รถบัสอิตาเลี่ยน ! ไก่ ทำแสบ บุกเจ๊าหงส์ 1-1 ดิอาซ ยิงเซฟ
บุกมาทำแสบใส่ลิเวอร์พูลได้จริงๆสำหรับ ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส ของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่มาเน้นอุดรถบัสสองชั้นแบบเต็มอัตราศึกแล้วแบ่งแต้มจาก แอนฟิลด์ไปได้ ด้วยผลสกอร์ 1-1 ซึ่งช่วงท้ายเกมทีมคลับไก่ มีโอกาสที่จะเก็บ3แต้มออกไปได้ด้วยซ้ำ ซึ่งการเจ๊านัดนี้ไม่เป็นผลดีกับลิเวอร์พูลเท่าไหร่เลยกับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก
เป็นอีกเกมวีคที่ ลิเวอร์พูล มีโอกาสทำแต้มแซงขึ้นนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปก่อน เพื่อสร้างความกดดัน ให้กับลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่จะแข่งทีหลังในวันอาทิตย์กับ นิวคาสเซิ่ล
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามกลิ่นความลำบากของลิเวอร์พูล ในการดวลกับ สเปอร์ส ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่เป่านกหวีดเริ่มเกมแล้ว เมื่อทีมคลับไก่ที่มา โดย อันโตนิโอ คอนเต้ เน้นเกมรับแบบสไตล์อิตาเลี่ยนของแท้ แม้ฟอร์เมชั่นจะมาเป็น 3-4-3 แต่ทว่ายืนจริงเป็น 5-4-1 ได้เลย
สเปอร์ส ที่หวังจะมาเอา1แต้มทำได้ดีสุดๆ เกมรับเต็มเปี่ยมไปด้วยระเบียบวินัยสุดเป๊ะแทบไม่มีความผิดพลาดส่วนบุคคลหรือเกิดอาการลนลานเลย เวลาเจอเกมบุกเป็นคอมโบ ต่อเนื่องของเหล่านักเตะลิเวอร์พูล
จนท้ายที่สุดความอดทนของ ไก่เดือยทอง ก็มาสัมฤทธิผล เมื่อจังวะสวนกลับ แฮร์รี่ เคน ดึงบอลดึงตัวผู้เล่นได้เป็นอย่างดีนหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนไหลออกซ้ายให้ ไรอั้น เซสเซยง ตบ เข้ากลางให้ ซน ฮึง-มิน แทปอินเข้าไปง่ายๆ น.56
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ก็รวมพลังสู้อีกครั้งตามตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่ หลุยส์ ดิอาซ โยกตัดเข้าในซัดด้วยขวาหน้ากรอบเขตโทษ บอลไปแฉลบ โรดริโก้ เบนตากูร์ เปลี่ยนทางเข้าประตูไป น.74
หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาประตูแซง 2-1 แต่ทว่า สเปอร์ส นั้นก็เหนียวเหลือเกิน ระเบียบในเกมรับดีสุดๆ โดยเฉพาะในรายของ คริสเตียน โรเมโร่ ที่ทั้งแข็งแกร่ง อ่านทางดี สกัดบอลเยี่ยม ยังไม่รับวิงแบ็กขวาที่ปรกติรั่วประจำอย่าง เอเมอร์สัน โรยัล ที่องค์ลงไม่มีพลาดเลยในเกมนี้
1แต้ม ดังกล่าวของ ลิเวอร์พูล แม้จะเพียงพอทีทำให้พวกเขาขยับไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราวด้วยแต้มที่เท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (83) แต่ทว่าลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แข่งมากกว่า1นัด หากคืนทีมทัพเรือใบสีฟ้า ไม่พลาดในการเปิดบ้านต้อนรับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จะทำให้ทิ้งห่าง3แต้ม และเพิ่มโอกาสได้เปรียบในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากโข ทีเดียว
