อีกก้าวเดียว ! เคน กดโทษ เฉือน โคนมต่อเวลา2-1 กังขาราฮีมพุ่ง
อีกก้าวเดียวก็จะได้ Coming Home แล้วจริงๆสำหรับทีมชาติอังกฤษ ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของฟุตบอลขนานแท้ เมื่อล่าสุดเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ฝ่าด่านเดนมาร์ก เข้าไปชิงชนะเลิศกับอิตาลี ที่เวมบลีย์ ได้สำเร็จ ด้วยการเฉือนเอาชนะทีมโคนมไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที 2-1
แม้ตั้งแต่เข้ามานั่งแท่นเป็นกุนซือทัพ ทรี ไลออนส์ เมื่อปี 2016 นี่คือกุนซือที่โดนแฟนบอลผู้ดียี๊มากๆคนหนึ่ง ทั้งเล่นไม่สวย ไม่กล้าเสี่ยง รัดกุมปลอดภัยไว้ก่อน เปลี่ยนตัวขัดใจวัยรุ่น แต่ทว่าเซาธ์เกตก็พา อังกฤษชุดนี้ผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศ ยูโร2020 นี้ได้สำเร็จ และเป็นการเข้าชิงทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 1966 เลยทีเดียว
เกมเมื่อคืนเป็นทางฝั่ง เดนมาร์ก ที่สร้างเซอร์ไพรส์ขึ้นนำไปก่อนจากลูกฟรีคิกผีจับยัดของ มิเคล ดัมส์การ์ด น.30 แต่ทว่าอีกเพียง 9นาทีต่อมา อังกฤษก็ไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จ จากการสกัดเข้าประตูตัวเองแบบไม่มีทางเลือกของกัปตันทีม ซิมง เคียร์
หลังจากนั้นเกมก็ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เวลาที่เหลือเป็นทางฝั่งพลพรรค ทรี ไลออนส์ ที่ทำได้ดีกว่าชัดเจน ทีมโคนม ดูเหมือนจะแผ่วไปดื้อๆ แต่ทว่าภาพรวมของลูกทีม แคสเปอร์ ยูลมันด์ ก็ยังยันได้ดี ต้านเกมบุกของทีมแชมป์โลก1สมัยได้ โดยเฉพาะโกลอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่สวมวิญญาณปลาหมึกเข้าสิง ปัดป้องลูกยิงยากๆได้หลายหน
เกมจึงลากฎีกาไปถึงช่วง 120 นาที แล้วก็มีจังหวะกังขาแฟนบอลทั่วโลกเกิดขึ้น เมื่อผู้ตัดสิน ดานนี มัคเคลี่ จากเนเธอร์แลนด์ เป่าปรี๊ดจุดโทษจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิง โดนโยอาคิม เมห์เล่ เข้าสกัดล้มลงในเขตโทษ ทั้งที่เมื่อพิจารณาจากภาพช้าแล้ว เหมือนดาวเตะตูดงอนจาก แมนเชสเตอร์ รายนี้ จะพุ่งล้มสะดุดยอดหญ้าไปเอง
แฮร์รี่ เคน รับหน้าที่สังหารจุดโทษ จังหวะแรกโดน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เซฟไว้ได้ แต่ทว่าดาวยิงเบอร์1สเปอร์ส รายนี้ ยังไวพอที่จะวิ่งเข้าไปซ้ำดาบสองเข้าไป น.104 การขึ้นนำของพลพรรคสิงโตคำราม แทบจะทำให้เกมจบไปเลย เพราะทางฝั่งเดนมาร์ก ก็เหมือนจะเร่งไม่ขึ้นแล้ว จบ120นาที อังกฤษ ได้ปลดปล่อยการรอคอย ในการเข้าชิงทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ในรอบ55ปี ได้สำเร็จ
