นี่แหละเจ้ายุโรป ! ชุดขาว โคตรเก๋า แซง เสือใต้ ท้ายเกม 2-1 โฆเซลู สำรองเบิ้ล
แม้ว่าจะมีสกอร์เกิดขึ้นไม่เยอะ แต่ทว่าภาพรวมของเกมรายละเอียดต่างๆที่เกิดขึ้น ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยอัตราความเมามันและดราม่ากระชากอารมณ์จริงๆ สำหรับ รองรองชนะเลิศนัด2 ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่กว่าจะหาผู้เข้าไปชิงชนะเลิศได้ สถานการณ์ก็มีความพลิกผันไปจนถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บเลย และสุดท้ายก็เป็น ราชันชุดขาว ที่เก๋าสุดๆ คว้าตั๋วนัดชิงไป
นัดแรกของรอบรองชนะเลิศคู่ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่รังของทีมเสือใต้ จบลงด้วยผลเสมอกันไป 2-2 ทำให้สถานการณ์ในเลกสองที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เจ้าบ้านก็ยังไม่ได้เปรียบมากนัด แต่จะได้กำลังใจเสียงเชียร์จากแฟนๆเข้าช่วยแน่ๆ
ในเรื่องของการจัดทัพ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็มาในแผนเก่ง (ณ ตอนนี้) 4-3-1-2 แดนบนตัวอันตราย เร็วคล่องอยู่กันครับทั้ง โรดรีโก้ และ วินิซิอุส จูเนียร์ โดยมี จู๊ด เบลลิงแฮม ยืนสูงทำหน้าที่เป็นคล้ายๆเพลย์เมคเกอร์
ส่วน บาเยิร์น มิวนิค มาในระบบ 4-2-3-1 แนวรุก แฮร์รี่ เคน - จามาล มูเซียล่า -เลรอย ซาเน่ และ แซร์จ นาบรี้ เกมรับพวกเขาพัก คิม มิน-แจ ที่เลกแรกแจกมากๆ แล้วเป็น มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์ ที่หายเจ็บกลับมาได้มายืนคู่กับ เอริก ดายเออร์ แทน
เริ่มเกมมาต้องบอกว่า เรอัล มาดริด ที่ครองเกมได้ดีกว่าใน45นาทีแรก หาโอกาสจบสกอร์ได้มากกว่า โดยเฉพาะในรายของ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ปั่นป่วนแนวรับ เสือใต้เหลือเกิน ซึ่งถือว่าโชคดีที่ครึ่งแรก มานูเอล นอยเออร์ ช่วยเซฟไว้ได้หลายช็อต ทำให้สกอร์ยังอยู่ที่ 0-0
ครึ่งหลังรูปเกมก็ยังเป็นคล้ายๆเดิม แต่ทว่าทางฝั่งทีมดังแคว้นบาวาเรีย ค่อยๆดีขึ้นในเรื่องของการสวนกลับ จ่ายบอลกันได้แม่นยำ และทะลุเข้ามาในเขตโทษของ เรอัล มาดริด หลายครั้ง แล้วก็มาทำสำเร็จจากจังหวะที่ อัลฟอนโซ เดวิส รับบอลจาก แฮร์รี่ เคน แล้วลากตัดจากฝั่งซ้ายซัดเสียบตาข่ายอย่างสวยงาม ขึ้นนำ1-0 น.68
โดยเกมดำเนินมาจนถึงช่วงราวๆ 10นาทีสุดท้าย ทำให้ " อันเช่ " ต้องแก้เกมไพ่ใบสุดท้าย ทั้ง บราฮิม ดิอ๊าซ และ โฆเซลู ถูกส่งลงมาแทน เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ และ โรดรีโก้ และแล้ว เรอัล มาดริด ก็ยังโชว์คาแร็กเตอร์ ของความเป็นเจ้ายุโรป มีพลังแฝงพิเศษเมื่อเล่นถ้วยนี้อีกครั้ง
มานูเอล นอยเออร์ ที่เหนียวมาตลอดทั้งเกม กลับมาทำหมูหก รับลูกยิงตรงตัวของ วินิซิอุส กระฉอกทำให้มาเข้าทาง ตัวสำรอง โฆเซลู ที่จมูกไวอยู่แล้ว ตามซ้ำเข้าไป1-1 น.88 และหลังจากนั้นโมเมนตัม ก็ไหลมาทางเจ้าบ้านจริงๆ
และก็เป็น โฆเซลู เจ้าเดิมที่แปลูกเปิดของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เข้าไป น.90+1 แม้ว่าตอนแรกผู้ตัดสินจะมองว่าเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน แต่ทว่าพอเช็กVAR คนจ่ายอย่าง รูดิเกอร์ ไม่ได้ล้ำหน้าแต่อย่างใด ซึ่งสถานการณ์ ณ ตอนนี้นที่ถูกแซงนำ เป็นเรื่องยากมากๆที่ บาเยิร์น จะทวงตาข่ายคืนได้ เพราะแนวรุกตัวหลักถูกถอดออกไปหมดแล้ว
