ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ! แดงเดือด หงส์ ยำผีสนุก 4-0 บังโม เหมาเบิ้ล
กลายเป็นแดงเดือดที่ไม่เดือดอีกต่อไปแล้วสำหรับ สองทีมคู่แค้นตลอดกาลกันอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งในระยะหลังกลายเป็นพลพรรคหงส์แดงที่ข่มโชว์ฟอร์มได้อีกว่าชัดเจน และหนนี้ Red War ดึกคืนวันที่ 19 เมษายน ก็เช่นกัน เป็นลิเวอร์พูล ที่เอาชนะไปได้อย่างหมดจด 4-0 เหนือกว่าทั้งรูปเกมและสกอร์
ยกแรกของแดงเดือดฤดูกาล 2021-2022 นี้ เป็นทางฝั่งลิเวอร์พูล ที่บุกไประเบิดโถส้วม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สุดๆด้วยสกอรร์มโหฬาร 5-0 ยกสองที่แอนฟิลด์ ผลลัพธ์ ก็แทบไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่ ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถล่มไปอีก ที่แอนฟิลด์ 4-0
หน่วยล่าตาข่าย3ประสานแนวรุกตัวจริงของลิเวอร์พูล อย่าง หลุยส์ ดิอาซ - ซาดิโอ มาเน่ รวมไปจนถึง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทำประตูได้ โดยเฉพาะ " บังโม " ที่ฝืดมานาน ก็กลับมาลั่นสกอร์ได้สำเร็จ
เกมนี้แม้จะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรียังไง แต่ทว่ารูปเกมในสนาม ทางฝั่งของ ยูไนเต็ด สู้ไม่ได้ ไร้รูสู้ทุกกระบวนท่า เพราะจบช่วง 45นาทีแรก ที่ตามหลังอยู่ 0-2 สถิติฟ้องออกมาว่า พวกเขาไม่มีโอกาสจบสกอร์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
โดยแผนรถบัส กองหลัง3ของ ราล์ฟ รังนิก ที่กะมาอุดจอดหน้าประตูตัวเอง กลับโดนเจาะยางแตก เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดผ่านไปเพียงแค่5นาทีเท่านั้น จากความประมาท ยืนตำแหน่งฉายภาพซ้ำของผู้เล่นในเกมรับ ที่ยืนกันหลวมชนิดรถสิบล้อยังวิ่งผ่านได้
ส่วนผู้เล่นที่ทำตัวน่าผิดหวังสุดขีดยังคงเป็นกลุ่มนักเตะหน้าเดิมๆทั้ง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ - ดิโอโก้ ดาโลต์ - อารอน วาน บิสซาก้า - มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เนมานย่า มาติช จะบอกว่าห่วยทั้งทีมเลยก็ว่าได้ แต่ทว่ารายชื่อที่กล่าวมาเหล่านี้ ออร่าความไม่ได้เรื่องเด่นกว่าใครเพื่อน
ลิเวอร์พูล ออกแรงราวๆ 60-70 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นก็สามารถปราบทีมคู่ปรับตลอดกาลได้อย่างอยู่หมัด เรียกได้ว่า11ผู้เล่นตัวจริงของทีม ไม่ได้ก่อความผิดพลาดอะไรเลย ทำได้ตามแผนหน้าที่ของตัวเอง โดยเฉพาะในแดนกลางรายของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่กวาดกินเรียบอย่างหมดจรด ออกบอลสั้นยาว แจกจ่ายบอลแต่ละทีได้ผลตลอด
3แต้มดังกล่าวทำให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก มีอยู่76แต้ม จาก32นัด ทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2แต้ม แต่ทว่าแข่งมากกว่าทีมเรือใบ1นัด ส่วน ปีศาจแดง การปราชัยหนนี้ ทำให้โอกาสในการจับอันดับ4 ยูซีแอล กลับไปมืดมนอีกครั้ง ทั้งที่ตอนแรกพอจะกลับมามีแสงความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะชีวิตสำคัญกว่า แฟนหงส์ให้เกียรติ โรนัลโด้
