เห็นแววน่ากลัวยาว ! หงส์ ตีปีก ตะปปเบิร์นลี่ย์สบายๆ 2-0
เดินหน้าคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งขึ้นจากฤดูกาลก่อนจริงๆสำหรับ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่พึ่งเปิดบ้านอัดเอาชนะทีมจอมแกร่ง (ทางด้านร่างกาย) อย่าง เบิร์นลี่ย์ ไปได้ 2-0 โดยได้ประตูจาก ดิโอโก้ โชต้า น.18 และ ซาดิโอ มาเน่ น.69
ความน่าสนใจของการฟาด3แต้มในนัดนี้ก็คือ การรักษาสถิติคลีนชีตไม่เสียประตูอีกครั้งหนึ่ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ปิดเทอมหนักเมื่อฤดูกาลที่แล้วหลังจากโดนการเตะที่ไม่ดูตาม้าตาเรือของโกลอย่าง จอร์แดน พิคฟอร์ด กลับรีเทิร์นมายืนเป็นเสาหลักของทีมได้อย่างยอดเยี่ยม นิ่ง รักษาเสถียรภาพในแนวรับได้อย่างแข็งแกร่ง
การจับคู่กับ โจแอล มาติป ที่ต่างรูปร่างสูงใหญ่ ช่วยให้รับมือกับลูกกลางอากาศ ที่เป็นจุดขายของเบิร์นลี่ย์ จากคู่ขาหัวหอก แอชลี่ย์ บารน์ส และ คริส วู้ด ได้เป็นอย่างดี ส่วน อลิสซงโกลชาวบราซิลแม้จะดูไม่ได้ทำอะไรมากแต่ก็ยังมีเซฟสวยๆให้เห็นถึง 2ครั้ง
ส่วนอาวุธหลักที่เคยเป็นจุดขายของลิเวอร์พูลในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมาอย่าง การเติมเกมของฟูลแบ็กก็กลับมาเฉิดฉายให้เห็นอีกครั้งในนัดนี้ แบ็กซ้ายและขวาของทีม คอนตาส ซิมิคาส / เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ต่างเท้าช่างทองทำแอสซิสต์กันได้ทั้งคู่
โดยเฉพาะแบ็กซ้าย คอนตาส ซิมิคาส ที่เปิดครอสบอลได้อย่างเหมาะเหม่งให้ ดิโอโก้ โชต้า โขกเข้าไป แข้งชาวกรีซรายนี้ นิ่งและทำได้ดีกว่าเกมก่อนหน้าที่บุกไปเอาชนะนอริช ซิตี้ ได้อย่างชัดเจน แถมยังรับมือกับผู้เล่นริมเส้นฝั่งขวาของเบิร์นลี่ย์ได้อย่างอยู่หมัดทั้งจาก โยฮันน์ กุ๊ดมันด์สสัน และ แมทธิว ลอว์ตัน
และที่สำคัญที่สุดลิเวอร์พูลได้กลับมาเล่นที่แอนฟิลด์ โดยมีสาวก เดอะ ค็อป เต็มความจุของสนามอีกครั้ง ในรอบ18เดือน นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลิเวอร์พูล เล่นได้อย่างเร้าใจ ฮึกเฮิม
การเอาชนะ "เดอะ คลาเร็ตส์ "ไปได้เบาะ 2-0 พลพรรคเครื่องจักรสีแดง ยังไม่ได้ทุ่มปล่อยพลังออกมา100% เล่นแค่ระดับ70-80% ก็สามารถตบผู้มาเยือนได้แบบสบายๆ
ด้านผู้ปราชัยเบิร์นลี่ย์ นี่คือการออกสตาร์ทด้วยการแพ้2นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลที่2ติดต่อกันเข้าให้แล้ว (2020-2021 พวกเขาแพ้3นัดรวด) ฌอน ไดซ์ เห็นทีอาจจะต้องปรับในเรื่องของการเข้าทำที่หลากหลายในแนวรุกมากขึ้น เพราะเราแทบจะเห็นแต่การโจมตีจากภาคพื้นอากาศ สำหรับทีมชุดนี้