ส่วนผู้ปราชัยเดนมาร์ก ที่ชนะใจแฟนบอลทั่วโลก ไม่มีอะไรต้องเสียใจเลยในทัวร์นาเม้นต์นี้ เมื่อจากจุดเริ่มต้นของพวกเขาที่ เกือบจะเสียนักเตะคนสำคัญของทีมอย่าง คริสเตียน อิริคเซ่น แบบไม่มีวันหวนกลับ
แพ้สองเกมแรกรอบแบ่งกลุ่มต่อ ฟินแลนด์ ( 0-1) และ เบลเยี่ยม (1-2) มาจนวันนี้ที่ได้ผ่านเข้ามาเป็น 4ทีมสุดท้ายที่ดีที่สุดในยุโรป นี่คือทัวร์นาเม้นต์ ที่น่าจดจำมากๆสำหรับทีมจากแถบสแกนดิเนเวีย เมื่อพวกเขาแปลงร่างจากทีมโคนม เป็น โคนมผยอง และน่าเสียดายที่เทพนิยามแห่งเดนส์ ไม่เกิดขึ้นเป็นคำรบที่สอง
เซาธ์เก็ต ที่แฟนบอลผู้ดีเคยยี้
ไปๆมาๆ นี่คือหนึ่งในผู้จัดการทีมที่อินดี้ ลำดับต้นๆคนหนึ่งของวงการลูกหลัง ณ เวลานี้ การเปลี่ยนตัวของ เซาธ์เกต ในหลายๆครั้ง เล่นเอาแฟนบอลเกิดอาการพ่อไม่เข้าใจตุ้มเล็กน้อย แต่ทว่าการเปลี่ยนตัว เปลี่ยนนักเตะ เลือกปรับแผนการเล่นแบบค้านสายตา นั่นก็ทำให้พวกเขาได้ผลลัพธ์การแข่งขันที่ต้องการหลายนัด
รัดกุม ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่เสี่ยงในจังหวะที่ไม่ควรเสี่ยง นี่คือปรัชญาของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ถ่ายทอดให้กับพลพรรคนักเตะสิงโตคำรามชุดนี้ และนักเตะก็สามารถตอบสนองแนวคิดนั้นได้เป็นอย่างดี นี่ก็นัดที่6ของทัวร์นาเม้นต์แล้ว อังกฤษพึ่งจะโดนคู่แข่งกระซวกตาข่ายไปได้เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น
ส่วนเมื่อคืนที่อังกฤษขึ้นนำ2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ใครจะเชื่อว่าอดีตกุนซือโบโร่ รายนี้ จะถอดเอา แจ็ค กลีลิช ที่พึ่งถูกส่งลงสนาม น.69 ออก แล้วให้ คีแรน ทริปเปียร์ ลงมาเล่น แล้วเปลี่ยนระบบเป็นหลัง3แทน ทั้งที่ในโควตาตัวรุก น่าจะเป็นทางฝั่งลูกรักของเจ้าตัวอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ลงเล่นตั้งแต่เริ่มเกมถูกเปลี่ยนตัวออกมากกว่า
ยังไม่ร่วมนัดเปิดทัวร์มาเม้นต์ ที่ไม่ยอมใช้แบ็กซ้ายธรรมชาติ แต่กลับเลือกใช้เป็น คีแรน ทริปเปียร์ ทำหน้าที่แทน รวมถึงการไม่ค่อยให้โอกาสเหล่านักเตะสตาร์ชื่อดังอย่าง แจ็ค กลีลิช และ เจดอน ซานโซ่ ลงสนามเป็นตัวจริง นี่คือสิ่งที่แฟนบอลส่วนใหญ่ทั่วๆไป ไม่ค่อยเข้าใจความคิดอันลึกลับของกุนซือวัย50ปีรายนี้นัก
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ทุกๆสิ่ง ทุกการตัดสินใจของกุนซือ จะบอกว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด หรือเข้าท่าไม่เข้าท่า ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ออกมาเสมอ ซึ่ง เซาธ์เกต ตอบผลลัพธ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือการพาอังกฤษ เข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์
