ผีรากเลือด ! แม็คทอม โขกหาย 1-0 เขี่ย วิลล่า ตกรอบ
แม้จะผ่านเข้ารอบไปได้ แต่ทว่าก็เป็นผลงานภาพรวมตลอดทั้งเกมน่าอดสูไม่น้อยสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พึ่งเปิดบ้านเฉือน แอสตัน วิลล่า 1-0 เขี่ยทีมของ สวีเว่น เจอร์ราร์ด ตกรอลไป จากประตูโทนลูกเดียวตั้งแต่ตั้นเกม ของ สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ น.8
ก่อนเกม ราล์ฟ รังนิก ถือว่าเลิกดื้อยึดติดยึดมั่นกับระบบ 4-2-2-2 ด้วยการกลับมาเล่นในระบบที่พวกเขาคุ้นเคยอย่าง 4-2-3-1 แต่ทว่าเมื่อนักเตะลงไปวาดเพลงแข้งในสนามแล้ว พวกเขากลับโชว์ฟอร์มไม่เอาอ่าวเหมือนเดิม (ดีขึ้นมานิดหน่อย)
ภาพที่เราเห็นจนชินตาสำหรับทีมปีศาจแดงใน คศ.นี้ นั่นก็คือ เกมในแดนกลางที่ไม่สามารถคอนโทรลได้ ทั้ง เฟร็ด และ สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ โอเค อาจจะได้ในเรื่องของความขยันวิ่งพล่านไม่มีหมด แต่ทว่าในเรื่องของเหลี่ยมบอลเชิงบอล คลาสในการเล่นนั้นสอบตกทั้งคู่
ห้องเครื่อง วิลล่า อย่าง จอห์น แม็คกวิน และ ดั๊กลาส หลุยส์ ครองเกม บดบี้ จ่ายบอลขึ้นหน้าได้เหนือกว่าคู่หูของทีมเจ้าบ้านอย่าง "แม็คเฟร็ด " ชัดเจน ด้วยประการทั้งปวง
เกมในช่วง45นาทีหลังเรียกได้ว่าเป็นทางฝั่งลูกทีมของ "สตีวี่จี " ที่โขยกเข้าใส่อยู่ข้างเดียว มีโอกาสส่องประตูหลายหนแต่ทว่าพวกเขาไม่เฉียบคมมากพอ หรือรวมไปจนถึงขาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โชคร้าย โดนจับล้ำหน้าโดย VAR ไปก่อนกับทั้ง จาค็อบ แรมซี่ย์ และ โอลลี่ วัตกิ้นส์
ก่อนที่ปีศาจแดงจะมาหายใจโล่งคอขึ้นตั้งแต่ในช่วงนาทีที่ 80เป็นต้นไป เนื่องจากเหมือนผู้เล่นทีมเยือนชักจะหมดแรง รวมไปจนถึงแข้งที่ถูกเปลี่ยนลงมาใหม่อย่าง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค และ แอนโธนี่ย์ เอแล็งก้า ดูจะมีพลังและวูบวาบพอสมควร
จบเกมแม้พลพรรคปีศาจแดงผ่านเข้าไปเล่นรอบ4ได้ และจะต้องพบกับงานเบาเปิดโรงละครแห่งความฝัน ต้อนรับทีมใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์
แต่ทว่าเมื่อดูจากฟอร์มการเล่นที่กระท่อนกระแท่นเมื่อคืน ต้องบอกได้เลยว่า " น้าลาบ รังสิต " มีการบ้านกองโตเท่าภูเขาเลยทีเดียวสำหรับภารกิจ ลุ้นจบท็อปโฟร์
ส่วน แอสตัน วิลล่า ของ เจอร์ราร์ด ถึงแม้จะยังฟอร์มทรงการเล่นดีอยู่ แต่นี่คือความพ่ายแพ้3นัดติด รวมทุกรายการของพวกเขาแล้ว รวมไปจนถึงในเอฟเอ คัพ นี่เป็นการตกรอบ3 รายการนี้ติดต่อกันเป็นหนที่ 6เข้าให้ นับตั้งแต่ปี2017
คอมโบ แม็คเฟร็ด
เกมนี้ประตูชัยของทีมปีศาจแดงก็มาจากคู่หูนรกแตกในแดนกลางของแฟนผีรายนี้นี่แหละ เมื่อ เฟร็ด ที่นานๆที่จะครอสบอลแม่น ได้เปิดบอลด้วยซ้ายไปเข้าหัว สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ โขกตูมเดียวกดลงพื้นเสียบตาข่าย