แผนโดยการใช้กองหน้าสไตล์โบราณสูงใหญ่โจมตี รวมไปจนถึงการขึ้นมาเล่นลูกเซ็ตพีชของคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟอย่าง เบน มี และ เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ ก็ดูจะโบราณเกินไปหน่อย (นานๆทีจะได้ผล) ผู้เล่นเพียงคนเดียวของเบิร์นลี่ย์ ที่พอจะมีทักษะส่วนตัวสูง เล่นฟุตบอลสไตล์สมัยใหม่ เห็นทีจะมีเพียงปีกซ้ายของทีมอย่าง ดไวท์ แม็คนีล เท่านั้น
คอนตาส ซิมิคาส แก้ตัวจากเกมนอริช
แม้ว่าจะทีมจะเก็บคลีนชีตได้ในเกมที่บุกไปเอาชนะ นอริช ซิตี้ 3-0 แต่ทว่าฟอร์มส่วนตัวของ คอนตาส ซิมิคาส นั้นดูไม่จืดเลย เพราะนี่คือบ่อน้ำมันให้ทีมนกขมิ้นเจาะโจมตีหลายครั้งช่วงท้ายเกม การเล่นที่ดูเหม่อและประมาทจนทำให้รุ่นพี่ในทีมอย่าง เจมส์ มิลเลอร์ ต้องมากระตุ้นบางช็อต
อย่างไรก็ตามเกมต่อหน้าแฟน เดอะ ค็อปป์ ที่แอนฟิลด์ ก็เหมือนจะทำให้แบ็กซ้ายวัย25ปีรายนี้ มีความมั่นใจขึ้นเยอะมากพอสมควร ในเรื่องของเกมรับ ซิมิคาส สามารถเอาอยู่กับผู้เล่นริมเส้นฝั่งขวาของเบิร์นลี่ย์ได้อย่างไม่มีปัญหา
อย่าลืมว่านี่คือการออกสตาร์ทในเวทีพรีเมียร์ลีกของแข้งชาวกรีซรายนี้ นัดที่2เท่านั้น แต่ทว่าเจ้าตัวก็มีช็อตที่โชคดีเหมือนกัน เมื่อเหมือนไปใช้มือขวางไปฟาดเข้าที่หน้าของ โยฮันน์ กุ๊ดมันด์สสัน ตัวรุกของเบิร์นลี่ย์ ในจังหวะที่กำลังวิ่งไล่ไปกวดบอล จนแข้งชาวไอซ์แลนด์รายนี้ต้องไปนอนกองลงกับพื้น
แต่ทว่าก็โชคดีที่ผู้ตัดสินมองว่าเป็นจังหวะไหล่ต่อไหล่มากกว่า โมเม้นต์ที่สำคัญที่สุดของ ซิมิคาส คงหนีไม่พ้นการครอสเข้ามาอย่างเหมาะเหม่งไปจุดนัดพบให้กับ ดิโอโก้ โชก้า โขกสะบัดเปลี่ยนทางนิดเดียวเผด็จศึกเข้าไป
จังหวะจ่ายบอลคีย์พาส แข้งแดนเทพนิยายรายนี้ทำให้เราได้เห็นถึง4ครั้ง ก่อนที่ช่วงท้ายเกมเจ้าตัวจะถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และได้รับการปรบมือชื่นชมในผลงานจากแฟนบอล เดอะ ค็อป
การได้รับโอกาสในทีมชุดใหญ่ของ ซิมิคาส และทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจ น่าจะทำให้เจ้าตัวเป็นแบ็กซ้าย ตัวสำรองที่อุ่นใจของลิเวอร์พูลได้ ในยามที่ แอนดรูว โรเบิร์ตสัน เดี้ยง ซึ่งน่าจะดีกว่าการใช้นักเตะในวัย35ปีอย่าง เจมส์ มิลเลอร์ ขัดตราทัพเล่นแทน
คอนตาส ซิมิคาส Vs เบิร์นลี่ย์
71 สัมผัสบอล
9 ครอส
6 ชนะการดวล
6 แย่งบอล
6 พาบอลเข้าเขตโทษ
4 สร้างสรรค์โอกาส
3 แท็กเกิ้ล
3 เคลียร์บอล
1 แอสซิสต์
