แหล่งผลิตยอดเแข้ง! รวมนักเตะดังที่เคยเป็นเด็กปั้นของเรือใบ
เห็นติดภาพลักษณ์เป็นทีมจอมซื้อ หรือสโมสรที่ใช้เงินหว่านแก้ปัญหา ในยุคของท่านมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลาง ชีค มานซูร์ แต่ทว่าเมื่อเรามามองอย่างละเอียดจะพบว่าในระยะ 10-15ปีหลังสุด แหล่งอคาเดมี่ของทัพเรือใบสีฟ้านั้นผลิดอกออกผลมากๆ เพราะมีแข้งชื่อดังมากมายที่มีจุดเริ่มต้นที่นี่
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทุ่มเงินกว่า 200ล้านปอนด์ สำหรับการพัฒนาระบบอคาเดมี่และ สิ่งแวดล้อมต่างๆข้างรั้วถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม เพื่ออัพเกรดให้ทีมเป็นแหล่งแจ้งเกิดของบรรดาแข้งวัยรุ่นที่มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ รวมถึงทำให้ทีมสีฟ้าเมืองแมนเชสเตอร์ กลายเป็นทีมเต็ง1สำหรับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในทุกๆฤดูกาล
แต่ทว่าก็เป็นเรื่องที่ตลกร้ายเหมือนกัน เด็กปั้นลูกหม้อจากคาถาของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมีน้อยคนมากๆ หรือแทบจะไม่มีเลยสำหรับการก้าวจากทีมชุด อคาเดมี่ มาเป็นแข้งตัวหลักของทีมชุดใหญ่ หลายคนล้วนทะลุขึ้นมาแต่ไม่สามารถรับแรงเสียดทานเป็นตัวหลักของทีมได้ จนสุดท้ายต้อง ระเห็น ระเหิน ไปแจ้งเกิดกับสโมสรอื่น
เคสที่เล่ามาอาจจะแตกต่างกับสถานการณ์ปัจุจบันของ ฟิล โฟเด้น เด็กปั้นลูกหม้อแท้ๆ ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แปลงสภาพตัวเองให้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชุดหลักของทีมในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้สำเร็จ แถมยังการันตีผลงานอันเป็นรูปธรรมจับต้องได้ด้วยการซิว นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปีของ PFA จากผลงาน 9ประตู 5แอสซิสต์ ในพรีเมียร์ลีก จากการลงสนามในฐานะตัวจริงเพียงแค่ 17นัด
เพื่อไม่ให้หลงลืม เราจะมาไปสำรวจแข้งชื่อดัง ที่แจ้งเกิดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ไหว แต่พวกเขาก็เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงในวงการลูกหนังปัจจุบัน รวมไปจนถึงกลายเป็นว่าที่นักเตะค่าคัวแพง ที่กำลังจะได้หวนกลับมาเล่นขย่ำเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้งหนึ่ง
ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ( ชุดใหญ่ 2006-2009)
สโมสรหลังออกจาก ซิตี้ : เซลซี - โบลตัน (ยืมตัว) - ลิเวอร์พูล -เวสต์บรอมวิช (ยืมตัว) - แทร็ปซอนสปอร์
ดาวยิงสายแด๊นซ์รายนี้คือหนึ่งในผลผลิตของค่ายเรือใบสีฟ้า โดย ซิตี้ ไปฉกเจ้าตัวมาจากทีมชุดอคาเดมี่ของ โคเวนทรี เมื่อปี 2003 ก่อนจะใช้เวลาในทีมชุดเล็กดังกล่าวถึง3ปี ถึงจะโผล่ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2006 ในขณะที่มีวัยเพียงแค่17ปี โดย3ฤดูกาลกับทีมชุดใหญ่ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ได้ลงสนามไปเพียงแค่32นัด และทำได้เพียงแค่6ประตู
ก่อนที่ในปี2009 เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพเซลซี ที่มี คาร์โล อันเชล็อตติ คุมบังเหียนอยู่ โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ สเตอร์ริดจ์ นั่นคือฤดูกาล 2011-2012 ในยุคของกุนซือ อังเดร วิลาส- โบอาส และ โรแบร์โต้ ดิมัตเตโอ เมื่อเจ้าตัวได้เล่นไปถึง43นัด และซัดไปได้13ประตู แชมป์พรีเมียร์ลีก 1สมัย - ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1สมัย รวมไปจนถึง เอฟเอ คัพ 2สมัย นี่คือความสำเร็จของ สเตอร์ริดจ์ กับทีมสิงห์บูลส์
