ครั้งแรกในรอบ22ปี ! หงส์เข้าขั้นโคม่า ทอฟฟี่บุกอัดคาบ้าน 0-2
ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่แอนฟิลด์ เป็นเสมือนเมฆหมอกร้ายที่ปกคลุมและไม่มีทีท่าว่าจะผ่านไปสักที เมื่อศึกเมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ จบลงด้วยชัยชนะของผู้มาเยือนเอฟเวอร์ตัน 2-0
ริชาร์ลิสัน ใช้เวลาเพียงแค่นาทีที่3ของเกม กดประตูให้ทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินครองความได้เปรียบขึ้นนำไปก่อน1-0 ก่อนที่จะมาได้ประตูย้ำชัยจากจุดโทษของ กิลฟี่ ชิเกิร์ดส์สัน น.83
การอาจหาญบุกมาคว้าชัยที่แอนฟิลด์ได้ครั้งนี้ของเอฟเวอร์ตัน ส่งผลให้พวกเขาเองเอาชนะลิเวอร์พูลได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2010 และยังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999 ที่ขุนพลทอฟฟี่แมนบุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับคู่อริร่วมเมืองถึงถิ่น
ส่วนผู้บอบช้ำจากความพ่ายแพ้ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีกเป็นเกมที่4ติดต่อกันเข้าให้แล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นการแพ้ในบ้าน4นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบ 98ปี ( 1923 ) ซึ่งต้องย้อนนานไปไกลถึงสงสรามโลกครั้งที่2เลยทีเดียว
นอกจากผลลัพธ์ที่น่าหงุดหงิดแล้ว อาการบาดเจ็บก็ยังคงเป็นเหมือนเงาตามตัวทีมหงส์แดงไม่เว้นแต่ละนัด
แมตช์นี้ทีมก็ต้องเสียแข้งคนสำคัญของทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออกจากสนามไปเพียงแค่ น.30 และยังไม่ทราบว่าอาการเดี้ยงของกัปตันเฮนโด้จะรุนแรงแค่ไหน
โดยผู้เล่นที่โดดเด่นของทีมโรงงานทอฟฟี่สีน้ำเงิน คงไม่พ้น3ปราารหลังอย่าง ไมเคิ่ล คีน - เมสัน โฮลเดต และ เบน ก็อดฟรีย์ รวมไปจนถึง จอร์แดน ฟิคฟอร์ค ที่ช่วยกันป้องกันและปัดป้อง โอกาสส่องประตูของทีมหงส์แดงได้อย่างหมดจด
ส่วน โอซาน คาบัค กองหลังยืมตัวจากชาลเก้04 แม้จะมีช่วงเวลาดีๆในเวที แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ทว่าเมื่อเวียนกลับมาเล่นยังเวทีพรีเมียร์ลีกเจ้าตัวก็เหมือนเจอฝันร้านคอยจ้องเล่นงานอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ริชาร์ลิสัน สตาร์ทหรูให้ทอฟฟี่
ย้อนไปเมื่อศึก เมอร์ซี่ไซต์หนแรกของฤดูกาลเมื่อช่วงเดือนตุลาคม เป็นทางฝั่งลิเวอร์พูลที่ขึ้นนำไปก่อน จาก ซาดิโอ มาเน่ น.3 แต่ทว่าเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืน ริชาร์ลิสัน ก็สร้างสถานการณ์แบบดังกล่าวได้เช่นกัน
ประตูขึ้นนำของทีมทอฟฟี่แมน ต้องชื่นชมจังหวะการจ่ายของ ฮาเมส โรดริเกซ ที่คมกริบตัดหลัง โอซาน คาบัค อย่างพอเหมาะพอเจาะให้แข้งชาวบราซิลหลุดไปไปล่อเป้าผ่าน อลิสซง ง่ายๆ