โชต้า สัญชาตญาณ ทำประตูเยี่ยม
การย้ายจากวูล์ฟแฮมป์ตัน มาอยู่กับลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะทำให้เจ้าตัวต้องปรับสไตล์การเล่นของตัวเองอยู่ไม่น้อย จากตัวริมเส้นสายสปีดกระชากลากเลื้อย มาเป็นตัวจบสกอร์กองหน้าในเขตโทษ ซึ่ง โชต้า ก็ทำได้ดีอย่างไม่ขัดเขินเลย
นี่คือการได้ออกสตาร์ทในพรีเมียร์ลีกเป็นตัวจริงติดต่อกัน2นัด และเป็นการเบียดผู้เล่นในตำแหน่งฟอลส์ไนนท์ อย่าง โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ให้เป็นตัวสำรองในเกมอีกครั้ง โดย2นัดที่ถูกส่งลงสนามแข้งชาวโปรตุเกสรายนี้ ก็เบิกสกอร์ได้ทั้ง2นัด
จังหวะขวิดให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ1-0 ต้องชมการวิ่งหาพื้นที่ของโชต้าเต็มๆ เมื่อวิ่งตัดหน้า เบน มี เข้ามาโขก โดยที่กองหลังหมายเลข6ของเบิร์นลี่ย์รายนี้ ไม่ทันได้ระมัดระวัง สัญชาตญาณเพชรฆาตในกรอบเขตโทษ คือสิ่งที่เจ้าตัวทำได้ดีกว่า ฟิร์มิโน่
แม้ว่าฟิร์มิโน่ เวลาที่ได้ลงสนาม ดาวเตะชาวบราซิลรายนี้ จะประสานงานกลมกลืนกับเพื่อนร่วมทีมได้ดี ลงมาล้วงบอลต่ำ แต่ทว่าจำนวนการผลิตสกอร์นี่คือสิ่งที่ ฟิร์มิโน่ อาจต้องลำบากเมื่อถูกนำไปเทียบกับ ดิโอโก้ โชต้า และสไตล์การเล่นของอดีตแข้งวูล์ฟรายนี้ จะเป็นอาวุธที่แปลกใหม่ของลิเวอร์พูลในซีซั่นใหม่2021-2022นี้
ว่ากันว่าฤดูกาลที่แล้ว 2020-2021 หากโชต้า ไม่เจ็บหนักเสียก่อน อาจแย่งตำแหน่งตัวจริงจาก โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ในตอนนั้นได้เลย ส่วนการโขกประตูใส่เบิร์นลี่ย์ได้ของเจ้าตัว นี่คือการทำประตูที่แอนฟิลด์ในเกมพรีเมียร์ลีกลูกแรก ใน7ประตูหลังสุดในเกมลีกที่โชต้าทำได้ (ถนัดยิงเกมเยือน)
เอลเลียต บอกลาทรงผมหัวสัปปะรด พร้อมเล่นดีเอาเรื่อง
เกมกับเบิร์นลี่ย์ เมื่อคืนนี่คือการออกตาร์ทเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกหนแรกของ กองกลางวัย18ปี อดีตเจ้าของทรงผมหัวสัปปะรดรายนี้ หลังจากที่ ฟาบินโญ่ สูญเสียคุณพ่อไปอย่างกระทันหัน ทำให้ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ได้รับโอกาสทองสุดสำคัญนี้
ภาพรวมตลอดทั้งเกมกับเบิร์นลี่ย์เมื่อคืนของ เอลเลียต ถ้าตีเป็นตัวเลขคงให้คะแนนได้ประมาณ 7 เต็ม10 แข้งวัย28ปีรายนี้ เล่นในบทบาทมิดฟิลด์ฝั่งขวาประสานงานกับ โม ซาลาห์ และ เทรนท์ เป็นหลัก
ประตู 2-0 ต้องชื่นชมเจ้าตัวด้วยที่เอาบอลวางยาวจาก ฟาน ไดค์ ดูดลงได้อย่างนิ่มนวล ก่อนจ่ายต่อให้ TAA แล้วไปจบที่ ซาดิโอ มาเน่