ฮึดสุดท้าย บาเยิร์น มิวนิค อุตส่าห์ ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้ จากลูกยิงของ เดอ ลิกต์ แต่ทว่า ผู้ตัดสิน ซิมอน มาร์ซิเนียค เป่าเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน ทั้งที่ไม่ล้ำ ทำให้ไม่สามารถเช็ก VAR ได้ เนื่องจากผู้เล่น มาดริด ก็หยุดเล่นกับช็อตดังกล่าวที่เป่านกหวีดด้วย ท้ายที่สุดแล้วเป็น เรอัล มาดริด ที่เข้าชิงชนะเลิศอีกครั้ง ลุ้นความเป็นเจ้ายุโรป สมัยที่15
โฆเซลู สำรองคุณภาพซุปเปอร์ซับ
จะว่าไปตอนที่เสีย คาริม เบนเซม่า ไปให้กับทีมในซาอุดิอาระเบีย โปรลีก แฟนบอล เรอัล มาดริด ก็กังวลไม่น้อยกับการหาตัวแทนที่เหมาะสม เพราะต้องยอมรับว่า เบนเซม่า คือแนวรุกคนสำคัญของทีมสุดๆ นับตั้งแต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายออกไป ยูเวนตุส
อย่างไรก็ตามเหมือนกับว่าเจ้าของทีม ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ดูจะไม่ได้วาง Priority กับตำแหน่งศูนย์หน้าในการเสริมทัพเท่าไหร่ แต่จะเน้นหนักไปทางการเสริมผู้เล่นตำแหน่งกองหลางมากกว่า เราจึงได้เห็น จู๊ด เบลลิงแฮม ในราคาที่ทะลุ100ล้านปอนด์
กลับกันในตำแหน่งกองหน้า เรอัล มาดริด เหมือนได้มาแค่การแก้ขัดเท่านั้น เพราะไปยืม โฆเซลู ในวัย34ปี มาจาก เอสปัญญ่อล แม้จะไม่ได้ถูกคาดหวังอะไร แต่ก็ต้องบอกว่าผลงานของดาวยิงจอมเก๋ารายนี้ ดีเกินคาด
เมื่อคืน โฆเซลู ถูกส่งลงสนามมา น.81 ซึ่งการถูกส่งลงมาของเจ้าตัวนั้นช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกมากๆ เพราะ มาดริด ไม่ได้มีหน้าเป้าประเภทรอยิงในเขตโทษเมื่อคืน วินิซิอุส กับ โรดรีโก้ เป็นสายลากเลื้อยมากกว่า
ประตูแรกเหมือนจะง่ายกับการตามซ้ำลูกกระฉอกของ นอยเออร์ แต่ทว่านั้นก็ต้องให้เครดิต โฆเซลู ด้วย ที่จมูกไว ส่วนเม็ด2 แม้เป็นการเข้าแทปอินง่ายๆ นั่นก็ต้องชื่นชมการยืนตำแหน่งในเขตโทษของ หอกชาวสเปนรายนี้ด้วย
แม้ว่าบทบาทส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ใช่11ผู้เล่นตัวจริง แต่ทว่าเมื่อพิจารณาจากผลงานของ โฆเซลู 17ประตู จาก46นัด แถมยังไม่ต้องเสียค่าตัว และทำให้ทีมได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มเป็นไหนๆแล้ว
วินิซิอุส เข้าใกล้คำว่าระดับโลก
เกมแรกที่ อาลิอันซ์ อารีน่า และจบลงด้วยสกอร์ 2- 2 แน่นอนว่าพระเอกของ เรอัล มาดริด ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ วินิซิอุส จูเนียร์ นี่เอง กับผลงานเหมาทำคนเดียว2ประตู แถมสปีดลีลาการกระชากลากเลื้อยยังปั่นป่วนแนวรับ บาเยิร์น มิวนิค
เลกสองที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ปีกจอมจี๊ดชาวบราซิล ยังคงสร้างความหนักอกหนักใจให้กับแนวรับ และแบ็กของเสือใต้ เช่นเดิม ในเขตโทษ แม้ว่าจะเป็นบอลจวนตัว หรือการเล่นในพื้นที่แคบๆ วินิ แทบไม่ทำเสียเลย
