บอลแพ้ทาง ! สิงห์ ทุบไก่สบาย 2-0 ซิเย็ค ร่ายมนตร์พ่อมด
ยังคงเป็นทีมที่แพ้ทางกันอย่างแรง งูเหลือมกับเชือกกล้วยจริงๆสำหรับ สองคู่อริแห่งกรุงลอนดอนอย่าง เซลซี และ สเปอร์ส โดยเกมพรีเมียร์ลีกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อคืนก็กลายเป็นเจ้าบ้านที่ย้ำชัยอีกครั้งด้วยการเอาชนะไปได้แบบสบายๆเหนือกว่าทุกรูปแบบ 2-0
ฮาคิม ซิเย็ค ที่นานๆจะฟอร์มดีเตะตา ดันบังเอิญมาฟอร์มเข้าฝักในนัดนี้ เล่นได้ดีตลอดทั้งเกมคู่ควรรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ โดยเฉพาะลูกยิงปั่นด้วยซ้ายนอกกรอบเขตโทษสุดสวย ชนิดที่ ฮูโก้ โยริส ใช้ได้เพียงสายตาป้องกัน น.47
ก่อนที่ ติอาโก้ ซิลวา จะมาโขกตูมเดียวหายจากลูก ฟรีคิก ของ เมสัน เมาท์ น.55 หนีห่างเป็น 2-0 พร้อมปิดเกม ไม่ให้สเปอร์ส กลับเข้ามาสู่เกมได้ นอกจากสกอร์ที่เหนือกว่าแล้ว ทีมสิงห์น้ำเงินก็ครองเกม และสร้างสรรค์โอกาสได้เอกฉันท์กว่า ผู้มาเยือนอย่างเสร็จสรรพ
โธมัส ทูเคิ่ล ที่มาในระบบ 4-1-4-1 สามารถกำราบและครองเกมได้เหนือกว่าลูกทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ อย่างอยู่หมัด จอร์จินโญ่ มิดฟิลด์ ผู้ยืนเป็นตัวสุดท้ายในแดนกลาง เอาอยู่มากๆในเรื่องของ การคอนโทรลเกม กำหนดจังหวะ Tempo ว่าควรจะออกบอลช้าหรือเร็ว
แม้จะมีรูปเกมที่เหนือกว่า และเก็บ3แต้มเข้ากระเป๋าได้ แต่ทว่าก็ยังมีผู้เล่นในทีมที่ยังฟอร์มออกอ่าวออกทะเลหมดความมั่นใจสุดขีดจริงๆ ซึ่งนั้นก็คือ โรเมลู ลูกากู ที่ว่ากันว่าตอนนี้ "พี่ตู้ " เข้าใกล้ฟอร์มสากกะเบือ สมัยที่สวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว เป็นแมตช์ที่เจ้าตัวทำอะไรก็งง เคลื่อนที่ดูน่าหงุดหงิด ง่ามมือง่ามเท้าไปหมด
ส่วนแนวรุกอีกคนอย่าง คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ทั้งที่เจอตัวประกบอย่าง จาเฟ็ด แทนกันก้า ที่ไม่ได้เหนียวแน่นหรือเก๋าประสบการณ์มาก แต่ทว่า โอดอย ก็แทบจะเลี้ยงไม่ผ่านหรือสร้างความหนักอกหนักใจให้กับแบ็กวัย22ปีรายนี้เท่าไหร่
ทางด้านสเปอร์ส ด้วยสถิติต่างๆก่อนหน้า ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า พวกเขาเป็นรองสิงน้ำเงินอยู่ไม่น้อยในเรื่องของ สถิติการดวลกัน อาจจะด้วยความพ่ายแพ้ต่อเซลซี มา3นัดรวดในฤดูกาลนี้ ทำให้ อันโตนิโอ คอนเต้ เลยหาทางงัดแท็กติก อินฟอร์เมชั่น การเล่นรูปแบบใหม่ออกมา
แต่ทว่าการเล่นที่ไม่ใช่ระบบหลัง3ที่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยนรายนี้คุ้นชิน สเปอร์ส ที่มาในระบบ 4-4-2 แทบไม่เป็นตัวของตัวเองและสร้างเกม เซ็ตบอลไม่ได้เลย
คู่หัวหอกอย่าง แฮร์รี่ เคน และ สตีเว่น เบิร์กจ์ไวน์ กลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย ได้บอลและได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นรายอื่นๆน้อยมาก
