ถ้วยโปรด อูไน ! บียาร์เรอัล ซิวยูโรป้า ซัดโทษ มาราธอน 11-10 โอเล่ จบ มือเปล่า
เรียกว่าผิดคาดหักปากกาเซียนเล็กๆพอสมควรสำหรับการคว้าแชมป์ ยูโรป้าลีก หนนี้ของ บียาร์เรอัล เพราะก่อนเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยศักยภาพตัวผู้เล่น ชื่อชั้นอะไรต่างๆ น่าจะเป็นทางฝั่งของลูกทีม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คว้าแชมป์ถ้วยใบเล็กของยุโรปได้
แต่ทว่าอย่างไรก็ดี เราต้องไม่ลืมว่า กุนซือของทัพเรือดำน้ำอย่าง อูไน เอเมรี่ คือเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วย ยูโรป้า ลีกอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าตัวเคยกวาดโทรฟรี่ดังกล่าวมาแล้วถึง3สมัยด้วยกัน ในช่วงที่เจ้าตัวยังเป็นผู้จัดการทีม เซบีญ่า 2013-2014 / 2014 -2015 / 2015-2016
เกมในเวลาปรกติผลจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 โดยเป็นทางฝั่ง ทีมเรือดำน้ำสีเหลืองที่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 น.29 จากลูกยิงของ เคราร์ด โมเรโน่ ส่วนทัพปีศาจแดงก็มาไล่ตีเสมอเป็น 1-1 ได้จาก เอดิสัน คาวานี่ น.55 ส่วนช่วงการต่อเวลาพิเศษ 120นาที ก็ไม่มีฝั่งไหนสามารถทำประตูได้
ก่อนที่สุดท้ายแชมป์ฟุตบอลถ้วยเล็กดังกล่าว จะต้องมาตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งการส่องเป้า12หลา ผู้เล่นของทั้งสองทีมทำได้ดีเป็นอย่างมาก ยิงเข้ากันครบถ้วนฝั่งละ 10คน ทางปีศาจแดงที่แฟนบอลเสียวๆกับกลุ่มนักเตะอย่าง เฟร็ด - ดาเนี่ยล เจมส์ - วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ แต่ทว่าแข้งเหล่านี้ก็ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้อย่างเฉียบคมทุกราย
จนสุดท้ายรอบการยิงจะเวียนมาถึงผู้รักษาประตูทั้งสองฝั่ง เจโรมิโน่ รุลลี ของ ทีมเรือดำหน้าสีเหลืองซัดเข้าไปอย่างเด็ดขาดไม่เหลือซาก ส่วน ดาบิด เด เคอา เดินเข้ามายิงด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลพอสมควร ก่อนที่นายด่ายชาวสแปนิช รายนี้ จะยิงไม่ดีไม่มุมมากพอ จนโดย รุลลี เซฟได้ในที่สุด
ความพ่ายแพ้หนนี้ ก็ทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังไม่สามารถควานหาแชมป์แรกในฐานะผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สักที นับตั้งแต่เข้ามาเป็นนายใหญ่แห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตลอดระยะเวลา2ปีครึ่งที่ผ่านมา ซึ่งผลงานในฤดูกาลหน้าจะเป็นตัวบ่งบอกอนาคตของ กุนซือชาวนอร์เวย์ เลยทีเดียว
ส่วนผู้ชนะคว้าแชมป์อย่าง บียาร์เรอัล ต้องยอมรับและชื่นชมในแท็กติกแผนการเล่นของตัวกุนซืออย่าง อูไน เอเมรี่ ที่วางแผนเล่นเกมรับอย่างอดทน หรือในช่วงเวลาที่ต้องเล่นเกมเพรสซิ่งลูกทีมของเขาก็ทำได้ดีอย่างไม่ขัดเขิน รวมไปถึงช่วงดวลจุดโทษ ขุนพล " เยลโล่ ซับมารีน " ก็แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง เมื่อ11คน ที่อยู่ในสนาม ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้ทุกราย
อูไน เอเมรี่ ถ้วยนี้ของข้า