แม้ว่านี่จะเป็นซีซั่นที่อดีตดาวเตะวัตฟอร์ด ผลิตสกอร์ได้ไม่มากมายนักเมื่อทำไปได้เพียง4ประตูในพรีเมียร์ลีก แต่2ประตูหลังสุดที่เจ้าตัวซัดได้ก็มาจากดวลกับ2ทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เลยทีเดียว
การขึ้นนำเร็วของเอฟเวอร์ตัน สามารถทำให้พวกเขาเล่นเกมในรูปแบบที่ตัวเองต้องการได้
ไม่ต้องผลีผลามรีบเซ็ตเกมบุก นั่นก็คือการรับอย่างอดทนใจเย็น รอจังหวะโต้สวยกลับสวยๆในช่วงที่นักเตะรวมถึงแบ็กของทีมหงส์แดงดันขึ้นสูง
จังหวะการเคลื่อนที่ ความหนาคล่อง แข็งแกร่ง การหาช่องเวลาที่ไม่มีบอลของ ริชาร์ลิสัน ยอดเยี่ยมและสร้างความสับสนให้กับแนวรับลิเวอร์พูลไม่น้อย
ซึ่งจังหวะที่ทีมได้จุดโทษก็มาจากการจ่ายของเจ้าตัวให้กับ โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน หลุดไปโดนทำฟาวล์จนได้จุดโทษนี่แหละ
คาบัค มีส่วนทำหงส์คาบ้าน
หลังจากที่พึ่งมีเกมดีๆในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เอาชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก มาได้2-0 เก็บคลีนชีตกับหงส์แดงได้เป็นครั้งแรก และน่าจะเป็นเกมที่เรียกความมั่นใจของกองหลังชาวตุรกีรายนี้ได้
เพียง10วินาทีเราก็เห็นแววลางที่ไม่ค่อยดีของ คาบัค เสียแล้วเมื่อเจ้าตัว โหม่งบอลพลาดจนเสียเตะมุม ทั้งที่ไม่มีคู่แข่งมาคอยรุมกดดันเจ้าตัวเลยแม้แต่คนเดียว
แต่ทว่าพรีเมียร์ลีกก็ยังคงสร้างฝันร้ายให้กับ โอซาน คาบัค อีกครั้งหนึ่ง เราจะปฎิเสธไม่ได้เลยว่าลูกจ่ายของ ฮาเมส โรดริเกซ ที่นำไปสู่ประตูแรกนั้นยอดเยี่ยมเข้าขั้นเวิล์ดคลาสมากๆ
แต่ทว่าก็ต้องตำหนิคาบัคด้วย ที่ไม่ระมัดระวังการยืนตำแหน่ง ปล่อยให้ดาวเตะชาวโคลัมเบีย จ่ายตัดหลังได้
การโดนใบเหลืองในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรกของดาวเตะวัย20ปี ทำให้ตลอดช่วง45นาทีในครึ่งหลังเจ้าตัวต้องเล่นยากขึ้นมาอีก
การที่ต้องรับมือกับริชาร์ลิสัน ที่ทั้งเร็วทั้งคล่อง มีความจำเป็นที่จะต้องตัดฟาวล์ตัดเกม แต่คาบัคทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะโดนใบเหลือง-แดง
ตลอด3นัดที่ลงสนามให้กับลิเวอร์พูล โอซาน คาบัค ได้รับใบเหลืองในทุกๆแมตช์ นั่นเอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าแนวรับชาวเติร์กรายนี้ งานไม่ละเอียดเนี๊ยบพอในการเข้าสกัดหรือแย่งบอลกับคู่ต่อสู้
สำหรับเซ็นเตอร์ฮาร์ฟแล้ว การโดนใบเหลือง ก็เหมือนกับต้องเล่นแบบมีชะงักติดหลัง ทำอะไรได้ไม่เต็มที่
คาบัคต้องแก้ตรงจุดนี้ รวมถึงการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมที่เจ้าตัวต้องชัดเจนกว่านี้หน่อย มิเช่นนั้นอาจะทำให้เกิดลูกกั๊กลูกเกรงใจจนเป็นเหตุทำให้ทีมตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสียประตูได้
