บ๊ายบาย ทีมอังกฤษ ! ชุดขาว เขี้ยวลากดิน ดวลเป้า คว่ำ เรือใบ 4-3 อันเช่ แผนรับเด็ด
ยังคงตอกย้ำความเป็นเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปจริงๆ สำหรับ เรอัล มาดริด ที่แม้จะต้องมาเจอกับทีมเต็ง1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังหาวิธีผ่านด่านเรือใบสีฟ้าไปได้ โดย กุนซือ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้ออกมาชื่นชมแนวรับของทีมว่าช่วยกันทำงานได้อย่างเหนียวแน่น จนยันเจ๊า1-1 ไปจนถึงช่วงต่อเวลา 120นาที และผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปได้ด้วยการดวลเป้า
เกมรอบรองชนะเลิศนัดที่2 ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ระหว่าง เจ้าบ้าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ผู้มาเยือน เรอัล มาดริด โดยเกมแรกที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เสมอกันมาแบบสุดมัน 3-3 โดยเกมนี้ มาดริด ก็มาเน้นในรูปแบบรับแล้วโต้กลับ
เริ่มเกมมาเป็นเซอร์ไพรส์เมื่อ ราชันชุดขาวขึ้นนำไปก่อน1-0 จาก โรดรีโก้ น.12 หลังจากนั้นเกมส่วนใหญ่ก็เป็นของ ซิตี้ เลย แต่ทว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กว่าจะตีเสมอได้ ก็ต้องรอไปจนถึง น.76 จาก เควิน เดอ บรอยน์ เสมอกัน 1-1 ทั้งในเวลา90นาที และ 120นาที รวมผล2นัด สกอร์อยู่ที่ 4-4
ซึ่งต้องบอกว่าในช่วงเวลาปรกติและต่อเวลาพิเศษ เป็นทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ขึงเกมบุกเข้าใส่ ครองเกม ครองบอลเหนือกว่า อาคันตุกะจากสเปน 64 ต่อ36 แถมยังสร้างโอกาสยิงมากกว่า 34ต่อ 8ครั้ง
นั่นทำให้คู่นี้ต้องไปตัดสินกันด้วยการดวลเป้า และท้ายที่สุดแล้วเป็นทีมเมืองหลวงลีกสเปน ที่เก๋าแม่นยำกว่าเอาชนะไปได้ 4-3 ซึ่งทางฝั่งราชันชุดขาว ยิงพลาดไปเพียงคนเดียว นั่นก็คือคนแรก ลูก้า โมดริช ส่วน ซิตี้ ที่พลาดมี2คน นั่นก็คือ แบร์นาโด้ ซิลวา และ มัตเตโอ โควาซิซ
การตกรอบหนนี้ของทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำให้พวกเขาหมดสิทธิป้องกันแชมป์ถ้วยรายการนี้ เหมือนกับที่ เรอัล มาดริด เคยทำได้ รวมถึงดับความฝันคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ ปีที่2ติดต่อกันของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกด้วย
สำหรับ เรอัล มาดริด นอกจากแท็กติกของ " อันเช่ " ที่ต้องได้รับคำชมแล้ว แผงแบ็กโฟร์ของพวกเขาอย่าง อันโตนิโอ รูดิเกอร์ - นาโช่ เฟอร์นันเดซ - ดานี่ กาบาร์ฆาล - แฟร์กล็องด์ เมนดี้ รวมไปจนถึงนายด่านอย่าง อันเดร ลูนิน ก็คู่ควรกับเสียงปรบมือให้ดังๆเช่นกัน กับความเหนียวแน่น วินัยเกมรับสมาธิ ที่ต้องมีตลอดทั้งเกม