และกำลังลุ้น Football's Coming Home เป็นครั้งแรกในรอบ55ปี ถ้าสุดท้ายแล้ว อังกฤษสามารถโค่น อิตาลีได้สำเร็จ เราอาจไม่ได้เรียก แกเร็ธ เซาธ์เก็ต เหมือนเดิมแล้วอีกแล้ว แต่ต้องเปลี่ยนเป็น " เซอร์ แกเร็ธ เซาธ์เก็ต " แทน
เคน คนสำคัญ
หลังจากออกตาร์ท 3เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยอาการเท้าบอด เป็นวิญญาณ ไร้ความหมาย จนโดนตั้งคำถามหลายครั้ง แต่ทว่านับตั้งแต่รอบน็อกเอ้าท์เป็นต้นมา นี่คือ แฮร์รี่ เคน ร่างสมบูรณ์แบบที่เราเคยเห็นตอนที่อยู่สเปอร์ส
เคนกลับมาระเบิดฟอร์มเปรี้ยงปร้างอีกครั้งโดย3นัดหนังสุด ดาวยิงกัปตันทีมรายนี้ กระทุ้งไปได้ถึง 4ประตู โดยเฉพาะจังหวะซัดโทษช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที แม้จะยิงพลาดโดนเซฟในจังหวะแรก แต่เจ้าตัวก็ยังไวพอปรี่เข้าไปซ้ำดาบสองได้
เมื่อคืนในเกมเชือดทีมโคนม เคน ไม่ได้มีดีมีประโยชน์เพียงแค่ทำประตูเท่านั้น แต่ทว่าดาวยิงวัย27ปีรายนี้ มีประโยชน์ครบด้านทั้ง ลงมาล้วงบอล ป้องกันลูกตั้งเตะ จ่ายบอลจังหวะสวยๆให้เพื่อน โดยเพราะลูกตีเสมอ 1-1 ก็เป็นเจ้าตัวนี่แหละที่จ่ายทะลุแผงหลังเดนมาร์ก ให้ บูกาโย่ ซาก้า เปิดเข้ามากดดันแนวรับเดนมาร์ก
จังหวะบังบอลเรียกฟาวล์ให้กับทีม นี่คือสิ่งที่ เคน ทำได้ดีมากๆในเกมรอบรองเมื่อคืน หอกความหวังสูงสุดรายนี้ มีโอกาสจบสกอร์ไม่มากสำหรับเกมเมื่อคืน แต่ทว่าเจ้าตัวก็พยายามมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ทีมเสมอ จุดโทษในช่วงเวลาบีบหัวใจ แม้พลาดแต่เคนก็ยังตามซ้ำแก้ตัวได้
การประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมนี่คือสิ่งที่ไม่เป็นปัญหากับ แฮร์รี่ เคน ไม่ว่าพาร์ทเนอร์จะเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง - บูกาโย่ ซาก้า - แจ็ค กลีลิช - ฟิล โฟเด้น รวมไปจนถึง เจดอน ซานโช่ เคนก็พยายามปรับจูนให้เข้ากับสไตล์การเล่นของเหล่าบรรดาแข้งตัวจี๊ดได้อย่างไม่ขัดเขิน รางวัล แมน ออฟ เดอะแมตช์ จึงเป็นสิ่งที่คู่ควรแล้ว สำหรับดาวยิงหมายเลข9ของพลพรรค ทรี ไลออนส์
แฮร์รี่ เคน Vs เดนมาร์ก
100% ผ่านบอลยาวแม่นยำ
60 สัมผัสบอล
9 สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่ง
7 ชนะการดวล
4 โอกาสยิง
3 ยิงตรงกรอบ
3 สร้างสรรค์โอกาส
2 ชนะดวลลูกกลางอากาศ
แม็คไกวร์กำแพงสุดแข็งแกร่ง
เซ็นเตอร์ฮาร์ฟหัวแตงโมรายนี้ มาร่วมทัวร์มาเม้นต์ ด้วยสภาพความฟิตที่ยังไม่เต็มถึง กว่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงได้ต้องรอถึงเกมสุดท้ายรอบแบ่ง กลุ่มกับ สาธารณรัฐ เช็ก ซึ่ง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ก็ไม่ได้ทำให้แฟนๆผิดหวังเลยในทัวร์นาเม้นต์นี้