กองหลังทอฟฟี่เหนียวหนึบเคี้ยวยาก
ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมกับแนวทางการเล่นและการเลือกวางแผนของกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่มาในแผนรัดกุมใช้ติดตั้งระบบหลัง3 เวลาเจอทีมใหญ่ที่ประสิทธิภาพนักเตะเหนือกว่า
3ปราการหลังนัดนี้เป็น ไมเคิ่ล คีน - เมสัน โฮลเดต และ เบน ก็อดฟรีย์ โดยทริโอต่างวัยชุดนี้เล่นกันได้อย่างเข้าขาเข้าอกเข้าใจกัน คอยซ้อนคอยปิดในกรณีที่อีกคนเพลี่ยงพล้ำ และคอยโหม่งสกัดป้องกันลูกกลางอากาศกับทีมหงส์แดงได้เป็นอย่างดี
แม้จะมีบางช่วงที่ปล่อยให้ "พี่หล่อ" ซาดิโอ มาเน่ ได้โขกอย่างถนัดถนี่ แต่ภาพรวมทั้ง3คนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
โดยเฉพาะการรับมือกับลูกตั้งเตะของเจ้าบ้าน ที่แทบไม่ได้สร้างความหนักอกหนักใจให้กับ จอร์แดน พิคฟอร์ด เลย
ไมเคิ่ล คีน ที่กลายเป็นพี่ใหญ่ในแนวรับวันนี้ และโชว์ฟอร์มแกร่งได้เป็นอย่างดีในการเป็นเสาหลักในระบบหลัง3 ในครึ่งแรกคีนมีจังหวะบล็อคลูกยิงเส้นยาแดงฝ่าแปด ของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่
ส่วนครึ่งหลังก็มีจังหวะแท็คเกิ้ลบอล ก่อนที่ มาเน่จะหลุดเข้าไปยังอีกด้วย
สถิติหลังเกมระบุว่า กองหลังวัย28ปีชาวอังกฤษรายนี้เคลียร์ลูกอันตรายได้ถึง 13ครั้ง มากที่สุดในสนามเลยทีเดียว
เบน ก็อดฟรีย์ คอยเป็นเงาตามตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ " แบบพี่ไปไหนผมไปด้วยนะ " จนทำให้สตาร์ชาวอียิปต์เล่นไม่ออก และเป็นอีกหนึ่งนัดที่ทำให้ซาลาห์โชว์ฟอร์มแย่ๆ
แถมจังหวะสำคัญๆในเขตโทษกองหลังวัย23ปีรายนี้เคลียร์บอลจังหวะสำคัญๆได้เยอะมากอีกด้วย
สถิติหลังเกม เบน ก็อดฟรีย์
100% ชนะการดวล
100 % ชนะลูกกลางอากาศ
38 สัมผัสบอล
8 เคลียร์บอลจังหวะอันตราย
4 แย่งบอล
1 บล็อค
0 โดนเลี้ยงบอลผ่าน
จากป้อมปราการสุดโหด สู่รีสอร์ท แอนด์ สปา
จากในช่วงสมัยที่ เดวิด มอยส์ คุมทีมปีศาจแดง (2013-2014) กุนซือชาวสก็อตรายนี้เคยเปลี่ยนโรงละครแห่งความฝันให้กลายเป็น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รีสอร์ท แอนด์สปา
ประจวบเวลาผ่านมา8ปี ลิเวอร์พูล กำลังได้รับฉายาแอนฟิลด์ รีสอร์ทแอนด์ สปา เหมือนทีมคู่ปรับตลอดกาลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ไม่มีใครอยากเชื่อว่าฟอร์มในบ้านอันแสนดุดันของทีมหงส์แดงจะแปรเปลี่ยนเป็นฟอร์มบู่สุดขีดกู่ไม่กลับขนาดนี้
หลังจากที่สร้างสถิติอันเกรียงไกรที่แอนฟิลด์ด้วยการไม่แพ้มา 68นัดรวดในพรีเมียร์ลีก แต่4นัดหลังสุดของทีมเครื่องจักรสีแดง กลับโดนคู่แข่งมากระซวกดับอนาถคาบ้านแบบสิ้นมนต์ขลังซะงั้น
