สดุดี มันโช่ ! อัซซูรี่ แม่นจุดโทษ โค่นอังกฤษ 3-2 ผงาดแชมป์ยูโร
ยอดเยี่ยมและคู่ควรด้วยประการทั้งปวงสำหรับการคว้าแชมป์ ยูโร2020หนนี้ ของทีมชาติอิตาลี เมื่อขุนพลทีมแชมป์โลก4สมัย สวมบทหัวใจแกร่งแม่นจุดโทษเอาชนะ เจ้าบ้านอย่างทีมชาติอังกฤษไป 3-2 หลังจากที่เสมอกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 โดย บูกาโย่ ซาก้า แข้งดาวรุ่งวัย19ปีจากค่ายปืนใหญ่ เป็นผู้พลาดการยิงเป้าคนสุดท้ายของทัพสิงโตคำราม
เกมนัดชิงที่สนามเวมบลีย์ภายใต้แคมเปญและวลีฮิต Football's Coming Home เมื่อเจ้าบ้านอังกฤษ ภายใต้เสียงเชียร์แฟนบอลสิงโตคำราม ดวลกับ อิตาลี ในยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม ของโรแบร์โต้ มันชินี่
โดยเริ่มเกมมาเพียงแค่ 1นาที57วินาที เป็นทางฝั่งอังกฤษได้เฮกันลั่นสนามเมื่อ คีแรน ทริปเปียร์ เปิดจากทางด้านขวา มาให้ ลุค ชอว์ เติมขึ้นมาซัดด้วยซ้ายเข้าไป
กว่าที่ทางฝั่งอิตาลี จะเริ่มครองบอลและตั้งเกมได้ต้องรอไปจนถึงช่วงนาทีที่ 30 เลยทีเดียว แต่ทว่าทางฝั่งของ ทัพ ทรี ไลออนส์ ก็สามารถเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นแกร่งเป็นภูผา สกัดกั้นแนวรุกจากทีมเมืองมะกะโรนีได้อย่างหมดจด ถึงแม้จะครองบอลได้มากกว่าแต่หาโอกาสจะแจ้ง สร้างความอันตรายให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด ไม่ได้เลย
จอห์น สโตนส์ - แฮร์รี่ แม็คไกวร์ รวมไปจนถึง ไค วอล์คเกอร์ ทำหน้าที่ปิดตายผู้เล่นแนวรุกของอิตาลีได้เป็นอย่างดี ชิโร่ อิมโมบิเล่ - ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ถูกพับเก็บใส่กระเป๋าแผลงฤทธิไม่ออก
มีเพียง เฟเดริโก้ เคียซ่า รายเดียว ที่สร้างความหนักอกหนักใจให้กับทีมเจ้าบ้าน จบ45นาทีแรก เป็นอังกฤษที่ขึ้นนำก่อน 1-0ครึ่งหลังเกมยังคงเป็นอิตาลีที่ครองบอลมากกว่าเหมือนเดิมและใกล้เคียงกับโอกาสทำประตูมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่จะมาบรรลุผลจาก จังหวะขลุกขลิกหน้าประตู แล้วก็เป็น เลโอนาร์โด โบนุชชี่ ที่กวาดซ้ำจ่อๆหน้าเข้าไป น.67 หลังจากนั้นก็เป็นลูกทีมของ "มันโช่ " ที่พยายามโหมใส่อย่างหนัก แต่ทว่าทางฝั่งอังกฤษ ยังตั้งรับได้อย่างแข็งแกร่งเหนียวแน่นเช่นเคย
จบ90นาที เสมอ1-1 ลากมาต่อเวลา120นาที เห็นได้ชัดว่าลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ หมดแรงอย่าง แต่ทว่าก็น่าเสียดายที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ไม่กล้าแลกไม่กล้าเสี่ยง บุกเข้าใส่อิตาลีที่โรยรา รวมไปจนถึงเปลี่ยนตัวรุกลงมาช้าเกินเหตุทั้ง แจ็ค กลีลิช กว่าจะลงมาก็ปาเข้าไป น.99 และสองผู้เล่นริมเส้นรถด่วนอย่าง เจดอน ซานโช่ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ล่อเข้าไปนาทีที่ 120 ทั้งคู่
ซึ่งในการดวลเป้าสถานการณ์ก็สวิงไปมาหลายดราม่า ผลัดกันครองความได้เปรียบ และก็เป็น2ผู้เล่นที่เซาธ์เกต เปลี่ยนลงมาสังหารจุดโทษโดยเฉพาะ พลาดทั้งสองราย แรชฟอร์ด - ซานโช่