ที่จริง แข้งเบอร์7รายนี้ ควรจะมี2ประตูให้เห็นด้วยซ้ำแต่ทว่าโดนความยอดเยี่ยมของ มานูเอล นอยเออร์ ปฎิเสธไว้ ตลอดทั้งเกม วินิซิอุส เลี้ยงบอลผ่านผู้เล่นทีมเยือนมากถึง7ครั้ง ค่ายบอลคีย์พาสได้2หน แถมยังหาจังหวะได้จบสกอร์ถึง5ครั้ง
มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์ หัวหมุนเลยเมื่อต้องเจอกับการลากจี้ของ วินิซิอุส โดยเฉพาะ โยซัว คิมมิซ ที่เมื่อคืนต้องเล่นเป็นแบ็กขวา มีจังหวะลื่นล้มจนทำแฮนด์บอล กับจังหวะโดนกระชากเผาเครื่อง
ประตูตีเสมอของ เรอัล มาดริด เมื่อคืน ก็มาจากลูกยิงของ วินิซิอุส จูเนียร์ นี่แหละที่ มานูเอล นอยเออร์ ซองแตก และไม่แปลกใจเลยที่หลังจบเกม ดาวเตะวัย23ปี จะได้รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกครั้งหนึ่ง
นอยเออร์ ทำดีมาตลอด แต่มาพลาดจังหวะเดียว
หายเจ็บยาวจากอุบัติเหตุเล่นเจตสกี ทำให้ต้องพักมาราวๆ10เดือนสำหรับ มานูเอล นอยเออร์ โดยจอมหนึบชาวเยอรมัน กลับมาเฝ้าเสาได้อีกครั้ง เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าฟอร์มไม่ได้หล่นอะไรเลยนะ กับโกลที่พึ่งหายเจ็บยาวกลับมา
จะว่าไปค่ำคืนที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว หากว่า บาเยิร์น มิวนิค ผ่านเข้าชิงชนะเลิศไปได้ ด้วยสกอร์บุกมาชนะ 1-0 เชื่อว่า มานูเอล นอยเออร์ จะได้เป็นฮีโร่ของทีมเลย เพราะมีจังหวะเซฟ5ครั้ง และเป็นช็อตที่ค่อนข้างยากทั้งนั้น
ปัดลูกยิงของ วินิซิอุส ให้ไปชนเสา และจังหวะต่อเนื่องยังปฎิกิริยาเร็วพอพาเซฟลูกซ้ำของ โรดรีโก้ ทัน นอกจากนี้นายด่านวัย38ปี ยังป้องกันลูกยิงของ วินิซิอุส จูเนียร์ ได้อีกทั้ง เซฟลูกฟรีคิก และปัดลูกเปิดเกรงใจ ที่บอลจะเข้าไปซุกก้นตาข่ายอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดีสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู แม้ว่าจะทำดีโชว์หนึบมาตลอดทั้งเกม แต่ทว่าความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็สามารถโดนลงโทษได้ นอยเออร์ ที่เซฟลูกยากๆของ วินิซิอุส มาไม่รู้กี่ครั้งในเกม กลับมาตกม้าตายกับลูกยิงง่ายๆ ด้วยการรับกระฉอก โดน โฆเซลู ซ้ำเข้าไป 1-1
หลังจากนั้น สถานการณ์ทุกอย่าง บรรยากาศ โมเมนตัม บวกแฟนบอลในสนาม ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ทำให้ทุกอย่างไหลไปทาง เรอัล มาดริด มากๆ จนท้ายที่สุดแล้วด้วยความเป็นเจ้ายุโรป เรอัล มาดริด ก็ทำสำเร็จ แซงเอาชนะ 2-1 และฝากค่ำคืนอันเป็นฝันร้ายของ มานูเอล นอยเออร์ ที่เกือบจะได้เป็นพระเอกอยู่แล้ว
ทูเคิ่ล เปลี่ยนตัวผิดพลาด ตัดอาวุธตัวเองทิ้ง
วินาทีที่ อฟอนโซ่ เดวิส ซัดประตูสุดสวยส่งบอลดเข้าไปซุกก้นตาข่าย น.68 ต้องบอกว่า โอกาสเข้ารอบของ บาเยิร์น มิวนิค สดใสเหลือเกิน เพราะนอกจากจะขึ้นนำแล้ว ยังทำให้รูปเกมจะเข้าทางพวกเขามากขึ้อีกด้วยในแพลนของการสวนกลับ
มิหนำซ้ำสือใต้ยังเกือบจะได้ประตู 2-0 อีกด้วย จากลูกยิงของ แฮร์รี่ เคน แต่ทว่าไปเข้าข้างตาข่าย การเปลี่ยน โธมัส มุลเลอร์ ลงมาแทน ลีรอย ซาเน่ เป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ทว่าอยู่ดีๆ น.85 โธมัส ทูเคิ่ล กลับถอด แฮร์รี่ เคน ออกซะงั้น แถมยังเน้นรับเต็มสูบเอา คิม มิน-แจ มาแทน มูเซียล่า เสียอีก