ความแข็งแกร่ง การผนึกกำลังได้อย่างเข้าขารู้ใจกับกองหลังทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง จอห์น สโตนส์ นี่คือสิ่งที่อังกฤษได้รับประโยชน์เต็มๆกับคู่พาร์ทเนอร์เซ็นเตอร์ฮาร์ฟรายนี้ อังกฤษโดนคู่แข่งทะลวงตาข่ายได้เพียงแค่1เม็ดเท่านั้น ซึ่งก็มาจากลูกเซ็ตพีช (ฟรีคิก)
เกมรอบตัดเชือกเมื่อคืน แม็คไกวร์ บัญชาการเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะลูกกลางอากาศ กองหลังจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เก็บกินเรียบ มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังมีจังหวะกระชากลากลุยไปยังพื้นที่กลางสนามอีกด้วย รวมไปจนถึงลูกตั้งแต่ที่ แม็คไกวร์เองเข้าไปมีส่วนร่วมหลายครั้ง แต่ทว่าน่าเสียดายที่ลูกโขกของเจ้าตัว โดน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เซฟออกไปได้แบบฉิวเฉียด
ลูกเซ็ตพีชของอังกฤษมีความอันตรายน่ากลัวขึ้นมามากๆ หากมีกองหลังทีมปีศาจแดงรายนี้ มาร่วมแจมในเขตโทษคู่แข่งด้วย รวมถึงความเป็นผู้นำในเกมรับ เราจะเห็นแม็คไกวร์ คอยกระตุ้นสั่งการเพื่อนในแผงแบ็กโฟร์ ในยามที่ทีโดนเดนมาร์ก โจมตีอย่างหนัก นี่คือหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของทัวร์มาเม้นต์ได้เลย
แฮร์รี่ แม็คไกวร์ Vs เดนมาร์ก
90% ผ่านบอลแม่นยำ
112 สัมผัสบอล
13 ชนะการดวล
9 ชนะลูกกลางอากาศ (มากสุด)
5 เคลียร์บอล
5 ตัดบอล (มากสุด)
2 โอกาสยิง
2 แท็กเกิ้ล
ราฮีม 120 นาที วิ่งไม่มีวันหมด
จากนักเตะที่โดนแฟนบอลถากถางมากมาย รวมไปจนถึงข้องใจมากๆที่ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงก่อน แจ็ค กลีลิช หรือ เจดอน ซานโช่ ในแทบจะทุกนัด แต่ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำในสนามมันก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต คิดถูกกับความเชื่อใจในดาวเตะก้นงอนรายนี้
แต่เราก็ต้องยอมรับกันด้วยว่า สเตอร์ลิง มีจังหวะการเล่นที่ขัดหูขัดตา มีความดันทุรัง มันแมนโชว์หลายหน แต่ทว่าในยามที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดี ราฮีม มักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ จังหวะขึ้นนำของอังกฤษ ก็เป็นเจ้าตัวนี่แหละที่วิ่งหาช่องไปกดดัน จนทำให้ ซิมง เคียร์ ไม่มีทางเลือก ต้องสกัดในรูปแบบที่ไม่ถนัด จนบอลผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง
หรือในจังหวะจุดโทษ ก็เป็นเตะจากทีมเรือใบรายนี้ แหละที่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมบวกการพุ่งโอเวอร์แอคติ้ง จนทำให้ทีมได้จุดโทษ และต้องไม่ลืมว่า สิงโตคำรามผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้ ก็มาจากผลงาน เป็นพระเอก กดประตูชัย 1-0 ทั้งสองนัด ในเกมกับโคเอรเชีย และ สาธารณรัฐ เช็ก แถมในเกมกับ ยูเครน ก็เป็นเจ้าตัวนี่แหละที่ถวายพานให้ เคน ยิงปลดล็อคขึ้นนำเร็วตั้งแต่ต้นเกมทำให้ทีมเล่นง่ายขึ้น