รวมไปจนถึงมือสังหารคนสุดท้ายอย่าง บูกาโย่ ซาก้า ที่ยิงไปโดน จานลุยจิ ดอนนารุมม่า อ่านทางเซฟได้ง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้า จอร์แดน พิคฟอร์ด พึ่งช่วยยื้อชีวิตจากลูกยิงของ จอร์จินโญ่ ได้
สุดท้าย อัซซูรี่ คว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการผงาดคว้าเจ้ายุโรปเป็นหนที่2 นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อ53ปีที่แล้วปี 1968 ฉีกแคมเปญฟุตบอล Football's Coming Home ให้กลายเป็น Football's Coming Rome อย่างสุดยิ่งใหญ่
สดุดี โรแบร์โต้ มันชินี่
อิตาลีก่อนที่จะมาถึงมือ โรแบร์โต้ มันชินี่ พูดได้เต็มปากเลยว่านี่คือทีมที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง จากุนซือคนก่อน จามปิเอโร่ เวนตูล่า ที่สร้างผลงานสุดงามไส้ นำทีมแดนมะกะโรนี ตกรอบไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก2018 จนในสุดท้ายกุนซือเฒ่ารายนี้โดนตะเพิดเตะออกจากตำแหน่งในที่สุด
" มันโช่ " เข้ามารับหน้าที่นายใหญ่ของอัซซูรี่ โดยที่ไม่ได้รับแรงคาดหวังมากนัก ก่อนที่จะค่อยๆมาแบบเงียบๆของศึกยูโร 2020 โดยทีมจากแดนพิซซ่า เป็นทีมในกลุ่มตัวเต็งลำดับท้ายๆที่ถูกคาดหวังว่า จะผงาดคว้าแชมป์ โทรฟรี่ " อองรี เดอโลเน่ย " แต่ทว่าก็ถูกจับตามองสุดๆเช่นกันหลังในเกมรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาคว้าชัยชนะ 3นัดรวด ยิงได้7ประตู คลีนชีตทุกนัด
ซึ่งฟอร์มที่แจ่มแจ้งดุดันดังกล่าว ถูกปรามาส ไม่น้อยว่าเจอแต่ทีมขนาดเล็ก แต่ทว่าอย่างไรก็ตามในเกมรอบ น็อกเอ้าท์ ทั้งในรอบ8ทีม และรอบรองชนะเลิศ พวกเขาก็ปราบทีมเต็งอย่างเบลเยี่ยม ที่เป็นทีมอันดับ1ตาม ฟีฟ่า แรงกิ้ง รวมไปถึงสเปน ทีมจอมครองบอล ได้อย่างน่าปรบมือให้
สิ่งหนึ่งที่อดีตผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รายนี้ ควรได้รับคำชื่นชมและยกเครดิตไปเต็มๆนั่นก็คือ การปฎิวัติสไตล์การเล่นของอิตาลี จากทีมที่เล่นอุด คาเตนัชโซ่ เน้นผลการแข่งขัน เฉื่อยฉาและค่อนข้างช้าเวลาอยู่ในสนาม ให้กลายเป็นทีมสมัยใหม่ เล่นฟุตบอลเกมรุกด้วยความเมามัน วิ่งบีบเพรสซิ่งตลอด จนบางครั้งทำให้เราเห็นภาพ ฟุตบอลเฮฟวี่ เมทัล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลยทีเดียว
การเปลี่ยนสไตล์ปลูกฝังวิธีแนวคิดในการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่ให้ลูกทีม มันใช่แค่ได้ผลในเรื่องของอัตราความสนุกความเร้าใจเท่านั้น แต่ยังสัมฤทธิผลด้วยโทรฟี่แชมป์ยูโร 2020
การรีดเอาศักยภาพที่ดีที่สุดของนักเตะออกมา นี่คือสิ่งที่ มันชินี่ ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเจ้าตัวใช้นักเตะไปถึง 25จาก26คน ที่หนึบมายูโร2020 หนนี้ มีเพียงแค่ผู้รักษาประตูมือ3อย่าง อเล็กซ์ เมเร็ท ที่ไม่ได้ถูกส่งลงสนาม
นอกจากนี้ อิตาลี ยังยืดสถิติไร้พ่ายยาวนานได้ถึง 34นัดติดต่อกันอีกด้วย สำหรับแชมป์ยูโร 2020 หนนี้ Forza Italia สดุดี โรแบร์โต้ มันชินี่
โบนุชชี่ คิเอลลินี่ ผมแก่แล้วไง ?