ไก่ ที่มาแบบรถบัสสไตล์อิตาเลี่ยน
ซีซั่นนี้จัดได้ว่าเป็นทีมที่ทำแสบใส่ จ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ รองจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล จริงๆ สำหรับ ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส เพราะทีมเรือใบ สเปอร์ส ก็เอาชนะไปได้ทั้ง2นัด ส่วนกับหงส์แดง พวกเขาก็ยันเสมอเอาไว้ได้ทั้ง2นัด
สเปอร์ส มาเยือนถิ่น แอนฟิลด์ ด้วยเจตนารมณ์ชัดเจนนั่นก็คือการเล่นอุดรถบัสสองชั้น รับเต็มรูปแบบเพื่อหวัง1แต้ม จากทีมรองจ่าฝูง เพราะถ้าเปิดหน้าแรกกับลิเวอร์พูล สภาพของพวกเขาคงเละแน่ๆ เมื่อจบ90นาที
ผลเสมอ1-1 เป็นเกมที่บ่งบอกได้ถึงความยอดเยี่ยมแท็กติกเกมรับ ของกุนซือชาวอิตาเลี่ยนได้เป็นอย่างดี สเปอร์ส มาแทบจะยืนในระบบหลัง5 แนวรับของพวกเขาที่โดนคุกคามตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะเป็นการเจาะตรงกลางของ ติอาโก้
หรือการเจาะจากริมเส้นของ หลุยส์ ดิอาซ - โม ซาลาห์ สเปอร์ส ก็ช่วยกันสกัดกั้นได้หมด แนวรับทุกคนเล่นได้ตามแผนแท็กติกของ คอนเต้ จังหวะสุดท้ายในการเข้าทำของทีมเจ้าบ้าน กำแพงมนุษย์สีขาว สามารถเข้าสกัดได้ทันท่วงทีตลอด
แม้จะเล่นเกมรับ แต่ ไก่เดือยทอง ก็ไม่ได้ทิ้งในเรื่องของเกมรุกเลย พวกเขาพยายามสร้างโอกาสสวนกลับ จากการต่อบอลกันไม่กี่จังหวะของเหล่า3ประสานแนวรุกอย่าง แฮร์รี่ เคน - ซน ฮึง มิน และ เดยัน คูลูเชฟสกี้ ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จจาก " โอ๊ปป้า ซน "
ตัวอย่างที่มาเน้นรับแบบไม่คิดชีวิต แต่ผลลัพธ์ก็ไม่รอดทุกรายทั้ง เอฟเวอร์ตัน - บียาร์เรอัล แต่ทว่า สเปอร์ส ภายใต้มันสมองของ คอนเต้ ก็ฉก1แต้มสำคัญจาก แอนฟิลด์ มาได้ พร้อมลุ้นโอกาสในการคว้าตัว ยูซีแอล ต่อไป
นอกจากนี้นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน ยังไม่ประมาทอีกด้วยช่วงท้ายเกม หลังโดนตีเสมอ1-1 คอนเต้ เลือกที่จะถอด วิงแบ็กดาวรุ่งวัย21ปี ออกที่ทั้งติดใบเหลือง และกำลังเจอสถานการณ์ที่กดดันสุดๆออก ให้ ดาวิซอน ซานเชส ลงมาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ พร้อมขยับ เบน เดวิส มาเป็นวิงแบ็กซ้ายแทน
ซาลาห์ ที่แปลกไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการที่ยังคาราคาซังเรืองการต่อสัญญาใหม่เปล่า ทำให้ฟอร์มการเล่น และสถิติการทำประตูตกลงไปจริงๆสำหรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในรอบ2เดือนที่ผ่านมาในพรีเมียร์ลีก
ส่วนหนึ่งนอกจากเรื่องของฟอร์มแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า คู่แข่งเวลาที่ต้องรับมือกับ "บังโม " ก็มักจะประกบเอาตายทุกที ยังไม่ร่วมถึงมีผู้เล่นคนที่ 2หรือ3 มาช่วยซ้อนตลอดด้วย เกมกับสเปอร์ส ก็เช่นกัน
นอกจากที่ปรกติ โดนดาวเตะรุ่นน้องอย่าง ไรอัน แซสเซยง ประกบติดเป็นเงาตามตัว ยังมี เบน เดวิส มารุมอีกรายด้วย สิ่งหนึ่งที่ ซาลาห์ ทำได้น่าผิดหวังในเกมเมื่อคืน คือ ความพยามยามที่จะมุดไปข้างหน้า มากไปหน่อย