เมื่อคืนน่าเสียดายที่ ราฮีม น่าจะเบิกสกอร์ในเกมได้ เพราะได้โอกาสได้ซัดจ่อๆแต่ทว่าดันยิงไปตรงตัว แคสเปอร์ ยังไม่ร่วมช่วงต่อเวลาพิเศษ120นาที ที่เจ้าตัววิ่งเป็นม้าพลังไม่หมด พาทัวร์แนวรับของทีมโคนมวิ่งจนลิ้นห้อยหลายหน นี่คือนักเตะตัวตั้งต้นที่ดีในการเล่นเกมสวนกลับของอังกฤษเมื่อคืน
สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่ง 16 ครั้ง (มากสุด) เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง10ครั้ง (มากสุดในยูโร 2020 ในเกมเดียว) 6 โอกาสยิง (มากสุด) นี่คือผลงานมาสเตอร์พีช ของ ราฮีม สเตอร์ลิง ในเกมกับเดนมาร์ก
เดนมาร์ก ผู้แพ้ที่น่าจดจำในยูโร 2020
ตั้งแต่วินาที ชี้เป็นชี้ตายที่ คริสเตียน อิริคเซ่น ล้มวูบลงในเกมเปิดสนาม รวมไปจนถึงการแพ้2นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ต่อฟินแลนด์ 0-1 และ เบลเยี่ยม1-2 ก่อนที่พวกเขาจะมาแปลงร่างจากทีมโคนม มาเป็นทีมโคคะนอง ในเกมที่อัดรัสเซีย ยับ 4-1 ผ่านเข้ารอบ16ทีมสุดท้ายในฐานะทีมอันดับ2ได้สำเร็จ
เกมเมื่อคืนน่าเสียดายไม่น้อยที่ พวกเขาขึ้นนำไปก่อน จากฟรีคิก 10เต็ม10ของ มิคเคล ดัมส์การ์ด แต่ทว่าก็โดนตีเสมอ เร็วไปหน่อยเพียงแค่9นาทีหลังจากนั้น ซึ่งรูปเกมหลังถูกตีเสมอก็เป็นอังกฤษที่เหนือกว่าพวกเขาอย่างชัดเจน
ว่ากันว่าหนึ่งในความผิดพลาดของ เดนมาร์ก เกมเมื่อคืนนั่นก็คือ การแก้เกมของกุนซือ แคสเปอร์ ยูลมันด์ ตัดสินใจเอา ดัมส์การ์ด ที่เล่นได้ค่อนข้างดีออกแล้วให้ตัวเก๋าอย่าง ยุลซุฟ โพลเซ่น ลงมาวาดลวดรายแทน เมื่อทีมขาด ปีกดาวรุ่ง จากซามพ์โดเรีย เกมรุกของ เดนมาร์ก ก็เป็นอัมพาตทันที
ดัมส์การ์ด เจ้าหนูวัย21ปี ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างเตะตาในยูโร หนนี้ 2ประตู1แอสซิสต์ ในทัวร์นาเม้นต์ น่าจะทำให้เจ้าตัวเนื้อหอมตกเป็นที่หมายปองของเหล่าบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปไม่น้อย
ส่วนจอมหนึบอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แม้จะเสียไป2ประตู แต่ภาพรวม นายด่านจากเลสเตอร์รายนี้ น่าประทับใจมากๆ เมื่อเจ้าตัวมีจังหวะเซฟลูกยิงของอังกฤษ ถึง 9หน เป็นสถิติจำนวนการเซฟต่อเกมที่มากทีสุดในยูโรหนนี้
จุดโทษที่ทีมโคนม เสียไปเรียกได้ว่าโชคร้าย และค้านสายตากับแฟนบอลทั่วโลกมากๆ ถึงแม้จะแพ้ตกรอบไป อดสร้างเทพนิยามแห่งเดนส์รอบที่2 แต่ทว่าเมื่อเดินทางมาจนถึงรอบรองชนะเลิศนี้ เดนมาร์ก ก็ชนะใจแฟนบอลทั่วโลกไปแล้ว เสียดายที่อดเข้าชิง แต่ด้วยเส้นทางอันน่าเหลือเชื่อตั้งแต่เกมเปิดสนาม พวกเขาไม่ควรเสียใจเลย เมื่อพวกเขาจับมือเดินทางกันมาไกลขนาดนี้
- คอลัมน์นิสต์
- 306
- 08 ก.ค. 2564 14:28