ในเดือนมกราคมของปี 2013 ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ จะตัดสินใจย้ายไปลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวที่ราวๆ12ล้านปอนด์ การย้ายมาสวมเครื่องแบบสีแดง นี่คืออีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แฟนบอลหลายๆคนได้รู้จัก ดาวยิงมากลีลารายนี้ ฤดูกาล 2013-2014 การได้จับคู่กับ หลุยส์ ซัวเรส ว่ากันว่านั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้
2013-2014 นั่นคือช่วงที่ ดาวยิงชาวอังกฤษรายนี้ ฮ็อตฟอร์มขึ้นหม้อมากที่สุด พิสูจน์ได้จากผลงาน 21ประตู จาก29นัดในพรีเมียร์ลีก พร้อมฉายาคู่หู SAS กับ หลุยส์ ซัวเรซ แถมสเตอร์ริดจ์ เองก็ยอดเยี่ยมถึงขนาดติดเป็น 11ผู้เล่นทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลดังกล่าวด้วย
แต่ทว่าการย้ายเข้ามาเป็นนายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์ ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ทำให้สไตล์การเล่นของ ดาวยิงจอมเซิ้ง รายนี้ไม่ค่อยเข้ากับแท็กติกเท่าไหร่ ประกอบกับด้วยสเตอร์ริดจ์เอง ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ทำให้ถูกปล่อยให้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ยืมตัว 2017-2018 และขายขาดให้ แทร็ปซอนสปอร์ ทีมในลีกตุรกีเมื่อปี2019 ในที่สุด
แคสเปอร์ ชไมเคิล ( ชุดใหญ่ 2005-2009)
สโมสรหลังออกจาก ซิตี้ : น็อตส์ เค้าตี้ - ลีดส์ ยูไนเต็ด - เลสเตอร์ ซิตี้
ช่วงที่ทะลุขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2005 แต่ทว่าอนาคตของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ไม่ได้ราบรื่นแต่อย่างใด ตลอดระยะเวลา4ปี ในการเดบิวต์ขี้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ นายด่านแดนโคนมรายนี้ได้ลงสนามเฝ้าเสาให้ทีมในพรีเมียร์ลีกไปเพียงแค่8นัดเท่านั้น
แคสเปอร์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการ ถูกปล่อยให้ทีมเล็กๆในดิวิชั่นต่ำๆยืมตัวทั้ง ดาร์ลิงตัน - บิวรี่ -ฟัลเคิร์ก -คาร์ดิฟฟ์ - และ โคเวนทรี เพราะช่วงเวลาที่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล อยู่กับทีม ตอนนั้นทัพเรือใบสีฟ้ามีนายด่านฝีมือดีหลายคนช่วงปี 2005-2009 อย่าง เดวิด เจมส์ - โจ ฮาร์ท หรือรวมไปถึง เชย์ กิฟเว่น
นั่นทำให้ที่สุดแล้วนายด่านลูกชายของปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม น็อตส์ เค้าตี้ ทีมในลีกทู ( ณ ตอนนั้น) ก่อนย้ายไปลีดส์ และสุดท้ายจะมาเจอทีมที่ใช่และลงเอยกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในที่สุด
กับทีมสุนัขจิ้งจอก แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ครองมือ1ของทีมมาเป็นฤดูกาลที่10ติดต่อกัน จะว่าก็ได้ว่าทีมสโมสรของคนไทยแห่งนี้คือที่ที่เหมาะสมลงตัวกับแคสเปอร์สุดๆแล้วก็ว่าได้ พิสูจน์จากผลงานการเฝ้าเสาไปถึง 426นัด รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งประวัติศาสตร์1สมัย ( 2015-2016 ) พร้อมกับ เอฟเอคัพ 1สมัย 2020