เข้าใจว่า อดีตผู้จัดการทีมเซลซีรายนี้ มั่นใจว่าเกมรับจะเอาอยู่ ทำให้เลือกถอดแข้งที่อันตรายที่สุดของทีม อย่าง แฮร์รี่ เคน ออก โดยไม่คิดเผื่อเลยว่า หากถูก เรอัล มาดริด ตีเสมอ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ หรีอรวมไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที เสือใต้จะเอาอาวุธไหนโจมตี
และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จากสกอร์นำ1-0 โดนตีเสมอเป็น 1-1 และสุดท้ายถูกแซง 2-1 ซึ่งการทดเวลาบาดเจ็บยาวถึง 9นาที มันยังพอมีเวลาที่ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค หมายตีเสมอได้ แต่ทว่าด้วยแนวรุก ณ ตอนนั้น มี โธมัส มุลเลอร์ และ เอริค ชูโป -โมติง นั้นก็เป็นงานที่ยากเหลือเกิน
การเปลี่ยนตัวรอแพ้ของ โธมัส ทูเคิ่ล ถูกพูดถึงมากกว่าความผิดพลาดที่เป็นจุดเปลี่ยนของ มานูเอล นอยเออร์ เสียอีก นอกจากนี้แล้วหลังจบเกมดังกล่าว ทูเคิ่ล ยังสร้างสถิติแย่ๆด้วยการ เป็นผู้จัดการทีมเสือใต้ ที่ทำทีมไม่ได้แชมป์สักรายการในฤดูกาลเดียว ครั้งแรก นับตั้งแต่ซีซั่น 2011-2012
ชุดชาวโคตรเจ้ายุโรป อันเช่ ผู้พิชิต เสือใต้
วินาทีที่ อฟอนโซ่ เดวิส ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้ น.68 ตอนนั้นต้องบอกว่าสถานการณ์ของ เรอัล มาดริด ร่อแร่ มากๆ เพราะด้วยรูปเกม หากว่าพวกเขาโหมบุกมากขึ้น ก็มีโอกาสสูงเช่นกันที่จะโดนหมัดน็อก 2-0 และก็มีช็อตที่เกือบจะโดนจริงๆจาก แฮร์รี่ เคน ที่ซัดบอลมุมแคบไปเข้าข่างตาข่าย
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เปลี่ยนตัวผิดพลาดของ โธมัส ทูเคิ่ล ที่ชะล่าใจไปหน่อย ทำให้ ราชันชุดชาว พลิกนรกกลับมาได้ ซึ่งก็ต้องชื่นชมจิตวิญญาณ ความเป็นแชมเปี้ยส์ ของ เรอัล มาดริด ในรายการนี้ด้วยจริงๆ
ย้อนไปไกลถึงนัดชิงปี 2013-2014 เซร์คิโอ รามอส ก็มาโขกประตูเซฟชีวิตตีเสมอ 1-1 ใส่ แอตเลติโก มาดริด ก่อนมาถล่มชนะไปช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที 4-1 รวมถึงรอบรองฤดูกาล 2021-2022 พวกเขาก็รัว 3ประตู ใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ช่วง5นาทีสุดท้าย (รวมทดเจ็บ)
เพราะถ้วยนี้เหมือน มาดริด เอง จะมีพลังงานแฝงอยู่เสมอ ความเขี้ยวและความเก๋า นี่คือสิ่งที่ต้องยกให้ เรอัล มาดริด ทุกยุคทุกสมัยในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จริงๆ การันตีได้จาก ความเป็นเจ้ายุโรป 14สมัย ทิ้งห่างทีมอื่นไม่เห็นฝุ่น
ส่วน คาร์โล อันเชล็อตติ เมื่อคืน สิ่งที่ต้องชื่นชมกุนซือชาวอิตาเลี่ยนรายนี้ การเปลี่ยนตัวที่จั๋วถูกสุดๆกับ โฆเซลู รวมไปจนถึงสถิติส่วนตัวของ " อันเช่ " ในการเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ก็ดีมากๆ นับตั้งแต่สมัยคุม เอซี มิลาน นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน คุมทีมดวลกับเสือใต้10นัด ไม่เคยแพ้เลย เอาชนะไปได้ 7 - เสมอ 3
- คอลัมน์นิสต์
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริด บาเยิร์น มิวนิค โฆเซลู คาร์โล อันเชล็อตติ คอลัมน์บอล วิเคราะห์บอล
- 969
- 09 พ.ค. 2567 14:55