น่าเสียเช่นกันจากจังหวะจ่ายสุดสวยของ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เอี้ยวตัวเล็กน้อยยิงเข้าไปอย่างสวยสดงดงาม แต่ทว่ามาถูก VAR เจ้ากรรมยึดประตูคืนเพราะเป็นจังหวะล้ำหน้าของ บังโม ไปก่อน โดยแข้งดาวรุ่งรายสามารถนี้เรียกฟาวล์ให้ทีมได้หลายครั้ง
อีกจุดหนึ่งที่อดีตเจ้าของทรงผมหัวสัปปะรดรายนี้ ทำได้เยี่ยมนั่นก็คือความใจกล้า กล้าบวกกล้าลุยกับแข้งนักเตะเบิร์นลี่ย์ ที่ค่อนข้างมีความแข็งแกร่งด้านร่างกายด้วยความเป็นทีมที่เน้นการเล่นฟุตบอลแบบสไตล์โบราณ
แต่ความคล่องแคล่ว รวมถึงความมั่นใจนี่ค่อสิ่งที่ทำให้ เอลเลียต ทำได้ดีในหลายๆจังหวะ ที่เจอการเข้ามากดดันเวลาได้บอลของนักเตะทีมเยือน
ถึงกระนั้นก็ดีการได้ลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีกตัวจริงครั้งแรกในวัยเพียงแค่18ปี เป็นเรื่องที่กดดันไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับแข้งดาวรุ่งคนหนึ่ง เราได้เห็นจังหวะการเล่นที่ดูล้น ดูเกิน เร่งจังหวะมากเกินไปบ้าง แต่ทว่าด้วยอายุเพียงแค่18ปี เจ้าตัวยังมีเวลาได้พัฒนาตัวเองได้อีกเยอะ หากยังอยู่ในมือการดูแลของ เจอร์เก้น คล็อปป์
ฟาน ไดค์ ทำให้หลังหงส์ดูแน่นเป็นระเบียบ
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ รีเทิร์นกลับมาบัญชาการแนวรับของลิเวอร์พูลในซีซั่นใหม่นี้ด้วยการพาทีม เก็บคลีนชีตได้2นัดรวด การกลับมาของเซ็นเตอร์ฮาร์ฟชาวดัตช์รายนี้ ทำให้เกมรับของทีมหงส์แดงมีระเบียบ มีความเสถียรกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ถ้าจะเปรียบเทียบเซ็นเตอร์ฮาร์ฟเจ้าของค่าตัว75ล้านปอนด์รายนี้ เปรียบเสมือนสารตั้งต้นในเกมรับของทีมหงส์แดงเลยก็ว่าได้ การที่ ฟาน ไดค์ เป็นตัวหลักในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง ทำให้เซ็นเตอร์แบ็กคนไหนที่จะเข้ามาร่วมเล่นเป็นคู่ด้วย ก็เล่นได้อย่างสบายใจ
นัดนี้ โจเอล มาติป โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นไม่แพ้กันเพราะมี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เป็นเสาหลักให้ การอ่านเกมความ นิ่ง มันสมองในการเล่นที่คือสิ่งที่อดีตกองหลังเซาธ์แฮมป์ตันมอบให้กับลิเวอร์พูลมาตลอด และมันขาดหายไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ช่วงที่เจ้าตัวเจ็บ จนทำให้ทีมหงส์แดงเป๋อย่างน่าเกลียด
แม้จะไม่ต้องออกแรงชนิด 100% แต่ทว่า ฟาน ไดค์ ก็สามารถจัดการแนวรุกของทีมเยือนได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะ2หัวหอกจอมซ่าอย่าง แอชลี่ย์ บาร์นส์ และ คริส วู้ด ที่ว่ากันว่าเป็นคู่กองหน้าที่เล่นแรงและสกปรกมากที่สุดคู่หนึ่งในลีก