เพราะมีบางจังหวะที่บรรดาตัวรุกคนอื่นๆอย่าง หลุยส์ ดิอาซ หรือ ซาดิโอ มาโน่ ว่างอยู่อีกฝั่ง " บังโม " ก็เลือกที่จะลุยไปเองหรือเก็บบอลไว้กับตัวนาน ขนาดแบ็กขวาทีประสานงานกันบ่อยๆอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ยังไม่ค่อยได้บอลตบกลับมาจาก ซาลาห์ เลย
ในระยะ2เดือนหลังสุด ดีที่ลิเวอร์พูล มี ซาดิโอ มาเน่ หรือ หลุยส์ ดิอาซ ที่ร้อนแรงขึ้นมา เพราะ ซาลาห์ เอง 9นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก เจ้าตัวกดไปได้เพียงแค่3ประตูเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องสัญญา ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปรึเปล่า ทำให้กลายเป็นเรื่องที่เจ้าตัวกังวล จนมีผลในสนามในระยะหลังๆ
โรโมเร่ สมราคา กองหลังยอดเยี่ยม เซเรียอา
ตอนย้ายจาก อตาลันต้า มายังเล้าไก่ ใหม่ๆ ฟอร์มหลุดเป็นว่าเลยสำหรับ คริสเตียน โรเมโร่ แถมยังมีช่วงที่บาดเจ็บล้มหมอนนอนเสื่อพักไปอีกด้วย แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม หลังหายเจ็บกลับมา เจ้าตัวก็ได้แสดงให้เห็นว่าทำไมถึงเคยได้รับ รางวัลกองกลังยอดเยี่ยม ของ กัลโช่ เซเรียอา 2020-2021
เกมกับลิเวอร์พูล 3เซ็นเตอร์แบ็กของสเปอร์ส เล่นกันได้ดีทุกคนทั้ง เบน เดวิส - เอริค ดายเออร์ และ คริสเตียน โรเมโร่ โดยเฉพาะในรายของ โรเมโร่ คือหัวใจสำคัญในการยืนระบบหลัง3ของทีมเยือนได้เลย
ลูกอันตรายที่ถูกยัดเข้ามาในเขตโทษเราจะเห็น คริสเตียน โรเมโร่ คือผู้เล่นคนแรกๆ ที่อยู่ตรงนั้นเสมอ ลูกโด่งลูกกลางอากาศโขกสกัดออกมาได้ตลอด แถมยังเข้าบอลฉลาด ไม่กลัวเจ็บจังหวะ50-50 อีกด้วย
เซ็นเตอร์ชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ มีสถิติที่ยอดเยี่ยมหลายอย่างหลังเกมทั้ง ครองบอลบังบอล (ไม่เสียบอล) 9ครั้ง - เคลียร์บอล 8ครั้ง - ชนะการดวล 5ครั้ง - ชนะลูกกลางอากาศ 3ครั้ง - แท็กเกิ้ล 1ครั้ง
ส่วนเซ็นเตอร์อีกคนที่ ก่อนเกมคาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในบ่อน้ำมันของทีมอย่าง เบน เดวิส ก็เล่นได้ดีเกินคาดมากๆ เอาอยู่ในทุกจังหวะ ไม่มีแตกแถว และต้องกระแทกฝ่ามือให้สุดๆกับการพุ่งสุดเหยียด บล็อกลูกซัดของ ซาลาห์ ที่มีโอกาสเป็นประตูสูงมากๆ
เซอร์ไพรส์จากแบ็ก2ข้างไก่
ก่อนเกมจุดที่มีโอกาสสูงที่จะทำให้ สเปอร์ส เพลี่ยงพล้ำหรือโดนทีมเครื่องจักรสีแดงจัดหนักจัดเต็มนั่นก็คือตำแหน่งวิงแบ็ก ฝั่งซ้ายขวา ที่ตัวจริงอย่าง เซร์คิโอ เรกีลอน และ แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ บาดเจ็บและต้องปิดเทอมยาวไปแล้ว
ทำให้ภารกิจฝั่งริมเส้น หน้าที่ตกไปเป็นของ เอมเมอร์สัน โรยัล และ ไรอั้น เซสเซยง ซึ่งแค่เห็นชื่อแฟนไก่เดือยทองก็หวาดเสียอยู่แล้ว เพราะนี่คือแบ็กตัวรั่ว ตัวแจกของทีมอย่างแท้จริง ยิ่งต้องมาเจอเกมเร็วๆทางริมเส้น ของลิเวอร์พูล แล้วช่างน่าหวาดเสียวแทนไม่น้อย