ลอริส คาริอุส ( เยาวชน 2009-2011 )
สโมสรหลังออกจาก ซิตี้ : ไมนซ์ -ลิเวอร์พูล - เบซิคตัส ( ยืมตัว) - ยูเนี่ยน เบอร์ลิน ( ยืมตัว)
หลายๆคนน่าจะคิดไม่ถึงว่า นายด่านผู้สร้างวีรกรรมงานหน้าในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2018 รายนี้ เคยเป็นเด็กในคาถาของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาก่อน โดยทีมดังเมือง แมนเชสเตอร์ ไปฉกเอานายด่านชาวเยอรมันรายนี้มาจากทีมอคาเดมี่ของ สตุ๊กการ์ต เมื่อปี 2009
คาริอุส ใช้เวลาในช่วงแรกในการรับหน้าที่เฝ้าเสาให้กับ ซิตี้ ในทีมชุด ยู18 และ ยู21 แต่ทว่าจนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาให้กับทีมชุดใหญ่ที่มีนายทวารฝีมือดีในตอนนั้นอย่าง เชย์ กิฟเว่น และ โจ ฮาร์ท ขวางทางอยู่ จึงทำให้ในท้ายที่สุด โกลเมืองเบียร์รายนี้ ย้ายไปตามเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ไมนซ์ 05
ช่วงเวลาที่เฝ้าเสาให้กับ ไมนซ์05 ชุดใหญ่ ว่ากันว่า ลอริส คาริอุส คือหนึ่งในผู้รักษาประตูคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงมากๆที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนังเมืองเบียร์ จากการได้เป็นตัวหลักของทีมและลงเฝ้าเสาไปกว่า 91นัดในเวทีบุนเดสลีก้า ในขณะที่มีอายุเพียงแค่ 22ปีเท่านั้น
จนก้าวย่างสำคัญของเจ้าตัวก็มาถึง เมื่อได้ย้ายมาร่วมถิ่นแอนฟิลด์ ตามเจ้านายคนเก่าอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ อีกรอบ โดย คาริอุส ถูกซื้อเข้ามาที่ค่าตัว 4.75ล้านปอนด์ เพื่อมาแย่งตำแหน่งมือ1กับ ซิมิง มิโญเล่ต์ เมื่อปี 2016 แต่ทว่าอย่างไรก็ดี โกลแดนไส้กรอกรายนี้ ก็โชว์ฟอร์มผีเข้าผีออกมาตลอด จนมาผีออกอย่างงามไส้สุดๆในเกม ในเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 1-3
บวกกับการย้ายเข้ามาของ อิลิสซง เบคเกอร์ ทำให้เจ้าตัวต้อง ร่อนเร่ พเนจร ไปเล่นกับ เบซิคตัส ในฐานะนักเตะยืมตัวถึง2ฤดูกาล ส่วนซีซั่นที่ผ่านมา 2020-2021 คาริอุส ก็ถูกปล่อยให้ทีมในลีกบ้านเกิดอย่าง ยูเนี่ยน เบอร์ลิน ยืมตัวใช้งาน แต่ทว่าโกลวัย27ปีรายนี้ กลับได้รับโอกาสลงฝ้าเสาเพียงแค่ 5นัดเท่านั้น
คีแรน ทริปเปียร์ (ชุดใหญ่ 2009-2012 )
สโมสรหลังออกจาก ซิตี้ : บาร์นลี่ยส์ (ยืมตัว) - เบิร์นลี่ย์ - สเปอร์ส - แอตเลติโก มาดริด
นี่เป็นอีกหนึ่งแข้งนักเตะที่ใครๆ น่าจะคาดไม่ถึงว่า เคยเป็นเด็กปั้นในคาถาของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาก่อน คีแรน ทริปเปียร์ อยู่ในทีมชุดอคาเดมี่ของ ซิตี้ มาตั้งแต่ปี 1999 ในขณะที่เจ้าตัวมีอายุเพียงแค่9ขวบเท่านั้น และเซ็นสัญญาอาชีพนักเตะครั้งแรกกับทีมเมื่อปี 2007
ทริปเปียร์ คว้าแชมป์ FA ยูธ คัพ กับทีมเรือใบสีฟ้าในฤดูกาลดังกล่าว ( 2007) แต่ทว่ากลับได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เพียงแค่นัดเดียวในเกม ปรี-ซีซั่น ที่อุ่นเครื่องกับ บาร์เซโลน่า เท่านั้น ช่วง2ฤดูกาลที่ทะลุขี้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของทัพเรือใบสีฟ้า เจ้าตัวถูกส่งให้ บาร์นลี่ยส์ และ เบิร์นลี่ย์ ยืมตัวใช้งาน