นานๆที จะเห็นร่างพ่อมด ซีเย็ค
ช่วงที่ผ่านมาเรียกได้เลยว่า นี่คือนักเตะเต็งจ๋า มือวางอันดับ1ที่จะถูกขายออกจากถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เลยก็ว่าได้ สำหรับปีกร่างเล็กอย่าง ฮาคิม ซิเย็ค เพราะดูยังปรับตัวให้เข้ากับระบบทีมไม่ได้สักที รวมถึงเมื่อได้รับโอกาสลงสนามก็ทำตัวน่าผิดหวังตลอด
แต่ทว่าเกม ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ เมื่อคืนนั้นแตกต่างออกไป ซิเย็ค ได้เล่นในตำแหน่งปีกขวาด้านกว้างที่ตัวเองถนัด ในระบบ 4-1-4-1 ทำให้เจ้าตัวมีพื้นที่ด้านข้างเยอะกว่าในระบบก่อนหน้าอย่าง 3-4-2-1 หรือ 3-4-3
เมื่อมีเวลาและพื้นที่ให้คิดไอเดียเข้าทำ เราจึงได้เห็นฟอร์มของแข้งชาวโมร็อกโกรายนี้ ในแบบที่ต้องการสักที ซิเย็ค อันตรายมากๆในทุกๆเพลย์การเล่น ไม่ว่าจะเป็นการกระชากลากเลื้อย จ่ายบอลทำทางให้กับเพื่อน เล่นเอา เบน เดวิส เสียผู้เสียคน
ชิเย็ค พาบอลเข้าไปในเขตโทษสเปอร์สถึง13ครั้ง - เอาชนะการดวลได้ 10หน - แย่งบอลกลับคืนมาได้ถึง 10ครั้ง - ครอสบอล 10ครั้ง - สร้างโอกาสยิง และ แท็คเกิ้ล ได้อย่างละ4หน- สร้างสรรค์โอกาสทองให้เพื่อน 2ครั้ง
และที่ลืมไม่ได้เลยนั่นก็คือลูกยิงด้วยซ้ายนอกกรอบเขตโทษของเจ้าตัว ที่มุมสามเหลี่ยมสุดๆ ทั้งปั่นและฮุบเสียบมุมได้ทันเวลา ยิงชนิดที่โกลอย่าง ฮูโก้ โยริส ทำได้ดีที่สุดคือปกป้องด้วยสายตาเท่านั้น
แต่ทว่าอย่างไรก็ตามต้องดูในนัดต่อๆไปด้วยว่า เมื่อ ซีเย็ค ได้เล่นในระบบอื่นๆ ที่พื้นที่ด้านกว้างน้อยกว่านี้ หรือมีเวลาให้คิดให้เข้าทำที่ไม่มากเหมือนแมตช์กับสเปอร์ส ก็ต้องคอยมาลุ้นว่าดาวเตะหมายเลข22 จะยังโชว์ฟอร์มพ่อมดได้ดีเหมือนแผนเมื่อคืนรึเปล่า
ติอาโก้ ซิลวา ชอบยิงทีมจากลอนดอน
เอาในเรื่องของเกมรับก่อนกองหลังชาวบราซิลรายนี้ ทำได้ดีมากๆในการรับมือกับคู่กองหน้าอย่าง แฮร์รี่ เคน และ สตีเว่น เบิร์กไวจ์น แม้ความเร็วจะหายไปเยอะแต่ทว่า ซิลวา ก็ยังได้ในเรื่องของความเก๋าและการอ่านเกมที่เด็ดขาด
อีกหนึ่งช็อตความเก๋าที่ อดีตเซ็นเตอร์ เปแอชเช และ เอซี มิลาน ปล่อยออกมาให้เห็นในนัดนี้นั่นก็คือ จังหวะเรียกฟาวล์จาก เคน ที่ไปผลักเจ้าตัว ก่อนซัดบอลเข้าตาข่ายไป
โอเค ถ้ามองในแง่หนึ่งก็คือมันฟาวล์จริงๆ เพราะดาวยิงทีมชาติอังกฤษรายนี้ ใช้มือไปผลักชัดเจน แต่ทว่าก็ต้องชมกองหลังวัย37ปีรายนี้ ที่เลือกไหลไปตามจังหวะล้ม ไม่เลือกที่จะฝืนเล่นต่อ เพราะหากไม่ล้มลงไป ผู้ตัดสินอาจมองว่าไม่ใช่จังหวะฟาวล์ได้
ไม่ว่าจะเป็นระบบ 3เซ็นเตอร์ หรือ ระบบ2เซ็นเตอร์ ซิลวา ก็เล่นได้อย่างไม่มีปัญหาเสมอ มิหนำซ้ำในหลายๆนัดที่ผ่านมา นี่คือผู้นำในเกมรับของสิงห์บูลส์อย่างแท้จริง บรรดาผู้เล่นที่พรรษาไม่แก่กล้าอย่าง มาล็อง ซาร์ - เทรโวห์ ชาโลบาห์ ได้เรียนรู้จากกองหลังรุ่นพี่รายนี้ไปเต็มๆ
