟอร์มการเล่นจะไม่ได้ตกลงไปอย่างน่าเกลียด แต่ก็ยังมีแมตช์พลิกล็อคถล่มโลกที่บุกไปโดน แอสตัน วิลล่า 7-2 ความเปราะบางในแผงรับที่ไม่แกร่งเป็นภูผาเหมือนซีซั่นที่แล้ว
รวมถึงการขาดปราการหลังตัวหลักอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ผ่าตัดปิดเทอมยาวไปก่อนเพื่อน ผ่านไปแล้ว6นัดเสียหงส์แดงโดนคู่แข่งกระซวกตาข่าย ไปถึง 14ลูก มากที่สุดในลีกร่วมกับสองทีมเต็งตกชั้นอย่าง เวสต์บรอมวิช และ ฟูแล่ม แต่อย่างไรก็ตาม หงส์แดงภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ น่าจะยังเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์ ไปจนถึงท้ายฤดูกาลได้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เซลซี ภายใต้การคุมบังเหียนของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด (ไม่อยากจะใช้คำนี้ดูถูก) ก็ดูจะยังฝีมือไม่ถึง ด้วยพรรษาในการเป็นโค้ชที่ยังไม่เคี้ยวลากดินพอรวมถึงฟอร์มการเล่นของ ปีศาจแดงและสิงห์บูลส์ที่ยังขึ้นๆลงๆเอาแน่เอานอนไม่ได้ บทจะดีก็ดีใจหายคราวจะแย่ก็แย่แบบน่าเกลียด
คล้ายๆกับ อาร์เซน่อล ของ มิเคล อาร์เตต้า แม้นับตั้งแต่กุนซือชาวสแปนิชเข้ามาเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นเอมิเรต สเตเดี้ยม ทีมจะมีทรงการเล่นที่ดูรัดกุมขึ้น คว้าแชมป์บอลถ้วย เอฟเอ คัพ แต่ในระบบบอลลีกหากคุณต้องการประสบความสำเร็จคุณต้องสม่ำเสมอมากกว่านี้ รวมถึงขุมกำลังผู้เล่นของอาร์เซน่อล ที่ประคุณภาพเชิงลึก( Deep Squad) ยังไม่แกร่งเพียงพอทดแทนตัวหลักได้
ฟากเอฟเวอร์ตันของ คาร์โล อันเชล็อตติ หรือที่คนไทยมอบฉายาให้ว่า “พี่แจ้” ก็เนรมิตยกระดับการเล่นให้กับทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินสูงขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว รวมถึง การได้นักเตะระดับท็อปที่เจ้าตัวมีคู่มือการใช้งานเป็นอย่างดีมาร่วมทีมอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ , อัลลัน ทำให้เอฟเวอร์ตันดูกลมกล่อมมากขึ้น แต่ในระยะยาวเราต้องดูว่าเหล่าทอฟฟี่แมนจะทนแรงเสียดทานได้หรือไม่ รวมถึงการแก้ปัญหาผู้รักษาประตูอย่าง จอร์แดน พิคฟอร์ด ที่พร้อมจะเหวอแดก ทำรถขนส้มหล่นหน้าประตูตัวเอง มอบของขวัญให้คู่แข่งอยู่อยู่บ่อยๆ
ลีดส์ ยูไนเต็ด ของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า และ แอสตัน วิลล่า ของ ดีน สมิธ พึ่งสตาร์ทฤดูกาล2ทีมนี้มีฟอร์มการเล่นที่ไฉไลพอสมควร แต่มันก็จะเร็วเกินไปหากจะบอกว่าทั้งเหล่าพลพรรค ยูงทองและสิงห์ผงาดจะลุ้นแชมป์ได้ยาวๆ ด้วยขนาดทีมที่เล็ก รวมถึงแรงเสียดทานกดดันตลอด38นัด อาจทำให้พวกเขาแผ่วหมดลุ้นแชมป์ไปเมื่อผ่านไปสักครึ่งฤดูกาล
2ทีมนี้ก็เหมือนเหมือนช้างที่พยายามปีนต้นไม้แล้วสุดท้ายตกลงมานั่นแหละ แม้ว่าเลสเตอร์จะสร้างเทพนิยายทำได้เมื่อปี2016 แต่ปรากฎการณ์ดังกล่าวเชื่อว่านานๆที100ปีจะมีให้เห็นครั้งหนึ่ง
สเปอร์ส ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ปีนี้ทีมไก่เดือยทองมีทีมที่ลงตัวมากๆแปลงร่างเป็นพญาโต้ง แนวรุกจัดจ้านหนักหน่วง แฮร์รี่ เคน ครบเครื่องมากขึ้น ทั้งยิงทั้งจ่าย (5ประตู 8 แอสซิสต์) ส่วน ซน ฮึง-มิน อาตีจากแดนเกาหลีก็ยิงกระจาย (8ประตู 2แอสซิสต์) เร็วแรงทะลุนรก เข้าใกล้แข้งระดับโลกเข้าไปทุกขณะ
การเข้ามาของ ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก ทำให้แผงมิดฟิลด์ของสปอร์สมีความสมดุลมากขึ้น ปรับแผนการเล่นได้หลายรูปแบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ยังไม่นับ แกเร็ธ เบล ที่เรายังไม่ค่อยได้เห็นฟอร์มการเล่นมากนัก รวมถึงแบ็คอัพในแนวรุกอย่างพวก ลูคัส มูร่า เอริค ราเมล่า สเตเฟ่น เบิร์กไวจ์น และ คาร์ลอส วินิซิอุส
แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลมาเสมอสำหรับสเปอร์ส นั่นคือเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มหรือแมตช์ที่ต้องชนะพวกเขาจะทำไม่ได้ตกม้าตายตลอด พูดง่ายๆคือพวกเขาไม่มีความเป็นแมตช์วินเนอร์ แต่สิ่งนี้ที่พวกเขาขาดหายไปน่าจะถูกทนแทน โดย โชเซ่ มูรินโญ่ แม้ว่าจะเสียหมาเสียรังวัดไปพอสมควรกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ถ้าสังเกตให้ดี กุนซือชาวโปรตุเกสได้แชมป์ลีกมากับทุกสโมสรที่ตนไปคุมทัพทั้งกับ เอฟซี ปอร์โต้ เซลซี (ทั้ง2รอบ) อินเตอร์ มิลาน รวมถึง เรอัล มาดริด ตรงDNAความเป็นแชมเปี้ยนส์ของมูรินโญ่นี่แหละน่าจะมาเติมเต็มให้สเปอร์สได้ รวมถึงการอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยแรงแค้นตัวเองตอกหน้านักวิจารณ์ว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ตกยุคไปแล้ว
จะว่าไปนับตั้งแต่ไอ้เจ้าเชื้อไวรัสบ้าๆอย่าง โควิด19ถล่มเมืองมนุษย์ หลายเหตุการณ์หลายอย่างในพรีเมียร์ลีกปีนี้ ดูท่าจะเฮี้ยนและยากต่อการคาดเดาไม่เลิก ไม่แน่นนะฤดูกาลนี้ที่ทีมใหญ่หลายทีมไม่พร้อมและดรอปลงไป เราอาจจะเห็นแชมป์หน้าใหม่ที่พร้อมหยิบปลาชิ้นมันนี้แบบไม่มีใครคาดถึง ก็เป็นได้... (เสียงแบบพี่ป๋อง ในรายการคนอวดผี)
เขียนโดย : จารย์หลุยส์
- คอลัมน์นิสต์
- คอลัมน์ฟุตบอล คอลัมน์
- 435
- 30 ต.ค. 2563 11:26