แม้ว่าเซ็นเตอร์ฮาร์ฟทั้งสองรายจากยูเวนตุสรายนี้ จะไม่ใช่ผู้เล่นตัวหลักของทีมเจ้าม้าลายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา แต่ทว่าสำหรับทีมชาติอิตาลีแล้ว นี่คือกองหลังคู่บุญคู่บารมี ของทัพอัซซูรี่ ในยุค10ปีหลังสุดจริงๆ ความเข้าอกเข้าใจ มองตาก็รู้ใจนี่คือสิ่งที่2แนวรับจอมเก๋า มอบให้กับอิตาลี มาตลอดก่อนจะมาพีคสุดๆในยูโร 2020
เกมเมื่อคืน คิเอลลินี่ ในวัย36ปี รับมือกับลูกกลางอากาศของอังกฤษได้ดีหลายหน โดยเฉพาะ แฮร์รี เคน ที่โดนเจ้าตัวเอาชนะลูกโหม่งได้ แม้ว่าจะมีลนๆไปบ้างช่วง45นาทีแรก แต่ก็ยังมีสมาธิ เวลาโดนลูกสวนกลับของผู้เล่นทีมสิงโตคำราม แต่ทว่าลูกบนภาคพื้นดินก็มีจวนเจียนจะทำเสียเช่นกัน
การยืนถูกที่ถูกเวลา นี่คือสิ่งหนึ่งที่น่ายกย่อง จอร์โจ้ คิเอลินี่ มากๆ รวมไปจนถึงมีจังแหวะแท็กเกิ้ลสวยๆใส่ ราฮีม สเตอร์ลิง ช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที ช็อตตรึงตาแฟนบอลในสนามเมื่อคืนคงหนีไม่พ้น เหตุการณ์ที่เจ้าตัวไปเจตนา คว้าคอเสื้อของ บูกาโย่ ซาก้า แบบเสียฟอร์ม และแลกกับการโดนใบเหลือง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการแลกที่คุ้มมากๆ เพราะหากแข้งเท้าไฟจากอาร์เซน่อล หลุดไป ก็มีโอกาสที่อิตาลี จะโดนส่องตาข่ายเหมือนกัน
โบนุชชี่ นอกจากรับจะเด่นแล้วเกมรุกเจ้าตัวยังเป็นผู้จุดประกายความหวัง ซัดประตูตีเสมอให้กับทีม ในนาทีที่ 67 แถมบอลวางยาวของ เซ็นเตอร์ฮาร์ฟวัย34ปีรายนี้ ก็เข้าเป้าหลายหน รางวัลแมน ออฟ เดอะแมตช์ หลังจบเกมที่คือสิ่งการันตี ความยอดเยี่ยมของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
การรับมือกับ ราฮีม สเตอร์ลิง โบนุชชี่ ทำได้ดีอย่างหมดจด ไม่หลงเหลี่ยม เตะทำฟาวล์ในเขตโทษกับแข้งจอมพุ่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รายนี้ รวมถึงในการดวลจุดโทษ " เฮียโบ " ก็สังหารเข้าไปไม่พลาด คำพูดของ คิเอลลินี่ ที่เคยบอกว่า โบนุชชี่ รู้ใจผมมากกว่าภรรยาของผมอีก นี่คงไม่ใช่คำพูดที่เกินไปแต่อย่างใด สำหรับคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟวัย 36 และ 34ปี ของทีมแชมป์ยูโร 2020 หนนี้
ลีโอนาร์โด โบนุชชี่ Vs อังกฤษ
141 สัมผัสบอล
132 ผ่านบอล
18 วางบอลยาว
16 วางบอลยาวในพื้นที่ที่3
6 แย่งบอล
2 ผ่านบอลในเขตโทษคู่แข่ง
2 แท็กเกิ้ล
2 ผ่านบอลทะลุช่อง
2 โอกาสยิง
1 สร้างสรรค์โอกาส
1 ประตู
อัซซูรี่ เจอ ทายาทบุฟฟ่อน
หลังจากที่ ครองมือ1ของทีมชาติอิตาลีมาเกือบ15ปี สำหรับ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ด้วยอายุที่มากขึ้นวัยไม้ใกล้ฝั่งจึงทำให้ นายด่านวัย43ปีรายนี้ ตัดสินใจอำลาทีมชาติไปเมื่อปี 2018 หลังทีมไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2018 ได้
จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ที่เดบิวต์ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ของ เอซี มิลาน ตั้งแต่อายุ 16-17ปี คือตัวเลือกอันดับแรกๆของทัพอัซซูรี่ ในการเข้ามารับหน้าที่นายด่านป้อมปราการคนสุดท้ายของทีมแชมป์โลก4สมัย นี่คือทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ในนามทีมชาติครั้งแรกของว่าที่โกล เปแอชเช รายนี้