ก่อนแดงเดือดหนนี้จะเริ่มต้น กูรูนักวิเคราะห์หลายคนก็มองไปในทิศทางเส้นตรงเดียวกันว่า ลิเวอร์พูล จะเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แบบไม่ยากเย็นนัก ทั้งด้วยฟอร์มการเล่น สภาพจิตใจ ความกระหาย ทุกอย่างเอนเอียงไปทางทีมเครื่องจักรสีแดงหมด
บวกกับ แมนฯยูไนเต็ด ก็แสดงให้เห็นถึง ความเปื่อยยุ่ยเป็นกระดาษทิชชู่ ในแนวรับเกมกับ นอริช ซิตี้ ที่เป็นทีมบ๊วยที่ยิงประตูได้น้อยสุดในพรีเมียร์ลีก ยังอุตส่าห์ทะลวงตาข่ายแนวรับปีศาจแดงได้ถึง2เม็ดด้วยกัน
ก่อนเกมเริ่มต้นมีนักเตะหลายบาดเจ็บไม่พร้อมลงสนามกันทั้ง เฟร็ด - สก็อต แม็คโทมิเน่ย์ - ราฟาเอล วาราน - ลุค ชอว์ -รวมไปจนถึง เอดิสัน คาวานี่ ส่วน บรูโน่ แฟร์นันเดซ ก่อนแข่งก็มีอุบัติเหตุรถชน เคราะห์ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ส่วนที่หนักหนาที่สุด คงจะเป็น การขาดหายไปของผู้ที่พอจะเป็นความหวังของทีมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ต้องใจสลายกับการสูญเสียลูกชาย (แฝด) ไประหว่างการคลอด ทำให้สตาร์ชาวโปรตุเกสรายนี้ ไม่พร้อมที่จะลงสนามในเกมแดงเดือด
แม้จะเคยออกลูกเกเรไปเตะ เคอร์ติสต์ โจนส์ ดื้อๆ ในศึกแดงเดือดยกแรกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่ทว่า เพราะชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใด แฟนบอล เดอะ ค็อปป์ นั้นเข้าใจดี เลยแสดงความให้เกียรติกำลังใจ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ด้วยการปรบมือพร้อมกันทั้งสนาม น.7 เพื่อส่งกำลังให้ ดาวเตะวัย37ปีรายนี้ ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตให้ได้
ดิอาซ ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวกับลีกอังกฤษ เยอะ
ปีกชาวโคลัมเบียที่เก็บกระเป๋าย้ายจากลีกโปรตุเกส มายังเวทีพรีเมียร์ลีก เมื่อช่วงตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมา ด้วยค่าตัวรวมออปชั่นต่างๆ แตะหลัก50ล้านปอนด์ ถูกตั้งคำถามอยู่ไม่น้อยว่าจะคุ้มค่าตัว หรือปรับตัวให้เข้ากับลีกสุดโหดเมืองผู้ดีได้รึไม่
ระยะเวลาไม่ถึง 4เดือนเต็ม หลุยส์ ดิอาซ สามารถเล่นกันได้เข้าขากับบรรดาแนวรุกรายอื่นๆของทีมอย่างไม่ขัดเขินทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ - ซาดิโอ มาเน่ - ดิโอโก้ โชต้า รวมไปจนถึง โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่
เรียกได้ว่ามาทีหลังเพื่อน แต่ระดับความห่างในฝีเท้า รวมถึงการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม ไม่ได้เป็นรองเท่าไหร่เลย เกมแดงเดือดเมื่อคืนก็เหมือนกัน ประจักษ์จากผลงานอันเป็นรูปธรรม 1ประตู 1แอสซิสต์
ดิอาซ ไม่มีปัญหาอะไรต้องหนักใจเลยในการดวลกับ อารอน วาน -บิสซาก้า แถมยังมีส่วนให้แบ็กฉายา "ไอ้แมมมุม " รายนี้เล่นได้ประหม่าสุดๆ เวลาเล่นเกมรับ หรือเวลาที่ต้องเติมเกมรุกก็ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเช่นเคยฉายภาพซ้ำ