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามภาพรวมของเกม สองมิดฟิลด์ชาวบราซิลและสก็อตแลนด์รายนี้ ก็แพ้ คู่ของทีมเยือนอย่าง ดั๊กลาส หลุยส์ และ จอห์น แม็คกวิน อย่างสั้นเชิง ทั้งในเรื่องของการครอบครองบอล คุมเกม การจ่ายบอลทะลุไปข้างหน้า รวมไปจนถึงทักษะความคล่องแคล่วส่วนตัว
เจ้าหนูแม็คทอม แม้จะมีส่วนผิดพลาดเช่นกันในบทบาทการเป็นผู้เล่นมิดฟิลด์ที่ดี แต่ทว่าอย่างน้อย เจ้าตัวก็เป็นผู้เล่นที่โขกประตูพาทีมเข้ารอบ ยังมีความโดดเด่นให้เห็นบ้างในเรื่องของความแข็งแกร่ง แรงปะทะ
แต่สำหรับคู่หูอย่าง เฟร็ด แล้ว นอกจากจังหวะเท้าชั่งทองแอสซิสต์ แข้งบราซิลเสิ่นเจิ้นรายนี้ ก็แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
ยังคงคอนเซ็ปต์เฟร็ดผ่านตลอดในแดนกลางเสมอ แถมยังทำบอลเสียง่ายๆ ไม่สามารถควบคุมเกมในแดนกลางให้นิ่ง จ่ายบอลจากกลางไปหน้าไม่ให้ทีมได้เปรียบเลย
ผู้เล่นแดนกลางมาตั้งแต่ยุคน้าโอเล่ ก็ดูเหมือนจะยังเป็น เฟร็ด กับ แม็คโทมิเน่ย์ มาตลอด ซึ่งนานๆทีจะเล่นดีหน หรือ2-3เดือนจะมีร่างทองมาเข้าสิง
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไม ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค อดีตแข้งที่เคยมีชื่อเข้าชิง บัลลงดอร์ ถึงไม่ได้รับโอกาสก่อนคู่หู "แม็คเฟร็ด "เลย และนั่นก็เป็นปริศนา มาจนถึงวันนี้
ยุค รังนิก เสียประตูน้อยลง แต่ความผิดพลาดยังมีให้เห็น
แม้จะเปลี่ยนจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มาเป็น ราล์ฟ รังนิก แต่ปัญหาความผิดพลาดความหละหลวมในแนวรับยังมีให้เห็นเหมือนเดิมสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็นทั้งในตำแหน่ง เซ็นเตอร์ และแบ็กซ้าย -ขวา
ยูไนเต็ด ในยุคของน้าราล์ฟ 7นัดผ่านไป พวกเขา เสียไปเพียงแค่ 4ประตู และรักษาไปได้3คลีนชีต มองในแง่ตัวเลขถือว่าสถิติดี แต่ทว่ารายอะเอียดต่างๆในเกมบอกได้เลยว่าเต็มไปด้วยความผิดพลาด
แมตช์กับสิงห์ผงาดเมื่อคืนก็เช่นกัน หากผู้มาเยือนมีวิญญาณเพชรฆาตความเฉียบคมมากกว่านี้ พวกเขาสามารถจะเขี่ยปีศาจแดงตกรอบ3ไปได้เลย เพราะพวกเขาส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้2หน แต่ทว่าถูกจับเป็นจังหวะลำหน้าไปเสียก่อน
โดยในช่วงครึ่งแรก วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ เกือบทำรถขนส้มหล่นหน้าบ้าน เมื่อจับบอลลูกโด่งไม่ดีแล้วโดน โอลลี่ วัตกิ้นส์ ฉกเข้าไปหักมุมยิงในเขตโทษ แต่ทว่าเดชะบุญที่บอลไปชนคานออกหลังไป