ก่อนที่สุดท้ายจะได้ย้ายขาดมาเบิร์นลี่ย์เมื่อปี 2012 ซีซั่นแรกที่ทัพ " เดอะ คราเร็ตส์ " ได้กลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก คีแรน ทริปเปียร์ คือเจ้าของสัมปทาน ตำแหน่งแบ็กขวาตัวจริงของทีมแต่เพียงผู้เดียว เมื่อลงเล่นครบทั้ง38นัดในพรีเมียร์ลีก ก่อนที่จะได้ย้ายไปสเปอร์ส เพื่อแย่งตำแหน่งกับ ไคล์ วอล์คเกอร์
แบ็กขวาเลือดผู้ดีรายนี้ได้เป็นตัวหลักของทีมไก่เดือยทองอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2027 ทริปเปียร์ โดดเด่นมากๆ จนมีชื่อติดเป็น23ขุนพลทีมชาติอังกฤษ ชุดบอลโลก 2018 ทำได้1ประตูในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว รวมไปจนถึงกลายเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์โอกาสการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมมากที่สุด ในฟุตบอลโลกหนนั้นอีกด้วย
เมื่อซัมเมอร์ปี 2019 คีแรน ทริปเปียร์ ตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของบินไปสเปน เพื่อค้าแข้งกับ แอตเลติโก มาดริด และฤดูกาลที่พึ่งผ่านมา 2020-2021 แบ็กวัย30ปี รายนี้ก็คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ เมื่อทีมตราหมีหักปากกาเซียน โค่นเอาชนะ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลาลีก้าได้สำเร็จ
เจดอน ซานโช่ ( ชุดเยาวชน 2015-2017 )
สโมสรหลังออกจาก ซิตี้ : โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ว่ากันว่านี่คือการปล่อยตัวนักเตะเด็กในคาถาออกจากทีมที่ผิดพลาดมากที่สุดครั้งหนึ่ง ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สำหรับในเคสของ เจดอน ซานโซ่ ที่อาจกำลังได้ย้ายกลับมาทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในซัมเมอร์นี้ ด้วยค่าตัวที่แตะหลัก 80ล้านปอนด์
ซานโช่ เริ่มมีชื่อเสียงจากทีมชาติอังกฤษชุดยู 17 ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เมื่อปี 2017ได้ นั่นทำให้ปีดังกล่าว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่รีรอช้า คว้าเจ้าตัวมาจากอคาเดมี่ของวัตฟอร์ด เพื่อมาปั้นต่อกับทีมชุดเยาวชนของตัวเอง
แต่ทว่าด้วยความที่โดนทีมเรือใบสีฟ้า หมางเมินใช้งานในช่วงปรีซีซั่นฤดูกาล 2017-2018 ทำให้เจ้าตัวเกิดอารมณ์ไม่อยากซ้อมกับทีมช่วงหนึ่ง จนในที่สุด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมที่จะขายเจ้าตัวออกจากถิ่น เอติฮัด สตเดี้ยม ให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ราคาราวๆ8ล้านปอนด์ โดยหารู้ไหมว่าในอนาคต ซานโช่ จะกลายเป็นนักเตะที่เนื้อหอมมากที่สุดคนหนึ่งในอีก 3-4ปีข้างหน้า
ช่วงเวลากับทีมเสือเหลือง ซานโช่ งัดฟอร์มที่ดีที่สุดของเจ้าตัวออกมาได้ 4ฤดูกาล กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซานโช่ ได้ระเบิดฟอร์มตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งในแข้งดาวรุ่งที่น่าจับตามองดูที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลยุโรป ด้วยอายุเพียงแค่21ปี ดาวเตะทีมชาติอังกฤษรายนี้ กำลังจะมีค่าตัวในการย้ายทีมที่มหาศาลแตะหลัก 80ล้านปอนด์เลยทีเดียว
38ประตู 45 แอสซิสต์ ตลอดช่วงเวลา4ฤดูกาลยัง เวที บุนเดสลีก้า นั้นก็บ่งบอกแล้วว่า เจดอน ซานโซ่ นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน ไม่แน่ฤดูกาลหน้า 2021-2022 ปีกวัย21ปีรายนี้ อาจรอคอยการดวลกับอดีตสังกัดเก่าทีม เรือใบสีฟ้า ก็เป็นได้
- คอลัมน์นิสต์
- 796
- 06 มิ.ย. 2564 13:41