ทีมชาติอิตาลี (A1) vs ทีมชาติอังกฤษ (D1)
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป "ยูโร 2020" รอบชิงชนะเลิศ
แข่งขันวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2564
คิกออฟ เวลา 02.00 น.
สนาม : เวมบลีย์ สเตเดี้ยม - อังกฤษ
อัตราต่อรอง : เสมอ อังกฤษ
ทีมชาติอิตาลี
โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือจอมแท็คติกของทัพ "อัซซูรี่" จะไม่มี เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า แบ็กซ้ายฟอร์มเยี่ยมที่ได้รับบาดเจ็บหนักมาจากเกมรอบก่อนรองฯ กับ เบลเยียม จนต้องพักยาวนานร่วม 6 เดือน เอเมอร์สัน พัลไมรี่ ที่ได้ทำหน้าที่แทนในเกมล่าสุดจะยังคงรักษาตำแหน่งเอาไว้เช่นเดิม ขณะที่คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัยเก๋าอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กัปตันทีม และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่อายุอานามรวมกันแตะหลัก 70 ปี จะยังคงปักหลักยืนเป็นป้อมปราการอยู่หน้า จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารจอมหนึบ เช่นเดียวกับการกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งของ มาร์โก แวร์รัตติ ที่พร้อมยึดพื้นที่แดนกลาง ทำให้ส่งผลต่อตำแหน่งของ มานูเอล โลคาเตลลี่ ที่ต้องกลับไปนั่งรอโอกาสที่ข้างสนาม ส่วนพื้นที่แนวรุกยังคงเป็น 3 ประสาน เฟเดริโก้ เคียซ่า, ชิโร่ อิมโมบิเล่ และ ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ เช่นเดิม
ทีมชาติอังกฤษ
แกเร็ธ เซาธ์เกต เจ้านายใหญ่ของทัพ "สิงโตคำราม" ถือว่ามีขุมกำลังที่พร้อมรบทุกตำแหน่ง ซึ่งคาดว่าจะจัด 11 ผู้เล่นชุดเดียวกับที่เอาชนะ เดนมาร์ก 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษลงสนามกันยกชุด ซึ่งแน่นอนว่า จอห์น สโตนส์ และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ จะจับคู่เป็นปราการหลังด่านสุดท้ายให้กับ จอร์แดน พิคฟอร์ด ว่าที่เจ้าของรางวัลถุงมือทองคำประจำทัวร์นาเมนท์ เช่นเดียวกับ ลุค ชอว์ ที่ยังคงทำผลงานได้อย่างไร้ที่ติ น่าจะเป็นตัวหยุดยั้งตัวริมเส้นของ อิตาลี อย่าง เฟเดริโก้ เคียซ่า ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ บูคาโย่ ซาก้า และ เมสัน เมาท์ ที่ได้ออกสตาร์ทตัวจริงในเกมที่แล้วยังคงเป็นตัวเลือกเหนือกว่าทั้ง เจดอน ซานโช่ หรือ ฟิล โฟเด้น รวมไปถึง แจ็ค กรีลิส ด้วย และแน่นอนว่า แฮร์รี่ เคน จะสวมปลอกแขนนำทีมลงประจำการในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า โดยมี ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นตัวเดินเกมรุกสนับสนุนทางริมเส้น
ผลงาน 6 นัดหลังของ อิตาลี (WWWWWW)
ชนะ ตุรกี 3-0 (ห) (ยูโร)
ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 (ห) (ยูโร)
ชนะ เวลส์ 1-0 (ห) (ยูโร)
ชนะ ออสเตรีย 2-1 (E) (ก) (ยูโร)
ชนะ เบลเยียม 2-1 (ก) (ยูโร)
ชนะ สเปน 4-2 (P) (ก) (ยูโร)
ผลงาน 6 นัดหลังของ อังกฤษ (WDWWWW)
ชนะ โครเอเชีย 1-0 (ห) (ยูโร)
เสมอ สกอตแลนด์ 0-0 (ห) (ยูโร)
ชนะ เช็ก 1-0 (ห) (ยูโร)
ชนะ เยอรมัน 2-0 (ห) (ยูโร)
ชนะ ยูเครน 4-0 (ก) (ยูโร)
ชนะ เดนมาร์ก 2-1 (Ex) (ห) (ยูโร)
ผลงานการพบกันของทั้งสองทีม
28/03/18 (FRI) England 1 - 1 Italy
01/04/15 (FRI) Italy 1 - 1 England
15/06/14 (WOC) England 1 - 2 Italy
16/08/12 (FRI) England 2 - 1 Italy
25/06/12 (EUC) England 0 - 0 P Italy
27/03/02 (FRI) England 1 - 2 Italy
ผู้เล่นที่คาดว่าจะได้ลงสนาม
ทีมชาติอิตาลี (4-3-3) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า - โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เอเมอร์สัน พัลไมรี่ - นิโคโล่ บาเรลล่า, จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ - เฟเดริโก้ เคียซ่า, ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่
ทีมชาติอังกฤษ (4-2-3-1) : จอร์แดน พิคฟอร์ด - ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, ลุค ชอว์ - คัลวิน ฟิลลิปส์, เดแคลน ไรซ์ - บูคาโย่ ซาก้า, เมสัน เมาท์, ราฮีม สเตอร์ลิง - แฮร์รี่ เคน
ผู้ตัดสิน : บียอร์น คุยเปอร์ส (เนเธอร์แลนด์ส)
แนวโน้มของเกม
"อัซซูรี่" เดินหน้าเข้ามาถึงรอบชิงฯได้ตามคาด หลังจากปราบมาทั้ง เบลเยียม และ สเปน ใน 2 เกมล่าสุด โดยเฉพาะในรอบตัดเชือกที่ต้องออกแรงบู๊ยาวไปจนถึงช่วงดวลลูกจุดโทษ กว่าที่จะปราบ "กระทิงดุ" ได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน "สิงโตคำราม" ที่อยู่ในสถานะเจ้าถิ่น ต้องเล่น 120 นาทีเช่นกันในรอบตัดเชือก ก่อนที่จะได้ แฮร์รี่ เคน ยิงประตูชัยดับฝัน เดนมาร์ก คว้าชัยมาด้วยสกอร์ 2-1 แน่นอนว่า อังกฤษ ที่ได้ลงสนามในรัง เวมบลีย์ มีความได้เปรียบทั้งเรื่องสภาพแวดล้อมรวมไปถึงเสียงเชียร์จากแฟนบอลน่าจะเป็นส่วนสร้างแรงกระตุ้นให้กับบรรดาผู้เล่นได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น อิตาลี ที่เพียบพร้อมไปด้วยกลยุทธ์และแท็คติกที่หลายหลายก็พร้อมที่จะสร้างความปวดร้าวให้กับเจ้าถิ่นได้เช่นกัน ดังนั้นคงไม่แปลกหาก 90 นาทีจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่หากวัดกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ อังกฤษ ที่ผู้เล่นสดกว่ามีโอกาสบดคว้าชัย และคว้าแชมป์ยูโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ฟันธงโดย : I HEAR TOO
อิตาลี 1-1 อังกฤษ (AET : อังกฤษ ชนะ 2-1)
- วิเคราะห์บอล
- 355
- 11 ก.ค. 2564 09:35