" ทัพ โลส บลังโกส " ก็ยังคงเขี้ยวลากดินมากๆในเวทียุโรป สมกับเป็นเจ้าของแชมป์สูงสุด 14สมัย รอบต่อไป พวกเขาจะต้องไปฟัดกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่แกร่งสุดๆเหมือนกันในรายการนี้ หลังผ่านอาร์เซน่อล ในรอบ8ทีมมา
ลูนิน โอกาสที่ไม่ปล่อยให้หลุดลอย เซฟ2โทษ
การที่ ธิโบต์ กรูกตัวส์ ต้องปิดเทอมยาวทั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ 2023-2024 แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า อันเดร ลูนิน นายด่านตัวสำรองของ เรอัล มาดริด จะการันตีการเป็นมือ1แต่อย่างใด เพราะ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้ตัดสินใจไปยืมตัว เกปา อาร์ริซาบาลาก้า มาจากเซลซี
โดยในตอนแรกเป็น เกปา ที่ครองมือ1 แต่ทว่าเมื่อเฝ้าเสาไปเรื่อย โกลชาวสเปนรายนี้ชักจะมีช็อตเหวอให้เห็นบ่อยจนท้ายที่สุดแล้ว " อันเช่ จึงกลับมาใช้บริการ ลูนิน เป็นตัวจริงอีกครั้ง และหลังจากนั้น เจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย
เกมแรกที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว 3-3 อันเดร ลูนิน ก็มีความผิดพลาดเหมือนกันนะ กับประตูแรกที่เสียเพราะประมาทไปหน่อย เพราะสั่งกำแพงเพียงแค่1คน จนโดน แบร์นาโด้ ซิลวา ลงโทษยิงเสาแรกไป
เลก2ที่ เอติฮัด เรียกได้ว่า คือเกมที่ ลูนิน ปล่อยของโชว์หนึบได้เลย เมื่อคืน ซิตี้ ส่องบอลไปตรงกรอบมากถึง 10ครั้ง แต่ทว่าผ่านมือ อันเดร ลูนิน ไปเพียงแค่หนเดียว 45นาทีแรก เซฟสุดสวยกับลูกยิงของ เควิน เดอ บรอยน์
รวมถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ โกลชาวยูเครนก็มีบินเหินหาวสุดมหัศจรรย์ ปัดลูกโค้งเกือบระยะ25หลา เกือบเสียบใต้คานระยะ 25หลาของ KDB ได้ ซึ่งเกมได้ฎีกามาจนถึงการดวลจุดโทษ ลูนิน ที่สีหน้าแววตามั่นใจมากๆ ก็ช่วยให้ชุดขาวผ่านเข้ารอบได้
เพราะเป็นคนเซฟจุดโทษของ แบร์นาโด้ และ โควาซิซ ได้ โดยเฉพาะลูกจุดโทษของ แบร์นาโด้ ซิลวา ลูนิน ไม่หลง ยืนรอรับสบายๆ จนทำให้ดาวเตะชาวโปรตุเกส เสียเชิงไปเลย ซึ่งในฤดูกาลหน้าก็น่าคิดเหมือนกันว่า เมื่อ กูรกตัวส์ หายเจ็บกลับมา ลูนิน จะยอมเป็นสำรอง หรือย้ายทีมเพื่อหาโอกาสเฝ้าเสาตัวจริงถาวรไหม
รูดิเกอร์ กำแพงปราการหลัง มาดริด
เกมรับ การเล่นอย่างมีวินัยและอดทน นี่คือปัจจัยที่สำคัญ สำหรับการทำให้ เรอัล มาดริด พิชิต แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้ เอาตรงๆแผงแบ็กโฟร์ของทีมเยือนถือว่าไม่ฟูลเท่าไหร่เลยนะ เพราะมีตัวบาดเจ็บอยู่อย่าง เอแดร์ มิลิเตา (ยังไม่ฟิตพอเป็นตัวจริง) และ ดาบิด อลาบา
