หงส์สติแตก ! โดนจิ้งจอกรัวแซงดื้อๆ 3-1
ถ้าใครได้ดูเกมพรีเมียร์ลีกคู่แรกระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ผลลัพธ์หลังสิ้นเสียงนกหวีด90นาที คงน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อ เพราะทางฝั่งเจ้าบ้านเอาชนะทีมเยือนหงส์แดงไปได้แบบสบายๆ 3-1
ก่อนเกมสิ่งที่น่าประหลาดใจคงไม่ใช่การคว้าชัยของลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส สักเท่าไหร่นัก เมื่อด้วยชื่อชั้นศักดิ์ศรี รวมถึงฟอร์มล่าสุดของทีมสุนัขจิ้งจอกไม่ได้เป็นรองอะไรลิเวอร์พูล
แต่ทว่ารูปเกมตลอดเกือบ75นาทีแรกเป็นทางฝั่งของลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ครองเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จหมดจด กดทีม เดอะ ฟ็อกซ์ แบบโงหัวไม่ขึ้นอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนที่จะมาได้ประตูขึ้นนำจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ น.67
ประตูขึ้นนำของสตาร์ชาวอียิปต์แทบจะเป็นการปิดเกม เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ให้ขึ้นมาจากหลุมเลยก็กว่าได้
แต่ทว่านาทีหายนะของลิเวอร์พูลก็มาเยือนเพียงแค่7นาทีระหว่าง นาทีที่78-85 เป็นทางฝั่งเจ้าบ้านที่พลิกแซงและเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3-1
สตาร์ตัวเก่งของทีมทั้ง เจมส์ แม็ดดิสัน - เจมี่ วาร์ดี้ (ที่ได้รับลูกขนส้มหล่นต่อหน้าต่อตา) รวมถึง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ช่วยกันซัดบอลผ่าน อลิสซง เบคเกอร์ คนละเม็ด
ความพ่ายแพ้ของหงส์แดงในนัดนี้ ความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยที่เราเห็นกันจะๆแบบ FUll HD นั่นก็คือการสื่อสารกันที่ผิดพลาดของ โอซาน คาบัค และ อลิสซง เบ็คเกอร์
ทั้งสองออกมาชนกันดื้อๆแบบไม่มีเหตุผล ทำให้บอลเจ้ากรรมไปตกอยู่ตรงหน้า วาร์ดี้ ที่ลากขึ้นไปยิงง่ายๆ พร้อมท่าดีใจโซโล่กีตาร์
รวมถึงนักเตะทีมหงส์แดงที่เหมือนหมดอาลัยตายอยากสติแตก ภาษากายแย่มากๆ หลังจากที่โดนตีเสมอ1-1 จนเครื่องรวนเครื่องช็อตโดนเพิ่มอีก2ลูก จนพ่ายไปในที่สุด
ความพ่ายแพ้ดังกล่าวเสียหายไม่น้อยสำหรับลิเวอร์พูล เพราะหากคู่แข่งในการแย่งท็อปโฟร์ของพวกเขาอย่าง เซลซี เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แอสตัน วิลล่า รวมถึง เอฟเวอร์ตัน เก็บ3คะแนนในโปรแกรมตกค้างที่เหลือได้ จะทำให้ทีมหงส์แดงหล่นมาไกลถึงอันดับ8ได้เลยทีเดียว
ประเดิมเดบิวต์ของคาบัค
กองหลังยืมตัวชาวตุรกีได้ลงสนามให้ลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก และเป็นเกมใหญ่เกมสำคัญเสียด้วย โดย โอซาน คาบัค ได้ยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟร่วมกับ จอร์แดน แฮนเดอร์สัน แทนที่ ฟาบินโญ่ ที่บาดเจ็บไป
45นาทีแรกของแข้งจากชาลเก้ ที่คิงพาวเวอร์ สเตเดี้ยม เมื่อคืนที่ว่าสอบผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