แม้ว่าจะเข้ามาร่วมถิ่นแอนฟิลด์ ไม่ถึงครึ่งฤดูกาลแต่ ดาวเตะเบอร์23รายนี้ กลับทำตัวเหมือนอยู่กับทีมมาหลายปีซะงั้น จังหวะการรับส่งจ่ายบอล วิ่งหาช่องว่างนั้นก็แทบจะมองตารู้ใจเพื่อนร่วมทีมเป็นอย่างดี
ปีกวัย25ปีรายนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ระยะเวลาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเจ้าตัวกับลิเวอร์พูลเลย 4ประตู กับอีก2แอสซิสต์ รวมถึงอิมแพคภาพรวมกับเกมรุกต้องบอกว่าสอบผ่านฉลุย ไม่ต้องปรับตัว ฉีกซอง เทใส่น้ำร้อน รับประทานได้เลย หลุยส์ ดิอาซ
ซาลาห์ สลัดฝืด เพิ่มสถิติยิงผี
ระยะหลัง1-2เดือน แม้ว่าภาพรวมการเล่นจะไม่ได้แย่อะไร แต่ในเรื่องของการผลิตสกอร์ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็มีฝืดไปดื้อๆเหมือนกัน เพราะ " บังโม " ทำประตูแบบโอเพ่นเพลย์ ไม่ได้มา 6นัดติดต่อกัน
ประตูจากลูกโอเพ่นเพลย์หนสุดท้าย ต้องย้อนไปไกลถึงเกมกับ นอริช ซิตี้ 19 กุมภาพันธ์ เลยทีเดียว แต่ทว่าอยางไรก็ตาม ถึงคิวที่ต้องปลดล็อคความอัดอั้นดังกล่าว ก็มาลงล็อคกับศึกแดงเดือดพอดี ด้วยผลลัพธ์ 2ประต 1แอสซิสต์ พร้อมขยับนำโด่งเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 22ลูก
ประตูจ่ายแอสซิสต์ลูกแรก 1-0 ตั้งแต่นาทีที่5 นั่นเป็นการเปิดเขื่อนทำนบแตกแนวรับของยูไนเต็ด อย่างแท้จริง รวมถึงประตูปิดท้าย4-0 ที่เหมือนจะเป็นซิกเนเจอร์ของ " บังโม " ไปแล้วกับการยกบอลข้ามตัวผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม
ซาลาห์ มีสถิติที่ยอดเยี่ยมในเกมแดงเดือดทั้งสองยกในฤดูกาลนี้ กับผลงาน 5ประตู 2แอสซิสต์ สัมผัสบอล 128ครั้ง - โอกาสยิง 11 - ยิงเข้ากรอบ6 และสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนร่วมทีม3ครั้ง
โดยแข้งชาวอียิปต์รายนี้ ทำสถิติซัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้แล้วถึง9ประตู นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2017 ทำสถิติเทียบเท่ากับดาวเตะระดับตำนานอย่าง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ที่อยู่กับทีมชุดใหญ่มายาวนาน 17ปี
ติอาโก้ ซีซั่น2 มาสเตอร์คลาส
ซีซั่นแรกของกับลิเวอร์พูล 2020-2021 ถือว่าน่าผิดหวังเล็กๆเหมือนกันสำหรับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เพราะเจ้าตัวยังเหมือนจะจับจังหวะการเล่นกับฟุตบอลอังกฤษไม่ได้เต็มที่ แถมยังใช้เวลาบางส่วนไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บ
แต่ทว่าในฤดูกาลนี้ 2021-2022 นี้คือฟอร์มร่างทองของ ติอาโก้ ในแบบฉบับที่อยู่กับทั้ง บาเยิร์น มิวนิค และบาร์เซโลน่า เลยก็ว่าได้ ลิเวอร์พูล ได้แผงมิดฟิลด์ที่ลงตัวกลมกล่อมสุดๆทั้ง ติอาโก้ - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่
เกมแดงเดือดเมื่อคืน กองกลางชาวสเปนรายนี้ เดินเล่นชิวเหมือนอยู่สวนหลังบ้านได้เลย เพราะแผงมิดฟิลด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถคุกคามอะไรลิเวอร์พูลได้ โดยเฉพาะในรายของ เนมานย่า มาติช ที่ทั้งอืดและเชื่องช้า