ที่เล่นพอใช้ได้สุดๆในแผงหลังเห็นทีจะเป็น ราฟาเอ วาราน แม้จะเชื่องช้าจนน่าหวาดเสีย แต่ทว่าการอ่านทางบอล ตัดบอลยังทำได้น่าประทับใจ ส่วน ลุค ชอว์ เกมนี้แทบไม่มีอะไรโดดเด่นให้เห็น เล่นเกมรับมีหลุดให้เห็นบางจังหวะ แต่ก็น่าหวาดเสียวตรงที่ระยะหลัง กลายเป็นนักเตะขาโหดไปแล้ว เพราะโดนใบเหลืองบ่อยเหลือเกิน
ทางด้าน ดิโอโก้ ดาโลต์ แม้จะทำให้ไม่ดีมาก เข้าขั้น ความชั่วไม่มีความดี ไม่ปรากฎ แต่ภาพรวมเมื่อได้ลงสนาม ต้องบอกว่าแบ็กแดนฝอยทองรายนี้ ดูดีกว่า อารอน วาน-บิสซาก้า
ถ้าหาก วิลล่า เฉียบคมกว่านี้
แม้จะแพ้ตกรอบ แต่รายละเอียดในเกม เรียกได้ว่าลูกทีมของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทำได้ไม่เลวเลย ต่อบอล เซ็ตเกม มีทีมเวิร์คมากกว่าทีมเจ้าบ้านด้วยซ้ำ ทั้งเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่มากกว่า 57 ต่อ 43 รวมถึงโอกาสทำประตูที่มีถึง10ครั้ง
บรรดาเหล่าผู้เล่นในแนวรุกอย่าง เอมิเลียโน่ บูเอ็นเดีย - แดนนี่ อิงส์ -จาค็อบ แรมซี่ย์ สร้างความปวดหัวให้แนวรับปีศาจแดงได้ทุกคน
แต่ทว่าก็โชคร้ายไปหน่อยที่ 2ประตู ที่พวกเขาส่งบอลผ่าน ดาบิด เด เคอา ได้ เป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน ที่น่าเสียดายสุดๆคงจะเป็นช่วง45นาทีแรกที่ โอลลี่ วัตกิ้นส์ เก็บลูกเหวอของ ลินเดอเลิฟ ล็อกไปยิงในเขตโทษ แต่ทว่าเน้นเกินไปซัดชนคานออกหลัง
สิงห์ผงาดที่ดูดีขึ้นมาในยุคของ สตีวี่จี ดูเหมือนพวกเขาจะยังมีปัญหาในแดนหน้าพอสมควรเพราะ ผ่านมาครึ่งทางของฤดูกาล ทีมดังแถบมิดแลนด์ พึ่งจะมีดาวซัลโวประจำทีมรวมทุกรายการ นั่นก็คือ วัตกินส์ ที่กดไปได้เพียง 5ประตู เท่านั้น ส่วน แดนนี่ อิงส์ ด้วยอาการเดี้ยงต่างๆทำให้พึ่งหวดไปได้แค่ 4ตุง
ส่วนผู้เล่นกำลังหลักสนับสุนุนในแนวรุกที่ซื้อมาใหม่อย่าง เอมิเลียโน่ บูเอ็นเดีย (1ประตู) ลีออน เบลี่ย์ (1ประตู) ก็ดูจะยังไม่ตอบแทนเม็ดเงินที่หวานรวมกันไปกว่า 60ล้านปอนด์ สักเท่าไหร่
ต้องรอดูว่า การย้ายเข้ามาแบบยืมตัวของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ จะมีอิมแพค ต่อเกมรุกมากขนาดไหน
วิลล่า ไม่ถูกโฉลก เอฟเอ คัพ เหมือนพี่ เจิดจะแผ่ว
สมัยก่อน แอสตัน วิล่า จัดได้ว่าเป็นเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ ได้เลยเพราะพวกเขาผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษรายการนี้ไปได้ถึง 7สมัย แต่อนิจจาแชมป์หนสุดท้ายต้องย้อนไปไกลถึงปี 1957 หรือ 65ปีที่แล้วเลยทีเดียว
โดยความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบเอฟเอ คัพ รอบ3คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ที่น่าแปลกใจคือ นี่คือการตกรอบ3 เป็นครั้งที่ 6ติดต่อกันแล้วของ แอสตัน วิลล่า
ส่วนผลงานของทีม นี่ก็เป็นการแพ้3นัดรวมแล้วของพวกเขา ถัดจากเกมกับเซลซี (1-3) และ เบรนท์ฟอร์ด (1-2) โอเคว่าทรงบอลของพวกเขาจะดีขึ้นหากเทียบในยุคของ ดีน สมิธ แต่ทว่าด้วยการเล่นในสไตล์ที่ใช้กำลังมากๆ ก็ทำให้วิลล่า แผ่วโดนคู่แข่งเจาะตาข่ายช่วง15นาทีท้ายเช่นกัน