นึกว่าจะหาทางกลับฝั่งไม่เจอเสียแล้วสำหรับ อูไน เอเมรี่ นับตั้งแต่ถูกอาร์เซน่อล ตะเพิดออกจากตำแห่งเมื่อปี 2019 ก่อนที่ในฤดูกาลนี้กุนซือชาวสเปนจะถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม บียาร์เรอัล ผลงานในลีกของทีม เรือดำน้ำสีเหลือง ถือว่าไม่แย่เลยเมื่อจบสูงถึงอันดับ7ของตาราง
แต่ทว่าปีแรกกับการคุมทัพ บียาร์เรอัล กุนซือผู้หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับ โลกิ ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองพร้อมมีแชมป์ติดไม้ติดมือ เป็นถ้วยที่เจ้าตัวคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง ยูโรป้า ลีก แม้ตัวผู้เล่นรวมไปจนถึงศักยภาพโดยรวมของตัวนักเตะจะด้อยกว่าทีมดังเมืองแมนเชสเตอร์ แต่โค้ชวัย49ปีรายนี้ ก็สามารถที่จะหาวิธีที่จะพาทีมไปถึงฝั่งฝันได้
การคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยเล็กดังกล่าว นอกจากจะทำให้ บียาร์เรอัล ไม่จบฤดูกาลด้วยมือเปล่าแล้ว ถ้วยยูโรป้าลีก ก็ยังเปรียบเสมือนตั๋วบันไดทางลัดที่พาให้พวกเขา คว้าสิทธิไปเล่นถ้วยใหญ่รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ถ้วยที่ เอเมรี่ เสกให้ทีม ยังเป็นแชมป์รายการแรกของ บียาร์เรอัล นับตั้งแต่ฟุตบอลถ้วยรายการ อินเตอร์ โตโต้ คัพ (ยุบไปแล้ว) เมื่อปี 2004 การคว้าแชมป์ดังกล่าว น่าจะเหมือนเป็นการตบหน้าอดีตทีมเก่าอย่าง อาร์เซน่อล อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศ ก็เป็นทัพปืนใหญ่นี่แหละที่เป็นทางผ่านของกุนซือแดนกะทิงดุรายนี้
ยูโรป้า ลีก จึงกลายเป็นถ้วยที่คุ้ยเคยของ อูไน เอเมรี่ เสียแล้ว เพราะนี่เป็นหนที่4ที่ เจ้าตัวผงาดคว้าแชป์ดังกล่าวไป เพราะสมัยที่คุมทัพเซบีญ่า ก็เคยพาทีมไร้เทียมทานขนาดคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการดังกล่าวได้ถึง 3สมัยติดต่อกันเลยทีเดียว 2014 / 2015 / 2016
ชื่อเสียงและผลงานที่กู้กลับมาได้ น่าจะทำให้ในเร็ววันนี้ เราอาจได้เห็น อูไน เอเมรี่ ได้กลับมาคุมทีมระดับท็อปแนวหน้าของยุโรปได้อีกครั้งหนึ่ง
แรชฟอร์ด อาการหนักเข้าทุกวัน
เรียกได้ว่านับตั้งแต่คู่หูในสนามของเจ้าตัวอย่าง อองโตนี่ มาร์กซิยาล ได้รับบาดเจ็บล้มหมอนนอนเสื่อพักทั้งซีซั่น นักเตะที่มักจะเป็นที่รองรับเสียงกร่นด่าจากแฟนบอลแทนที่หอกชาวฝรั่งเศส นั่นก็คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด คนนี้นี่เอง
" แรชชี่ " พกพาฟอร์มการเล่นที่น่าหงุดหงิดง่ามมือง่ามเท้ามากๆ ในเกมนัดชิงชนะเลิศเมื่อคืน จังหวะนรกและดันทุรังเล่นช็อตที่ยากๆ ที่คือสิ่งที่ดาวเตะหมายเลข10รายนี้แสดงมาให้เห็นตลอด 120นาที เมื่อคืน
แรชฟอร์ด แม้ว่าจะมีโอกาสยิงประตูถึง4ครั้ง รวมไปจนถึงสร้างสรรค์โอกาสทำประตูให้กับทีมได้ถึง3หน แต่ทว่าโอกาสช็อตยิงต่างๆ ก็ไม่ได้มีความใกล้เคียงหรือยิงเสียวให้ผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามได้ออกแรงเซฟปัดป้องเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการเลือกยิงจากช็อตที่ดันทุรังยิงออกไปเองแบบไม่ได้ลุ้นมากกว่า
นี่ยังไม่รวมจังหวะที่ บรูโน่ แฟร์นันเดซ จ่ายตัดบอลเข้ากลางให้เจ้าตัวได้ยิงโล่งๆ แต่ทว่าไม่รู้ แรชฟอร์ด ไปวางเท้ายิงอีท่าไหน บอลหลุดออกไปดื้อๆแบบไม่ได้ลุ้น ดีที่ภายหลังจังหวะดังกล่าวถูกเป่ายกธงเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน มิฉะนั้น โดนแฟนบอลด่าแบบไม่ได้ผุดได้เกิดแน่นอน