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามฟอร์มของวิงแบ็ก2ข้างสเปอร์สนัดนี้ ต้องบอกว่าดีอย่างเหลือเชื่อ โดย เฉพาะทางฝั่งขวา เอเมอร์สัน โรยัล แทบจะเป็นคนละคนกับที่แฟนบอลไก่เดือยทองรู้จัก ยืนตำแหน่งไม่มีพลาด แถมยังจัดการ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้อย่างยอดเยี่ยมใน45นาทีแรก
ประตูขึ้นนำ1-0ของ สเปอร์ส ก็มีจุดเริ่มต้นจากการวางยาวของ แบ็กชาวบราซิลรายนี้นี่แหละ แถมตลอดทั้งเกมยังเคลียร์บอลจังหวะอันตรายได้ถึง 5ครั้งด้วยกัน ทางฝั่งซ้าย เซสเซยง ก่อนเกมหน้าห่วงมากๆเมื่อรู้ว่าต้องดวลกับ โม ซาลาห์ และ เทรนต์
โอเค ตลอดทั้งเกม แบ็กวัย21ปีรายนี้ เล่นผิดพลาดหลายครั้ง แต่จังหวะสำคัญๆ ทำได้ดีตลอดทั้งการประกบ ซาลาห์ รวมถึงเลือกทำฟาวล์รับใบเหลืองอย่างคุ้มค่ากับการเหยี่ยว ซาลาห์ กับจังหวะกำลังหลุดไปในเขตโทษ
เซสเซยง ผ่านบอลสำเร็จเพียงแค่ 50% แต่ทว่าก็เข้าแท็กเกิ้ลได้ถึง5ครั้ง และที่สำคัญคือเป็นคนใจกว้าง แอสซิสต์ ให้ ซน ฮึง-มิน สำเร็จโทษได้สำเร็จ ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออก น.78 เนื่องจากมีใบเหลืองติดตัว และ เกมกำลังโดนลิเวอร์พูลกดดันสุดๆ
พรีเมียร์อยู่ภายใต้กำมือของ แมนฯซิตี้
ก่อนเกมการนำอยู่1แต้ม ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เรียกว่าแชมป์พรีเมียร์ลีก อยู่ในกำมือชะตาของลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่ทว่าการสะดุดเจ๊าของ ลิเวอร์พูล เมื่อคืน ยิ่งทำให้ทุกๆอย่าง อยู่ในคอนโทรลของตัวเองมากขึ้น
โดยหากคืนนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไปได้ จะทำให้พวกเขาทิ้งห่างลิเวอร์พูล 3แต้ม ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก3นัด เท่านั้น แถมลูกได้เสียปัจจุบัน ซิตี้ ตามหลังอยู่เพียงลูกเดียว
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยช่องว่าง3แต้ม มันก็ยังสามารถมีโอกาสพลิกได้กับ3นัดที่เหลือ ซึ่ง ซิตี้ จะต้องเน้นสุดขีดในพรีเมียร์ลีก เพราะพวกเขาตกรอบไปแล้วทุกรายการทั้ง เอฟเอ คัพ - คาราบาว คัพ รวมไปจนถึ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ซึ่งก็ดูว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเลือกยังไง กับ เส้นทางที่เหลือของฤดูกาล เพราะพวกเขายังมีนัดชิง ชนะเลิศ 2รายการสำคัญ มีโอกาสเช่นกันที่หากแต้มขาดไปกว่านี้ เจเค จะเลือก โรเตชั่นบางตำแหน่งในลีก แล้วเก็บสดไปวัดกันในนัดชิง เอฟเอ คัพ กับ ยูซีแอล
ภาพรวมของลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้ถือว่าทำได้ดีและมาได้ไกลเกินคาดมากๆแล้วกับการลุ้นทำ4แชมป์ แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญหลังจากที่สดุดเจ๊าสเปอร์ส นั่นก็คือรักษาโมเมนตัม ไม่ให้หัวตกในเกมอื่นๆ ก่อนที่จะไปเล่นนัดชิงชนะเลิศกับ เซลซี และ เรอัล มาดริด
- คอลัมน์นิสต์
- 424
- 08 พ.ค. 2565 14:29