นอกจากนี้ในช่วงท้ายเกม VVD ยังมีจังหวะสวยๆตามไปบล็อกสไลด์ช็อตหลุดเดี่ยวของ เจย์ โรดริเกซ ได้อย่าง น่าปรบมือให้
การรีเทิร์นของ ฟาน ไดค์ ทำให้ลิเวอร์พูลหายกังวลเป็นอย่างมากในเรื่องของกองหลัง เพราะหากฟานไดค์ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง เซ็นเตอร์คนอื่นๆที่จะเข้ามาเล่นจับคู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น โจเอล มาติป / โจ โกเมซ รวมไปจนถึงผู้มาใหม่ อิบราฮิมา โกนาเต้ เซ็นเตอร์ชาวเนเธอร์แลนด์รายนี้ก็สามารถประคองคนอื่นๆได้
เบิร์นลี่ย์ ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
แม้สกอร์จะบุกมาแพ้แบบสบายตัวเกินไปหน่อย 2-0 แต่ทว่าในช่วงต้นเกม พลพรรค เดอะ คลาเล็ตส์ ก็มีโอกาสบุกโจมตีใส่เจ้าบ้านลิเวอร์พูลเหมือนกัน แต่ติดขัดตรงที่ความเฉียบคมในการจบสกอร์ของพวกเขายังคงเป็นไปตามมาตรฐานของทีมขนาดเล็กอยู่
ตลอดทั้งเกมลูกทีมของ ฌอน ไดซ์ มีโอกาสยิงถึง8ครั้ง เข้ากรอบ3ครั้ง ทั้งจังหวะซัดของ ดไวท์ แม็คนีล -ที่โดน เทรนท์ เคลียร์ออกมาจากเส้น รวมไปถึงแอชลี่ย์ บาร์นส์ ที่ได้โอกาสหลุดเดี่ยวไปดวลกับ อลิสซง แต่ทว่าเป็นนายด่านชาวบราซิลรายนี้ที่ออกมาปิดมุมและเซฟได้อย่างหมดจด
เบิร์นลี่ย์ ที่นักเตะมีความแข็งแกร่งในเรื่องของ Physical ร่างกายของนักเตะ จังหวะชน จังหวะปะทะของพวกเขายังเชื่อขนมกินได้ แต่ทว่าลิเวอร์พูล ก็แก้ลำได้ตั้งแต่ก่อนเกม ด้วยการเล่นบอลสปีดเลย อาศัยความคล่องแคล่วของนักเตะเล่นงาน
บอลไดเร็คของ เบิร์นลี่ย์ ดูจะเป็นบอลมิติเดียวไปหน่อย แม้ว่ามันจะทำให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีกมาหลายฤดูกาล แต่ทว่าการเล่นระบบ 4-4-2 มีกองหน้าคู่เป็นสไตล์โบราณตัวใหญ่ทั้งคู่ ก็ดูจะเป็นไอเดียที่เก่าไปไม่น้อย
รวมถึงการเข้าทำก็จะเป็นไปในทิศทางโยนบอมบ์เข้าใส่ บางที ฌอน ไดซ์ อาจจะลองปรับเปลี่ยนด้วยการนำเข้า ผู้เล่นแนวรุกกองหน้าสไตล์จี๊ดจ๊าดคล่องแคล่วเข้ามาบ้าง
เมื่อคืนผู้เล่นที่สอบผ่านของพวกเขาเห็นจะมีเพียง ปีกซ้ายอย่าง ดไวท์ แม็คนีล ริมเส้นวัย21ปีรายนี้ เลี้ยงบอลผ่านผู้เล่นหงส์แดงได้ถึง 4จากการดวล5ครั้ง รวมไปถึง แอชลี่ย์ บาร์นส์ แม้จะยิงไม่ผ่านอลิสซง แต่ทว่าก็ยังสร้างสรรค์หาโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมถึง3หนด้วยกัน
- คอลัมน์นิสต์
- 540
- 22 ส.ค. 2564 12:44