แต่ทว่าสิ่งที่ ดอนนารุมม่า พิสูจน์ ให้เห็นในสนาม นั่นก็คือความนิ่งเกินอายุ22ปีของตัวเขาเอง แม้ว่าในเกมกับอังกฤษ นายด่านร่างโย่งรายนี้ จะไม่ได้ออกแรงเซฟอะไรมากในช่วง 90นาที และช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที แต่ทว่าการออกมาตัดลูกกลางอากาศ การสั่งการจัดระเบียเกมรับเวลารับมือลูกตั้งเตะ นี่คือสิ่งที่เจ้าตัวทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ
รวมไปจนถึง การเซฟ2จุดโทษในช่วงจุดโทษชี้ขาด ต่อ เจดอน ซานโช่ และ บูกาโย่ ซาก้า บ่งบอกให้เห็นถึงคลาสการเป็นโกลชั้นยอดได้เป็นอย่างดั ยังไม่ร่วมถึงเกมอื่นๆที่ผ่านมา แม้ว่า ดอนนารุมม่า จะไม่ได้งานชุกออกแรงเซฟเยอะ แต่ทว่าการป้องกันแต่ละลูก เต็มไปด้วยความเหนียวหนึบเด็ดขาด โชว์ให้เห็นถึงพลังข้อมือที่แข็งแกร่งสุดๆ เวลาเซฟ
โกลลูกหม้อของทีมปีศาจแเดงดำรายนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักมานานแล้วใน เซเรียอา แต่ก็ได้มาแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการให้โลกรู้ในทัวร์นาเม้นต์ ยูโร2020หนนี้ ปิดท้ายด้วยการคว้าแชมป์ และ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ อัซซูรี่ ค้นพบมือกาวชั้นยอดที่จะได้ใช้งานไปอีก 5-10 ปี " จานลุยจิ ดอนนารุมม่า "
เล็กๆน้อยๆ ที่เซาธ์เกตพลาด แต่ผลลัพธ์ร้ายแรง
ก่อนอื่นเลยต้องให้เครดิต แกเร็ธ เซาธ์เกต ไปเต็มๆสำหรับการทัพ สิงโตคำรามชุดนี้มาไกลถึงรอบรองชิงชนะเลิศ ทั้งที่ประเดิมสามนัดแรกในเกมรอบแบ่งกลุ่มด้วยผลงานที่แม้จะเข้ารอบมาเป็นอันดับ1 แต่ก็โดนกร่นด่าจากแฟนบอลเรื่องสไตล์การเล่นไม่น้อย ก่อนที่อังกฤษเองจะมาปล่อยของ ในรอบน็อกเอ้าท์เป็นต้นมา
อังกฤษ ออกสตาร์ทนัดชิงดำที่เวมบลีย์ได้เหมือนฝัน ไม่ถึง2นาที ทีมแชมป์โลก1สมัยขึ้นนำไปก่อนจากการสอดขึ้นมายิงของ ลุค ชอว์ แต่ทว่าน่าเสียดายที่หลังจากนั้นอังกฤษเล่นเกมรับแบบเต็มตัวมากเกินไป โอเค แม้เกมรับพลพรรคสิงโตคำรามชุดนี้จะเหนียวแน่นมากๆ แต่ทว่าการเลือกเล่นสไตล์ดังกล่าวมันก็เหมือนเป็นการลดทอนประสิทธิภาพในแนวรุกของตัวเองไปด้วย
ตลอดทั้งเกม120นาที พลพรรคสิงโตคำรามมีโอกาสยิงเข้ากรอบเพียงแค่1ครั้ง ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที จะเห็นได้ว่าลูกทีมของ "มันโช่" มีอาการอ่อนล้าและหมดแรงอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยสไตล์การเล่นทำให้ขุนพลอัซซูรี่ ที่วิ่งจัด ต้องเหนื่อยหนักมาก
ซึ่งมันน่าเสียดายมากๆที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต มีความกล้าที่จะเสี่ยงน้อยไปหน่อย ไม่ยอมเปิดเกมบุกใส่อิตาลี ที่หมดก็อกแล้ว รวมไปจนถึงการเปลี่ยนตัวผู้เล่นสไตล์รถด่วนอย่าง เจดอน ซานโช่ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงมาในนาทีที่เกือบจะ 120 รวมไปจนถึง แจ็ค กลีลิช ซึ่งกว่าจะได้ลงสนาม ก็ปาเข้าไป น.99