ต้องดูการเสริมทัพด้วยว่า พวกเขานอกจาก " คูตี้ " วิลล่า จะได้ใครเข้ามายกระดับทีมบ้าง ที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ก็มี อีฟส์ บิสซูม่า ของไบร์ทตัน และ ลูก้า ดีญ ของ เอฟเวอร์ตัน
ผลงาน วิลล่า ในเอฟเอ คัพ รอบ3 (6ปีหลังสุด)
แพ้ (เยือน) สเปอร์ส 0-2
แพ้ (เหย้า) ปีเตอร์โบโร่ 1-3
แพ้ (เหย้า) สวอนซี 0-3
แพ้ (เยือน) ฟูแล่ม 1-2
แพ้ (เหย้า) ลิเวอร์พูล 1-4
แพ้ (เยือน) แมนฯยูไนเต็ด 0-1
แรชฟอร์ด คุณจะเป็นนักบอลหรือนักการเมือง
ดูเหมือนเรื่องนอกสนามจะเป็นจุดโฟกัสสำคัญมากกว่าผลงานในสนามเสียแล้วสำหรับ มารคัส แรชฟอร์ด เมื่อช่วง 1-2ปีที่ผ่านมา ดาวเตะผู้ถูกขนานนามว่าเป็นแข้งใจบุญรายนี้ ผลงานย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่อง
ดาวเตะหมายเลข10ของปีศาจแดงรายนี้ ตกเป็นข่าวเรื่องการทำบุญหรือเรียกร้องสิทธิอะไรต่างๆจากรัฐบาล ให้เด็กยากไร้ขาดแคลนอยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่าเมื่อเจ้าตัวปรากฎตัวผ่านสื่อ ได้รับการยกย่องผ่านสื่อมากๆ ฟอร์มในสนามก็เหมือนจะจมดิ่งจนกู่ไม่กลับ
เกมเมื่อคืน กับ วิลล่า ก็เป็นอีกครั้งที่ " แรชชี่ " โชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวัง เป็นหนังม้วนแผ่นฟิล์มเดิม แทบจะไม่ต้องดูเกม ก็สามารถอนุมานได้ว่า ความผิดพลาดต่างๆ จะมาในรูปแบบไหนบ้าง เลี้ยงติด - จังหวะนรก - หวงบอล -จ่ายบอลเสีย - ทำบอลเสียง่ายๆ
มีจังหวะหนึ่งในครึ่งหลังที่ เมสัน กรีนวู๊ด ได้หลุดไปยิงทางฝั่งขวา เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ เซฟออกมา แต่ทว่า เราไม่เห็น มาร์คัส แรชฟอร์ด กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเข้าไปซ้ำเลย เดินหมดแรงซังกะตายซะงั้น
นอกจากฟอร์มจะไม่เอาอ่าวเรียกเสียงกร่นด่าแล้ว ภาษากายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ แรชฟอร์ด ต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน เพราะนั่นแสดงทัศนะคติการเล่นที่ ไม่พัฒนาของเจ้าตัวสักที จนอดีตกองหลังแมนฯยู อย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ มาจวกช่วงหนึ่ง
มาร์คัส แรชฟอร์ด อายุปาเข้าไป24ปีแล้ว คงไม่อยากเป็นดาวรุ่งตลอดกาล 11นัดหลังสุดที่ลงสนาม ดาวเตะลูกหม้อรายนี้เท้าบอดสนิท
ยิ่งเมื่อเทียบกับดาวรุ่งชาวอังกฤษที่โผล่ขึ้นมาในระยะหลังอย่าง เอมิล สมิธ-โรว์ / ฟิล โฟเด้น / เมสัน เมาท์ / บูกาโย่ ซาก้า เรียกได้ว่าทิ้งแรชฟอร์ด ไปไกลพอสมควรทั้ง ฝีเท้า และ ทัศนคติในการเล่น
- คอลัมน์นิสต์
- 549
- 11 ม.ค. 2565 14:21