ไม่ว่าจะจ่ายบอลยาว สั้น ลูกบนพื้น ลูกโด่ง ติอาโก้ ทำได้เนียนกริบรายกับจับวาง ดึงจังหวะได้หมดว่า เพลย์การเล่นไหน ควรออกบอลเร็ว หรือช้า จ่ายบอลวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยม เล่นเอาชนิดที่บางช็อตเพื่อนร่วมทีมก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
ห้องเครื่องวัย31ปีรายนี้ มีเปอร์เซ็นต์ความแม่นยำในการผ่านบอลสูงถึง96% - ผ่านบอลมากถึง 105ครั้ง - ชนะการดวล7ครั้ง - สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อน 3ครั้ง - เลี้ยงบอลผ่าน3หน
นอกจากนี้เรื่องของเกมรับ อัลกันตาร่า เห็นตัวไม่ได้สูงใหญ่มาก แต่ก็มีจังหวะบู๊จังหวะลุยกับเขาครบเหมือนกัน ทั้งเข้าแท็กเกิ้ล ได้3ครั้ง และ ตัดบอลได้2ครั้ง โดยตำนานกองหลังอย่าง เจมี่ คาราเกอร์ ได้ออกมาชื่นชม ติอาโก้ เมื่อคืนนี้ว่า นี่เป็นฟอร์มที่ดีสุดของ ติอาโก้ ที่แอนฟิลด์ เลยทีเดียว
แมนฯยู เล่นเกมรับ ที่ไม่รับ
เนื่องด้วยพิเคราะห์ พิจารณา จากฟอร์มการเล่นของลูกทีม ที่3วันดี 4วันไข้ แนวรับมีอัตราความรั่วไหล ง่ายดายต่อการโดนคู่แข่งเจาะตาข่าย ราล์ฟ รังนิก จึงเลือกการมาเยือนถิ่น แอนฟิลด์ ในระบบหลัง3 ใช้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ - วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ และ ฟิลโจนส์ เป็น3เซ็นเตอร์ร่วมกัน
การมาในแผน 3-4-2-1 หรือจะมองเป็น 3-4-1-2 ก็เข้าใจเจตนาชัดเจนของ " ลุงลาบ " ว่า กะมาเล่นระบบรถบัส 2ชั้นแน่นอน ยื้อ0-0 ไปให้ได้นานที่สุด แต่ทว่าอนิจจา สิ้นเสียงนกหวีดพ่นลมจากผู้ตัดสินเพียงแค่5นาที ทำนบเกมรับของ ยูไนเต็ด ก็ถูกตีแตกซะงั้น
ซึ่งความผิดพลาดของกองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนเป็น เดจาวู ให้เราเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประตูแรก เซ็นเตอร์เหมือนดันสูงเปิดพื้นที่ แล้วตัวของ ดิโอโก้ ดาโลต์ ปล่อยที่ว่างมหาศาลให้ ซาลาห์ เข้าไปเปิดให้ ดิอาซ สำเร็จโทษง่ายๆ
ดอกสอง ส่วนหนึ่งต้องชมการชิ่งบอลเร็วของลิเวอร์พูลด้วย แต่ทว่า แม็คไกวร์ (เจ้าเดิม) กลับไม่อ่านทางบอล ปล่อยบอลโด่งข้ามหัว ส่วน ดาโลต์ ก็เช่นเคยกับการตามประกบ ดาวเตะชาวอียิปต์ไม่ทันท่วงที
ส่วนประตูสาม แนวรับก็ก็ความผิดพลาดเหมือนเดิม ลินเดอลิฟ จ่ายบอลยัดเพื่อนที่ไม่พร้อมเล่น จนโดนฉกมายิงง่ายๆ พร้อมกับการประกบตัวสุดห่างของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ (อีกแล้ว)
ประตูตอกฝาโรง เรียกได้ว่าคือการทะลึ่งโชว์เหนือแท้ๆของ กองหลังกัปตันทีม ที่อยู่ดีไม่ว่าดีอยากสวิตซ์บอล ทั้งที่น่าจะรู้ขีดความสามารถตัวเอง แต่ทว่าบอลเจ้ากรรมกลับทั้งย้อนหลังและโด่งเกินไป จนเจ้าหนูดาวรุ่งอย่าง ฮันนิบาล ต้องเอาบอลลงอย่างยาก และโดนฉกไปยิงลูก 4-0 ในที่สุด
ฤดูกาลนี้ผ่านไป 33นัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดนล่อตาข่ายไปแล้ว 48ลูก ในขณะเหลือโปรแกรมอีก 5นัด ถ้าฟอร์มแบบนี้ก็มีสิทธิที่จะทำลายสถิติเสียประตูมากที่สุดในลีก นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือได้เลย ( 2018-2019 เสีย 54ประตู)
- คอลัมน์นิสต์
- 795
- 20 เม.ย. 2565 13:20