ดานี่ กาบาฆาล - อันโตนิโอ รูดิเกอร์ - นาโช่ เฟร์นานเดซ และ แฟร์กล็องด์ เมนดี้ แบ็กซ้ายที่ได้ลงสนามคราวใด มักจะมีจังหวะต้องให้เสียวตลอด แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม 120นาที กับการบุกมาเยือน ซิตี้ แล้วโดนเจาะเพียงแค่เม็ดเดียวนั้นน่าพอใจขนาดไหน
นาโช่ ในวัย34ปี ที่คาดว่าจะเป็นจุดอ่อนของเกมรับ ก็เล่นได้ดีมากๆ แม้จะมีเสียท่าให้ ฮาลันด์ ในลูกโด่ง 2-3 ครั้ง แต่ทว่าอย่างอื่นกัปตันทีมรายนี้ ทำดีหมดเลย ทั้งการอ่านเกม ยืนตำแหน่ง ความเก๋าต่างๆ เคลียร์บอลได้มากถึง6ครั้ง
ส่วน รูดิเกอร์ นั่นก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ทำให้4นัดที่ ฮาลันด์ ได้ดวลกับ มาดริด ดาวยิงผมยาวรายนี้ ไม่มีประตูหรือ แอสซิสต์ เลย อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เจ้าตัวเกือบจะได้เป็นฮีโร่ของทีม โดยไม่ต้องดวลจุดโทษเลย เพราะได้หลุดไปตวัดบอลเร็วถากเสาออกไป ช่วง น.105
กองหลังชาวเยอรมัน คือผู้ซัดจุดโทษคนสุดท้ายสุดเฉียบ (มุมจัด) พา ราชันชุดขาว ผ่านเข้ารอบตัดเชือก นอกจากนี้สถิติในเกมยังระบุว่า รูดิเกอร์ บล็อกบอลมากถึง5ครั้ง ด้วยกัน และเคลียร์บอลไป4หน
ส่วนแบ็กขวา กาบาฆาล เหมือนจะทำได้ดีในการดวลกับ แจ็ค กรีลิช แต่ทว่าเมื่อต้องมาดวลกับ เฌเรมี่ โดกู ที่ลงมาใหม่และสดกว่า มีหลุดรัวๆเลย ทางด้าน เมนดี้ ก็เซอร์ไพรส์เช่นกันที่ไม่ก่อความผิดพลาดมากนัก ในการรับมือกับโฟเด้น - แบร์นาโด้ แต่ทว่าช่วงต่อเวลาอาจจะด้วยเรี่ยวแรงหมด ก็มีลนๆให้เห็นเหมือนกัน แต่ทว่าก็มีสถิติที่ดีเรื่องเคลียร์บอล เพราะทำไป 5ครั้ง
อันเชล็อตติ โชว์เก๋าเลือกวิธีการเล่นถูกต้อง
นอกจากเป็นทีมที่เขี้ยวลากดินสุดๆใน เวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้ว การันตีได้จากการเป็นทีมที่คว้าแชมป์ ถ้วยใบหูใหญ่มากที่สุด14สมัย ทีมชุดปัจจุบันพวกเขายังมีกุนซือที่โคตรเก๋า เพรียบพร้อมด้วยความสำเร็จ และประสบการณ์ครบทุกลีกใหญ่ยุโรป อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ
นี่คือฤดูกาลที่ 3ติดต่อกันที่ เรอัล มาดริด โคจรมาฟาดแข้งกับ แมนฯซิตี้ บนเวที ยูซีแอล โดยฤดูกาลที่แล้ว มีแววเป็นเหมือนเดจาวู ปีก่อน 2022-2023 ที่ชุดขาวนัดแรกเสมอในบ้าน1-1 ก่อนเลก2ออกไปเยือน แล้วโดนอัดยับเยิน 4-0
นัดแรกที่ เบอร์นาบิว เจ๊ากันมา 3-3 " อันเช่ " ก็เหมือนจะมีบทเรียนพอสมควร กับการปล่อยพื้นที่ให้ ซิตี้ ได้ตั้งป้อมตะบันไกล มาเกมนี้ เจ้าตัวจึงกำชับมาเป็นอย่างดีในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่ง การมาดวลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วเลือกเปิดเกมบุกเข้าใส่ บีบเพรสซิ่งเร็วสู่นั่นก็เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย วิ่งใส่รถสิบล้อเลย