แม้มีจังหวะเหวอจะแจ้งในการปล่อยให้ เจมี่ วาร์ดี้ ไปกระดกบอลผ่าน อลิสซง เบ็คเกอร์ ตกข้ามคานออกไป รวมถึงจังหวะลื่นล้มให้ วาร์ดี้เจ้าเก่า ลากไปยิงชนคาน
บรรดาผู้เล่นแนวรุกของเลสเตอร์ ซิตี้ พยายามที่จะโจมตี โอซาน คาบัค หลายครั้ง แต่ทว่าเจ้าตัวก็ยังยืนตำแหน่ง และอยู่ในแนวที่ไม่ทำให้ทีมเสียเปรียบจากการโดนเล่นงาน
แต่ทว่าวินาทีดวงแตก ผสมกับความผิดพลาดส่วนตัว รวมถึงจังหวะความซวย เข้ามาเยือนพร้อมกันพอดิบพอดี ทั้ง อลิสซง และ คาบัค สื่อสารไม่ให้ซุ่มให้เสียงต่อกันและกัน
จนกลายเป็นช็อตประสานงา อัดกันเองล้มไปกองกับพื้น ทำรถขนส้มหล่นต่อหน้า เจมี่ วาร์ดี้ ลากไปยิงจ่อๆไม่เหลือ
ลูก2-1จะโทษคาบัคฝ่ายเดียวก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะอลิสซง ถ้าไม่ชัวร์จริงๆ ไม่ควรจะออกมาเล่นนอกกรอบเขต แบบไม่ดูตาม้าตาเรือในจังหวะแบบนี้
ประตู 3-1 นี่เป็นการบอกให้เห็นถึงความผิดพลาด เสียสมาธิ แบบจะๆของ แนวรับ20ปี ได้เป็นอย่างดี เมื่อไม่ได้มองตัวที่แอบอยู่ข้างหลังอย่าง ฮาวี่ย์ บาร์นส์ ที่หลุดเข้าไปยิงง่ายๆ
โอเคว่าหนทางยังมีอีกยาวไกลให้กองหลังทีมราชันสีน้ำเงินพิสูจน์ตัวเอง แต่ทว่าการออกสตาร์ทที่ไม่สวยงามอย่างที่คิดแบบนี้
ก็น่าเป็นกังวลไม่น้อยว่าจะทำให้เจ้าตัวสูญเสียความมั่นใจและกู่กลับมาได้ไหม ฝันดี และ ฝันร้าย ในการประเดิมเครื่องแบบสีแดงเพลิง คาบัค เป็นอย่างหลังมากกว่า
อย่าลืม เอ็นดิดี้
แม้ว่าหน้าที่หลักของกองกลางผึ้งงานรายนี้จะไม่ใช่การส่องประตู แม้ว่าเกมที่คิงพาวเวอร์ สเตเดี้ยม เมื่อคืน วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ จะไม่ได้มีชื่อบนสกอร์บอร์ด
แต่ทว่าผลงานตลอด90นาทีเมื่อคืนที่ผ่านมา เราสามารถชูมือให้กองกลางชาวไนจีเรียรายนี้ ได้รับรางวัล ชายแก่งเกม หรือ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ได้เลย
เอ็นดิดิ้ ทำหน้าของตัวเองอย่างอดทน แม้ว่ารูปเกมส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้การคอนโทรลของลิเวอร์พูล
แต่ทว่าการเข้าทำในจังหวะพื้นที่สุดท้ายผู้เล่นแนวรับของเลสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงตัว วิลเฟร็ด เอ็นดิดิ้ ก็ช่วยกันปัดป้องกันได้แทบจะทั้งหมด
การปัดกวาดเช็ดถูบอลอันตรายก่อนเข้าไปในเขตโทษคือสิ่งที่มิดฟิลด์วัย24ปี ทำได้อย่างอดทดยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
โดยเฉพาะการจัดการ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ได้อย่างอยู่หมัด ขัดขวางจังหวะการเล่นของกองกลางชาวสเปนจนทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ก่อนที่งานของ เอ็นดิดี้ จะสมบูรณ์แบบที่สุดนั่นก็คือการจ่ายบอลอ้อมหลัง คาบัค ให้กับ บาร์นส์ หลุดไปยิงลูกตอกฝาโรง 3-1
สถิติสำคัญหลังเกม เอ็นดิดี้
68 สัมผัสบอล
21 การดวลกับคู่แข่ง
19 แย่งบอล
12 ชนะการดวล
6 ชนะลูกกลางอากาศ
5 แท็กเกิ้ล
5 เคลียร์บอล
3 การตัดบอล
3 บล็อคลูกยิง
2 สร้างสรรค์โอกาส
1 แอสซิสต์
ช่วงเวลามหันตภัยของ อลิสซง
ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงแค่1ฤดูกาล จะเปลี่ยนแปลงฟอร์มการเล่นความเหนียวหนึบ และความมั่นใจของ อลิสซง เบคเกอร์ จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้
2นัดหลังสุดจอมหนึบชาวบราซิล มีส่วนร่วมโดยตรงทำให้ทีมเสียประตูถึง3ลูก นัดนี้ลูกที่เจ้าตัวออกมาหวดบอลแบบไม่ดูหน้าดูหลัง
ทั้งที่จังหวะดังกล่าว คาบัค ถึงบอลก่อนแล้วพร้อมที่จะหวดบอลให้พ้นจากวิสัยที่อันตรายแล้ว
การสื่อสารไม่ให้สุ้มให้เสียงหรือให้สัญญาณกันคือสิ่งที่ อลิสซง ผิดพลาดในนัดนี้
อย่างที่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ได้ออกมาวิจารณ์นายด่าน28ปี ว่าสถานการณ์ดังกล่าวผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู ควรออกมาพูดตะโกนสั่งการอะไรบ้าง
แม้จะมีช็อตเซฟจ่อๆจากลูกซ้ำของ เจมี่ วาร์ดี้ แต่นั่นก็ไม่พอจริงๆที่จะให้อดีตนายด่านโรม่ารายนี้ สอบผ่านจากความผิดพลาดเมื่อคืน
ภาษากายรวมถึงสีหน้าของ อลิสซง บ่งบอกได้อย่างดีว่า นี่คือช่วงที่เจ้าตัวฟอร์มหล่นอย่างน่าเกลียดมากที่สุดตั้งแต่ย้ายมาร่วมถิ่นแอนฟิลด์
ไม่ใช่ฝีมือเท้านั้นที่เจ้าตัวทำตกลงไป ความมั่นใจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อลิสซงทำหล่นหายหรือไปวางทิ้งไว้ที่ไหนแล้วไม่รู้
โปรแกรมวันอังคารที่จะถึงของลิเวอร์พูล นั่นก็คือเกมแชมเปี้ยนส์ลีก กับ แอร์เบ ไลป์ซิก ไม่รู้ว่า อลิสซง เบคเกอร์ จะสลัดฝันร้ายนั้นออกไปได้หรือเปล่า
ถ้าหากมีส่วนหรือก่อความผิดพลาดอีกจังๆอีกหน อาจส่งผลโดยตรงให้ลิเวอร์พูล น้ำตาตก ตกรอบบอลถ้วยหูใหญ่ และโบกมือบ๊ายบายหมดลุ้นแชมป์ในทุกๆรายการอย่างเป็นทางการได้เลย
แม้สถานการณ์ไม่เป็นใจแต่บีร็อดก็ทำได้
ก่อนเกมดังกล่าว เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องเจอกับข่าวร้ายเมื่อ เจมส์ จัสติน แบ็กฟอร์มแจ่มที่เล่นได้ทั้งสองฝั่ง มีการอาการบาดเจ็บจากเกม เอฟเอ คัพ จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้า และปิดเทอมใหญ่พักร้อนไปก่อนเพื่อน
ส่วนแบ็กตัวใหม่ที่พึ่งซื้อเข้ามาอย่าง ทีโมธี คาสตานเญ่ ก็ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถลงเล่นได้ นัดนี้จึงจำเป็นให้บีร็อด ต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน
กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือแก้ไขโดยการ โยกเอา ริคาร์โด้ เปย์เรร่า มาเล่นตำแหน่งแบ็กซ้ายฝั่งที่ไม่ถนัด
รวมถึงตัดแต่งพันธุกรรรมให้ ดาเนี่ยล อมาร์ตี้ ที่เล่นได้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ และกองหลัง มาเล่นขัดตราทัพในตำแหน่งแบ็กซ้าย
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆเลยก็คือทั้งดาวเตะชาวโปรตุเกสและกาน่า เล่นกันได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติเลย
เพราะด้วยไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด ดูเก้งๆกังๆ มีจังหวะหลุดๆให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ คอยตอดเล่นงานอยู่เป็นระยะๆ