เมื่อคืนดาวเตะชาวอังกฤษรายนี้ ทำบอลเสียเองมากถึง20หน ยังไม่ร่วมถึงพวกจังหวะการเล่นยึกๆยักๆหรือทำสปีด Tempo การเล่นของทีมเสียจังหวะ นี่คือสิ่งที่แรชฟอร์ด ต้องพัฒนาและปรับปรุงต่อไป หากอยากก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชั้นนำในอนาคต ซึ่งมองดูภาพจากตอนนี้ ยังไม่เห็นแววใกล้เคียงที่จะไปถึงจุดนั้นเลย
แม็คโทมิเน่ย์ เรื่องดีเรื่องเดียวของผี
หากจะหานักเตะสักคนหนึ่งของทัพปีศาจแดงที่ฟอร์มเข้าตามากๆแม้ทีมจะปราชัย นอกจาก เอดิสัน คาวานี่ แล้ว สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ ก็เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ผลงานโดดเด่นมากๆ สำหรับเกมกับบียาร์เรอัล เมื่อคืนนี้
เจ้าหนูแม็คทอม แม้จะออกสตาร์ทได้ตะกุกตะกักหน่อยในช่วงแรก แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้สัก15-20 นาที ห้องเครื่องชาวสก็อตแลนด์เฉิดฉายโดดเด่นมากๆ ในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับ และรวมไปจนถึงสวมบทบาท Box to Box ในยามที่ทีมต้องการเล่นเกมรุกเต็มตัว
การวิ่งโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การหาตำแหน่ง ความแข็งแกร่ง การเอาตัวรอดในพื้นที่แคบๆ จังหวะควบตะบึงไปข้างหน้าอย่างเมามันและทรงพลัง รวมไปจนถึงการช่วยกรีนบอลจังหวะสำคัญฯๆ ก่อนถึงแนวรับ แม็คโทมิเนย์ มอบสิ่งนี้อย่างเต็มความสามารถให้กับทีมสำหรับเกมเมื่อคืน
จังหวะตีเสมอของ เอดิสัน คาวานี่ ก็นับว่าเป็นแอสซิสต์ของเจ้าหนูแม็คทอมเลยก็ว่า ได้เมื่อแนวรับ บียาร์เรอัล สกัดบอลลูกยิงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด กระเด้งไปโดน แม็คโทมิเน่ย์ ก่อนที่จะมาเข้าหางหอกชาวอุรุกวัย เก็บตกซัดหน้ากรอบเขตโทษเข้าไป
สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ Vs บียาร์เรอัล
91 สัมผัสบอล
15 แย่งบอลกลับคืนมาได้
14 ชนะการดวล
6 เลี้ยงบอลผ่าน
4 แท็กเกิ้ล
2 เคลียร์บอล
2 เรียกฟาวล์
1 แอสซิสต์
โมเรโน่ จ่อดาวยิงสูงสุดตลอดกาล บียาร์เรอัล
นอกจาก เปา ตอร์เรส แล้ว เคราร์ด โมเรโน่ คือนักเตะอีกรายที่น่าจับตามองมากๆของ บียาร์เรอัล เพราะถูกหลุยส์ เอ็นริเก้ เรียกติดเป็น 26ขุนพลทัพกระทิงดุที่จะลุยศึกยูโร 2020 ในเดือนมิถุนายน ทีจะถึงนี้ ก่อนเกมนัดชิงดำ ฟอร์มของเจ้าตัวร้อนแรงเป็นไฟพะเนียง เมื่อซัดไปได้ถึง29ประตู รวมทุกรายการ จากการลงสนาม46นัด
โมเรโร่ อาศัยช่องโหว่จากความหละหลวมในการเล่นลูกตั้งเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สอดยิงประตูให้ทีมเรือดำน้ำสีเหลิองขึ้นนำไปก่อน น.29 นอกจากจะทำประตูได้แล้ว จังหวะที่ทีม " เยลโล่ ซัพมารีน " จะโยนบอมบ์เล่นลูกกลางอากาศ หอกวัย29ปีรายนี้ ก็สร้างความปั่นปั่วนหนักอกหนักใจให้ผู้เล่นปีศาจแดงหลายหน
เคราร์ด โมเรโน่ คือหนึ่งในมือสังหารจุดโทษของทีม แถมยังส่งให้ ดาบิด เดเคอา พุ่งไปผิดทางอีกด้วย การถูกเรียกตัวติดทีมชาติสเปนน่าจะทำให้เจ้าตัวได้รับ สปอต ไลท์ มากๆในศึกยูโร 2020 ที่จะถึงนี้ 5ประตูจาก 10เกมในนามทีมชาติถือว่าไม่ได้เป็นอะไรที่แย่เลย