เกมรับเยี่ยม นัดกับสเปอร์ส ติอาโก้ ซิลวา ยังเติมมาโขกประตูได้อีกด้วย และก็ต้องชื่นชมแนวรับแดนกาแฟรายนี้ ที่กะจังหวะสอดเข้ามาได้อย่างพอเหมาะพอดี ให้ทั้งได้เปรียบและไม่ล้ำหน้า
โดยอีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจเกมนี้ก็คือ ประตูที่ ติอาโก้ โหม่งเมื่อคืน นี่คือลูกที่5ในพรีเมียร์ลีกของเจ้าตัว และทั้ง5ประตูคือการพังตาข่ายใส่ทีมจากลอนดอนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สเปอร์ส (2ลูก) เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (2ลูก) และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (1ลูก)
พี่ตู้ จะกลับคืนร่างเดิมสมัยอยู่ผีไม่ได้นะ
เหมือนจะทำความมั่นใจหล่นหายไปอยู่ตาตุ่มจริงๆสำหรับ ดาวยิงขวัญใจแฟนบอลฝั่งตรงข้ามตอนนี้อย่าง โรเมลู ลูกากู ที่ปัจจุบันเข้าใกล้ร่าง "พี่ตู้เย็น " สมัยที่อยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกขณะ
ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ เมื่อคืน เป็นเกมที่สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจที่หายไปเหมือนไม่มีวันกลับมาของ ลูกากู อย่างแท้จริง เอาในเรื่องของการวิ่งทำทาง ดาวยิงชาวเบลเยี่ยมรายนี้ ทำตัวได้น่างงสุดๆ ดูจะไม่เข้ากับสเต็ปการเล่นของเพื่อนร่วมทีมเท่าที่ควร
ช็อตเตะตาสุดๆเห็นจะเป็นลูกเปิดจากด้านข้างมาให้ของ เมสัน เมาท์ สองครั้งสองครา หนแรกในช่วงไม่ถึง60วินาที ลูกากู ยิงโด่งข้ามคานออกไปไม่ได้ลุ้น หนที่สองหนักกว่าเพราะ เจ้าตัวยิงว่าวหวดไม่โดนบอลซะงั้น
ยังไม่รวมถึงจังหวะจะเข้าชาร์ตแต่กลับกลายเป็นจังหวะทำฟาวล์คู่แข่งไปก่อน สิ่งเดียวที่ลูกากูเหมือนจะทำได้ดีคือการ โฮลบอล พักบอล แต่จังหวะจบสกอร์เรียกได้ว่าความคมน้อยไปหน่อยกับโอกาสยิง3ครั้ง
13นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีกที่ได้ลงสนาม โรเมลู ลูกากู ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้เพียงแค่2ลูกเท่านั้น ทั้งที่สามนัดแรกในการประเดิมในพรีเมียร์ลีกเจ้าตัวกดไปได้3เม็ด
ไก่ Vs สิงห์ เท่ากับงูเหลือมเชือกกล้วย
ถึงเป็นเรื่องแปลกแต่มันก็คือเรื่องจริงนะสำหรับการแพ้ทางในวงการฟุตบอล ที่ก็ไม่ทราบสาเหตุและคำอธิบายเหมือนกัน หรือเราจะได้ยินบ่อยๆสำหรับวลีงูเหลือมกับเชือกกล้วย ฟุตบอลคู่ระหว่าง เซลซี กับ สเปอร์ส ก็เป็นในทำนองนั้นเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ สเปอร์สฟอร์มแรงขึ้นมามีสิทธิลุ้นแชมป์ แต่ทว่าพวกเขาก็มักจะถูกเซลซีขัดแข้งขัดหาอยู่เป็นประจำ เอาที่ชัดเจนเห็นจะเป็นฤดูกาล 2015-2016 ที่พลพรรคสิงห์บูลส์ไล่เสมอไก่เดือยทอง 2-2 จนแชมป์ตกเป็นของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในที่สุด
มาในซีซั่นนี้ก็เหมือนกัน สเปอร์ส ที่นับตั้งแต่เปลี่ยนกุนซือมาเป็น อันโตนิโอ คอนเต้ พวกเขาผลงานในลีกยอดเยี่ยมมากๆ 9นัดหลังสุด พวกเขาชนะ6 เสมอ3 ไร้พ่าย