เราจึงได้เห็น มาดริด ที่ปรกติไม่ใช่ทีมเล่นเกมรับ มาในรูปแบบที่เจียมตัว แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพนั่นก็คือการเล่นเกมรับแล้วรอสวน ผู้เล่นชุดขาว 9-10 คนอยู่ในแดนตัวเอง โดยเฉพาะบริเวณกรอบเขตโทษที่เหมือนจอดรถบัสไว้2ชั้น
จริงๆก็คล้ายๆกับ นัดชิงปี 2022 ที่เจอกับลิเวอร์พูล พวกเขารอจังหวะสวนกลับ แล้วได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แม้ว่าจะครองบอลน้อยกว่า และหาโอกาสยิงได้น้อยกว่า รวมถึงรูปเกมที่เป็นรอง ซึ่งต้องชื่นชมวินัยเกมรับทั้งทีมเลยเวลาที่ช่วยกันเล่น
จังหวะสวนกลับทั้ง ความเร็วของ วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ ยังเล่นงานจู่โจมได้ ส่วนตัวของ จู๊ด เบลลิงแฮม ที่ทักษะดีอยู่แล้ว ก็สามารถพักบอล ดึงจังหวะบอล ฉีกออกข้างให้เพื่อนร่วมทีมเวลาเติมขึ้นมา แต่ทว่ากองกลางที่เด่นสุดเห็นทีจะเป็นผึ้งงานอย่าง เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้
สไตล์ โดกู เหมือนจะได้ผลในเกมยุโรป
เกมรุกปีกด้านขวา ถ้าไม่เจ็บ ไม่แบน ไม่โรเตชั่น อะไร ก็ค่อนข้างชัวร์อยู่แล้วว่า สัมปทาน เจ้าของตัวจริงคือ ฟิล โฟเด้น หรือนานๆที่จะเห็น แบร์นาโด้ ซิลวา ขยับมาเล่น แต่ทว่าทางฝั่งซ้ายนั้นสลับกันเล่นสนุกเลย ระหว่าง แจ็ค กรีลิช กับ เฌเรมี่ โดกู ที่ฟอร์มดูจะไม่ค่อยเสถียรทั้งคู่
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามเกมแรกที่ เบอร์นาบิว " ขุนแจ็ค " นั้นเล่นดีมากๆ กับสไตล์เลี้ยงเอื่อยๆใส่แบ็ก มาดริด นั่นจึงทำให้เกมเลก2 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้โอกาสลงตัวจริง ซึ่ง กรีลิช ถือว่าทำได้ดีเลยในการดวลกับ กาบาฆาล
รวมถึงยังประสานงานกันได้ลงตัวสอดประสานกับ ยอสโก กวาร์ดิโอ นอกจากนี้ แจ็ค กรีลิช ยังครองบอลเหนียวเสียบอลยาก แต่ทว่าแข้งเบอร์10รายนี้ ก็ยังคงมีข้อเสียนั่นก็คือการเป็นผู้เล่นที่จบสกอร์ไม่คม เมื่อคืน มีโอกาสได้จบถึง4หน ด้วยกัน
ซึ่งการเลือกถอด กรีลิช ออกถือว่าเซอร์ไพรส์ เหมือนกันสำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่ท่าการการปรับเปลี่ยนของ กุนซือชาวสเปนก็ได้ผลจริงๆ เพราะ โดกู ที่ถูกส่งลงมา (น.72) นั้นทั้งสดและเร็ว สไตล์แบบนี้แหละ ที่เล่นงาน กาบาฆาล ที่เริ่มหมดแรงได้ดีมาก