จากเบิร์นลี่ย์ ผู้เปิดแผลให้คู่แข่งได้ศึกษาแนวนางในการมาเล่นที่แอนฟิลด์ ตามมาด้วย ไบร์ทตัน - แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงล่าสุดอย่างคู่ปรับร่วมเมืองเอฟเวอร์ตัน คู่แข่งเหล่านี้หยิบ3แต้มออกจากแอนฟิลด์ได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
การเท้าบอดที่แอนฟิลด์นัดนี้่เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ไม่สามารถทำประตูจากลูกโอเพ่นเพลย์ได้ที่บ้านของตัวเอง528นาทีติดต่อกัน หรือคิดเป็นเกือบ9ชั่วโมงเข้าให้
และที่น่าตกใจสุดขีดนั่นก็คือการที่ลิเวอร์พูลแพ้ 4นัดติดในบ้าน หนสุดท้ายต้อนย้อนไปไกลถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 1923 เลยทีเดียว
พิคฟอร์ดตัวแสบลิเวอร์พูล
นอกจากจะทำให้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ บาดเจ็บ เจ็บหนักจนต้องพักยาวแล้ว เกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืน จอร์แดน พิคฟอร์ด ก็งัดสวมฟอร์มวิญญาณปลาหมึกเข้าสิง ปัดป้องลูกยิงอันตรายจากลิเวอร์พูลได้ทั้งหมด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะโดนค่อนขอดรวมถึงโดนวิจารณ์เกี่ยวกับฟอร์มการเล่น ความสม่ำเสมอในการเฝ้าเสา ความผิดพลาดส่วนตัวที่เป็นเหตุทำให้ทีมทอฟฟี่เสียประตู รวมถึงความเหมาะสมในการเป็นมือ1ทีมชาติอังกฤษ
แต่ทว่าศึกเมอร์ซี่ไซต์ ดาร์บี้แมตช์หนนี้ จอร์แดน พิคฟอร์ค คือฮีโร่คีย์แมนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้า3แต้มสำคัญกลับถิ่นกูดิสัน ปาร์ค ไป กับจังหวะเซฟสวยๆหลายครั้ง
นายด่านก้นงอน สามารถได้รับการชูมือให้เป็น แมน ออฟ เดอะแมตช์ ร่วมกับ3ปราการหลังของทีมได้เลย โกลเจ้าของค่าตัว30ล้านปอนด์ มีจังหวะเซฟสวยๆปฎิเสธลูกยิงของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในช่วงครึ่งแรก
รวมถึงช็อตออกมาปิดลูกยิงมุมแคบจ่อๆของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้อย่างยอดเยี่ยม
สถิติหลังเกมระบุว่า จอร์แดน พิคฟอร์ด เซฟไปได้ถึง6ครั้งในศึกเมอร์ซี่ไซต์ ดาร์บี้แมตช์ หนนี้
เป็นสถิติจำนวนครั้งในการเซฟที่เจ้าตัวทำได้มากที่สุดในยามที่ดวลกับลิเวอร์พูล และเป็นการเก็บคลีนชีตได้หนแรกในการเจอกับทีมหงส์แดงอีกด้วย
แม้ว่าสุดท้ายแลัวจะต้องดูกันในระยะยาวถึงความสม่ำเสมอของ พิคฟอร์ด อีกรอบหนึ่ง แต่ทว่าอย่างน้อยแมตช์คืนก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เจ้าตัวพร้อมที่จะอยากพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ทั้งการเป็นมือ1ทีมชาติอังกฤษและเอฟเวอร์ตัน
- คอลัมน์นิสต์
- 388
- 21 ก.พ. 2564 14:14