เกมรุกทางฝั่งฟูลแบ็กที่เคยเป็นจุดเด่นของทีมจิ้งจอกสยาม ไม่มีพิษสงให้เห็นเลยในนัดนี้
แต่ทว่าเกมรับทั้ง เปย์เรร่า และ อมาร์ตี้ ก็ช่วยกันทำหน้าที่ได้อย่างดี แม้หลายๆจังหวะจะดูไม่น่ารอด และสุ่มเสี่ยงต่อการทำเสียจุดโทษก็ตาม
ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ อย่างน้อย ร็อดเจอร์ส ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเองสามารถแก้วิกฤติดังกล่าวได้ ในยามที่ต้องถูกกดให้เล่นเกมรับลูกทีมของเขาก็ผนึกกำลังเล่นกันได้อย่างเหนียวแน่นแข็งแกร่ง
โควตา ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ที่หลายคนมองว่าทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินจะแผ่วและกดดันตัวเอง น่าจะไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิดแล้วสิ
คล็อปป์ตัวเต็งโดนปลด และปัญหาที่ยังเรื้อรัง !
หากใครไปบอกบอกเมื่อช่วงเปิดฤดูกาลใหม่ๆว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2021 เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นเต็งหนึ่งของกุนซือในพรีเมียร์ลีกที่จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง
ผู้พูดคนนั้นคงถูกมองว่าบ้า เหลือไม่ก็เพี้ยนหนักไปแล้ว แต่ ณ วินาทีนี้ สิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้หรือห่างไกลจากความเป็นจริงมากๆ
เพราะลิเวอร์พูล ต้นฤดูกาลไม่ได้ใกล้เคียงที่จะฟอร์มหลุดหรือสถานการณ์ที่โคม่าในตอนนี้เลย
บวกกับการได้ ดิโอโก้ โชต้า รวมถึง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ทำให้ทีมดูสมดุลและมีขุมกำลังที่หลากหลายในเชิงรุกมากขึ้น
แต่ทว่าสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ ก็เกิดขึ้นแล้ว ณ ตอนนี้ แต่ครั้นจะโทษคล็อปป์ฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะนี่คือสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดนับตั้งแต่กุนซือชาวเยอรมันข้ามารับหน้าที่นายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์
อาการบาดเจ็บของ คู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟตัวจริงอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ ทำให้ทีมหงส์แดงรวนไปทั้งระบบ
เพราะการขยับเอา จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มาเล่นเซ็นเตอร์ฮาร์ฟ ทำให้ขุมพลังในแดนกลางของทีมลดน้อยถอยลงเป็นอย่างมาก
ส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงแดนหน้าและแดนหลัง อาการบาดเจ็บในฤดูกาลนี้ เข้ามาแวะเวียนทักทายกับนักเตะหงส์แดงแทบทุกคน
นับมาจนถึงตอนนี้ คู่เซ็นเตอร์ ระหว่าง เฮนเดอร์สัน กับ คาบัค คือคู่เซ็นเตอร์คู่ที่13เข้าให้แล้วของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้
พอจะเห็นภาพชัดเจนไหมละว่า ปัญหาตั้งต้นเรื้อรังที่เป็นเหมือนก้อนเนื้อร้าย ที่คอยกัดกินผลงานที่เคยยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล คือจุดเริ่มต้นจากตรงไหน ?
- คอลัมน์นิสต์
- 499
- 14 ก.พ. 2564 18:51