ประตู 1-1 ก็มีจุดเริ่มต้นจาก โดกู ที่เลี้ยงจี้ วัลเวร์เด้ เปิดไปโดน รูดิเกอร์ สกัดมาเข้าทาง เควิน เดอ บรอยน์ ช่วงที่ " เดอะ แฟลช เบลเบี่ยม " ได้อยู่ในสนาม (ราวๆ50นาที) เจ้าตัวทำให้ กาบาฆาล ปวดหัวเจอปัญหาเป็นอย่างมาก
เวลาไม่ถึง1 ชั่วโมง ที่ได้อยู่ในสนาม โดกู มีโอกาสได้ซัดถึง3ครั้ง - จ่ายคีย์พาส3ครั้ง - เลี้ยงบอลผ่าน3ครั้ง และเรียกฟาวล์ได้ถึง 3หน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนตัวที่ดีของ เป๊ป เลย แม้จะดูค้านสายตาในตอนแรกก็ตาม
ฮาลันด์ โขกไม่คม ซิตี้ ตกรอบอาจข่าวร้าย ปืน-หงส์
แม้ว่าจะพึ่งได้มาครั้งแรกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว 2022-2023 สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ โทรฟี่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ทว่านี่ก็น่าจะเป็นรายการที่เจ้าของทีมท่านชีค อยากได้มากที่สุดอันดับ1เสมอ มากกว่าพรีเมียร์ลีกเสียอีก เพราะจะได้เป็นการเขียนประวัติศาสตร์ให้สโมสรได้ ในประเทศ เรือใบสีฟ้า ณ ตอนนี้ ก็ไร้เทียมทานและเป็นเบอร์1อย่างเต็มรูปแบบแล้ว
กับ เรอัล มาดริด เมื่อคืน ซึ่งคือเบอร์1ของถ้วยนี้อยู่แล้ว การันตีจากการเป็นแชมป์มากถึง14สมัย แต่ทว่าถ้าเอาในรูปเกมหรือโอกาสทำประตูต้องบอกว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหนือกว่าจ่าฝูง ลาลีก้า มากๆ
ถ้าหากจบสกอร์คมกว่านี้หน่อย ซิตี้ น่าจะล้ม ราชันชุดขาว ได้เลย กับโอกาสยิง30 กว่าครั้ง เออร์ลิง ฮาลันด์ ที่ชอบเงียบเกมใหญ่ ได้โขก3หน ชนคาน1 และหลุดออกนอกกรอบไปอย่างน่าเสียดาย รวมไปจนถึง ช่วงที่สกอร์เสมอกัน 1-1 KDB ได้ยิงโล่งๆ 12-13หลา ในเขตโทษแต่หลุดข้ามคานไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
การตกรอบ8ทีมสุดท้าย ยูซีแอล เหมือนจะเป็นข่าวร้ายของทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง อันดับ2และ3อย่าง อาร์เซน่อล - ลิเวอร์พูล เพราะนั่นจะทำให้ เรือใบสีฟ้า จะได้จัดหนักเน้นเต็มที่กับ7นัดที่เหลือแบบไร้กังวล ไม่ต้องมีโปรแกรมกลางสัปดาห์มาพะวงหน้าพะวงหลัง แน่นอน
ซึ่งด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือผู้กุมชะตาของตัวเองเลย นำ2แต้ม เพราะหากชนะรวด พวกเขาคว้าแชมป์แน่นอน แบบไม่ต้องไปลุ้นสนใจใคร ซึ่งโปรแกรมที่เหลือน่าจะไม่เหนือบ่ากว่าแรงของ ซิตี้ ดูจะมีเพียงเกมเยือน ไบร์ทตัน และ สเปอร์ส เท่านั้นที่ดูหนักสุด
- คอลัมน์นิสต์
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก วิเคราะห์บอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เรอัล มาดริด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เควิน เดอ บรอยน์ คาร์โล อันเชล็อตติ
- 135
- 18 เม.ย. 2567 14:48