เชื่อว่าหากเจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นในยูโร 2020 โอกาสในการย้ายไปยังสโมสรที่ใหญ่กว่าน่าจะเปิดกว้างอีกครั้ง แม้ว่าเจ้าตัวจะทะลุขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ของ บียาร์เรอัล มาตั้งแต่ปี2012ก็ตาม
ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของ บียาร์เรอัล
เคราร์ด โมเรโร่ 82 ประตู
จูเซ็ปเป้ รอสซี่ 82 ประตู
ดิเอโก้ ฟอร์ลัน 58 ประตู
ซานติ กาซอร์ล่า 57 ประตู
ชี้ชะตา น้าโอเล่ ซีซั่นหน้า
เรียกได้ว่าแพ้แบบไม่มีข้อแก้ตัวจริงสำหรับกุนซือหน้าเปื้อนยิ้มอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทั้งที่สภาพทีม คุณภาพนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เป็นรอง บียาร์เรอัล เลย แต่ทว่าการเลือกตัดสินใจอะไรบางอย่างของกุนซือชาวนอร์เวย์เมื่อคืน ก็น่าอึดอัดใจไมน้อยเช่นกัน
น้าโอเล่ จัด11ตัวผู้เล่นแบบเอาใจแฟนผีเต็มอัตราศึกสุดๆ จะขาดก็เพียง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่หายบาดเจ็บไม่ทันเท่านั้น บรรดาผู้เล่นในเกมรุกอย่าง ปอล ป็อกบา - บรูโน่ แฟร์นันเดซ - มาร์คัส แรชฟอร์ด - เมสัน กรีนวู๊ด และ เอดิสัน คาวานี่ ได้ออกสตาร์ทเป็น11ผู้เล่นตัวจริงกันอย่างถ้วนหน้า
ด้วยรูปเกมที่ปีศาจแดงค่อยๆแผ่วลงไปในช่วงท้ายเกมรวมไปจนถึงอาการล้าของผู้เล่นในสนาม อูไน เอเมรี่ เปลี่ยนตัวผู้เล่นไปแล้วถึง5คน แต่ทางฝั่งของโซลชา กลับยังไม่ได้ถอดผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนแท็กติกแก้เกมเลย
ผู้เล่นคนแรก ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกเวลาก็ปาเข้าไป น.105 เข้าไปแล้ว เมื่อเฟร็ด ลงมาแทนที่ เมสัน กรีนวู๊ด ส่วนผู้เล่นอีก4รายที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาก็เป็นในช่วงเหลือเวลาอีกเพียงแค่4นาที ก่อนดวลจุดโทษเข้าให้แล้ว
ด้วยศักยภาพที่ดีกว่า น้าโอเล่ ควรที่จะเปลี่ยนตัวผู้เล่นแก้เกมตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อปิดเกมให้ได้ โดยเฉพาะในรายของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ไม่รู้ว่าห้อยพระองค์ไหนถึงยังแคล้วคลาด ไม่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม
เพราะหากลากยาวยืดเยื้อไปจนถึงการดวลเป้าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
ไม่รู้ โซลชา มั่นใจอะไรกับการดวลเป้านัก ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าผู้รักษาประตูของทีมอย่าง ดาบิด เด เคอา อ่อนชั้นมากแค่ไหนสำหรับการเซฟลูกยิง12หลา สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนบ่งบอกว่า กุนซือตำนานปีศาจแดงรายนี้ มีปัญหาเรื่องความกลัว MindSet การคิดแบบผู้ชนะ และความกล้าได้กล้าเสียมากแค่ไหน
โอเค แม้ว่าการคุมทีมเต็มฤดูกาล2ซีซั่นที่ผ่านมา เจ้าตัวจะพาทีมจบอันดับ 3และ2 แต่ทว่าในแง่ของถ้วยรางวัลแล้ว ตลอดระยะเวลา2ปีครึ่ง โซลชา ยังมือเปล่ากับปีศาจแดงอยู่ ฤดูกาลหน้า 2021-2022 หากทีมยังไร้โทรฟี่แชมป์ รวมไปจนถึงไม่ได้ลุ้นคว้าแชมป์ลีกแบบจริงๆจังๆ นั่นอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของ ทางแยกระหว่าง เจ้าตัวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นได้...
- คอลัมน์นิสต์
- 345
- 27 พ.ค. 2564 13:48