ช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที อังกฤษมีโอกาสดีมากๆทีจะ END GAME เผด็จศึกทีมแดนมะกะโรนี มากๆ แต่ทว่าเซาธ์เก็ต กลับที่จะเลือกไปวัดกันที่การดวลจุดโทษ ซึ่งความผิดมันมาตกที่กุนซือวัย50ปีรายนี้เต็มๆ เมื่อ 2ผู้เล่นที่ถูกส่งลงมาเพื่อหวังยิงจุดโทษจากค่ายปีศาจแดงอย่าง ซานโช่ และ แรชฟอร์ด พลาดทั้งคู่
รวมถึงการเลือกให้ บูกาโย่ ซาก้า ที่อายุเพียง19ปี ไม่เคยเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยซ้ำ รับหน้าที่สังหารจุดโทษคนสุดท้าย ในสถานการณ์ที่โคตรกดดัน เกมชิงแชมป์ระดับยุโรป นี่คือสิ่งที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ประมาท มากไปหน่อย ทั้งที่ในสนามยังมี แจ็ค กลีลิช หรือ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เก๋าและมากประสบการณ์กว่า
อย่างพึ่งก้มหน้า สิงโตคำรามยังอนาคตสดใส
แม้ว่าจะปราชัยในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่าเจ็บปวด ทั้งที่เส้นทางต่างๆของ อังกฤษนั้นสดใสมากๆ ได้เล่นในบ้าน การแบ่งสายที่ดูเหมือนจะเป็นใจ รวมไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศที่ได้เล่นยังเมกกะลูกหนัง เวมบลีย์ บรรดาตัวผู้เล่น ทัพสิงโตคำรามชุดนี้ที่ฟูลทีมสุดๆ
เกมนัดชิงดำกับอิตาลีช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที เซาธ์เกต มีโอกาสที่ดี ที่จะเปลี่ยนตัว หรือเปลี่ยนรูปแบบการเล่นเพื่อโค่นลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ มากๆ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากๆที่ อดีตผู้จัดการทีมโบโร่ รายนี้ ขี้กลัวหรือปอดแหกไม่กล้าแลกกล้าวัดไปหน่อย
การปราชัยในนัดชิงอันแสนเจ็บปวดนี้ น่าจะทำให้เซาธ์เกต ได้เรียนรู้หรือปลดล็อค กับการมีความคิดเป็นแมตช์วินเนอร์มากขึ้น เล่นโดยที่รู้ศักยภาพของลูกทีมให้เต็มที่ ไม่ใช่ลดทอนศักยภาพของลูกทีม เชื่อว่านักเตะของอังกฤษที่ถูกเรียกมาชุดนี้ มีดีเอ็นเอ ของการเล่นเกมรุกอยู่แล้ว
ทีมสิงโตคำรามไม่ต้องเล่นเกมรับรัดกุมมากเกินไป เพราะนักเตะเกมรุกของแข้งผู้ดีชุดนี้คุณภาพคับแก้วไปหมดทั้ง ฟิล โฟเด้น / แจ็ค กลีลิช / เมสัน เมาท์ / มาร์คัส แรชฟอร์ด / เจดอน ซานโช่ หรือ รวมไปถึง บูกาโย่ ซาก้า เอง ยังไม่รวมถึงแนวรับ จาก2ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ ที่แข็งแกร่งมากๆ และด้วยอายุจะที่ไม่มาก จะทำให้อยู่ด้วยฟอร์มที่พีคอีกหลายปี
ด้วยศักยภาพ ชื่อชั้น ความสามารถตัวผู้เล่น หากพวกเขาเปลี่ยนความผิดหวังในนัดชิง ยูโร2020 แล้วแปรเปลี่ยนมันเป็นพลัง เชื่อว่าอนาคตที่สดใส รวมถึงการปลดล็อดความสำเร็จที่ห่างหายไปตั้งแต่ปี 1966 จะสิ้นสุดลงแน่ แต่ทว่าเซาธ์เก็ต ต้องกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะปรับเปลี่ยน มายด์เซ็ต ของความเป็นผู้ชนะมากขึ้น เช่นกัน
- คอลัมน์นิสต์
- 389
- 12 ก.ค. 2564 17:28