แตกต่างจากเซลซีที่อยู่ในช่วงขาลงแทบจะหมดสิทธิลุ้นแชมป์ เพราะ9นัดหลังสุดชนะได้แค่ 2เสมอ5แพ้ 2 แถมยังเป็นการเก็บคลีนชีตได้แค่นัดเดียว แต่ทว่าเกมกับคลับไก่เมื่อคืน พวกเขากับคว้า3แต้มได้ ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่าและยังเก็บคลีนชีตได้อีกด้วย
เอาแค่ในซีซั่นนี้ ลูกทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็กำราบสเปอร์สได้4นัดติดต่อกันเข้าให้แล้ว (รวมในคาราบาว คัพ ) และเป็นการเอาชนะเกมศูนย์ได้ทั้งหมด
ในพรีเมียร์ลีก สถิติการมาเยือนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของ ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส นั้นแย่เหลือรับประทานจริงๆ เมื่อ32นัด พวกเขาบุกมาหักคอเซลซีได้เพียงแค่ 1ครั้ง - คว้าผลเสมอ 10ครั้ง และแพ้ออกไปถึง 21ครั้ง
คอนเต้ ไม่ถนัดระบบหลัง4 ขุมกำลังเสริมไก่ยังไม่แกร่งพอ
เป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อยที่นัดนี้ สเปอร์ส ปรับแผนมาเล่นในระบบ 4-4-2 เปลี่ยนจากระบบที่เคยถนัดและทำได้ดีมาตลอดในระบบ 3-4-3
แต่ก็เข้าใจ อันโตนิโอ คอนเต้ ตรงที่สองนัดในเกมรอบรองคาราบาวคัพ พวกเขาโดนเซลซี อัดเรียบ 2-0 และ 1-0 จึงทำให้ต้องคิดแท็กติกการเล่นใหม่ๆเพื่อหยุดเซลซี
แต่ทว่ากลับกลายเป็นแผนหลัง4ของ คอนเต้ ก็ไม่ได้ทำให้ สเปอร์ส ไฉไลขึ้นมาเลย เพราะรูปเกมส่วนใหญ่อยู่ในการครอบครองของเซลซี มิดฟิลด์คู่กลางอย่าง ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก และ แฮร์รี่ วิ้งค์ส ไม่สามารถเซ็ตเกมขึ้นมาได้
ทำให้การขึ้นเกมบุกส่วนใหญ่จะเป็นการรอเล่นในจังหวะสวนกลับ วางบอลยาวหรือจ่ายบอลให้ เบิร์กไวจ์ ลากตะลุยขึ้นไปด้นสดเอาเอง ก่อนที่สุดท้ายจะลงเอยด้วยการโดนรุมกินโต๊ะ ทำให้เมื่อคืนสเปอร์ส มีโอกาสยิงเข้ากรอบเพียงแค่ 3หนเท่านั้น
หนสุดท้ายที่ คอนเต้ เล่นระบบหลัง4ในพรีเมียร์ลีก ต้องย้อนไปไกลถึงนัดที่แพ้อาร์เซน่อล 0-3 เมื่อเดือนกันยายน ปี2014 เลยทีเดียว พอหลังจากนั้นจอมเฮี๊ยบชาวอิตาเลี่ยน ก็ปรับมาเล่นระบบหลัง3 คว้าชัย13นัดรวดในลีก และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในที่สุด (2014-2015)
อีกจุดที่ดูจะเป็นปัญหาของทีมคลับไก่ ในการลุ้นท็อปโฟร์นั่นก็คือ ขนาดทีมคุณภาพเชิงลึกของพวกเขาที่นักเตะตัวสำรองดูไม่น่าจะมีใครพลิกเกมพลิกสถานการณ์ได้เลย มิดฟิลด์ฝั่งซ้ายและขวานัดนี้พวกเขาถึงขนาดต้องใช้ แมตต์ โดเฮอร์ตี้ และ ไรอัน แซสเซอญง ที่ฟอร์มทื่อมาตลอดลงตัวจริง
ขนาดที่รายชื่อบนม้านั่งสำรองมีเพียง ลูคัส มูร่า ที่พอจะคาดหวังได้ ในขณะที่ ไบรอั้น กิลล์ ก็ยังดูท่าทางแล้วต้องใช้เวลาปรับตัวกับฟุตบอลลีกเมืองผู้ดีอีกเยอะเลยทีเดียว ส่วน แดน สการ์เล็ตต์ จะหวังพึ่งอะไรได้กับดาวยิงเด็กวัยเพียงแค่ 17ปี
- คอลัมน์นิสต์
- 524
- 24 ม.ค. 2565 13:47