อนาถคาบ้าน ! ยูซีแอลอยู่ในมือ หงส์ บุกกระซวกผีเละ 4-2 บ็อบบี้ เบิ้ล
เรียกได้ว่าอนาถคาบ้านจริงๆสำหรับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อศึกแดงเดือดหนนี้ โดนคู่อริตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล บุกมาถลุงเละคา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 4-2 ความยอดเยี่ยมของแนวรุกทีมหงส์แดง และความเปราะบางผิดพลาดในแนวรับของทีมปีศาจแดง คือตัวตัดสินผลการแข่งขันในนัดนี้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อุตส่าห์พักตัวผู้เล่นชุดหลักถึง10คน ในเกมที่พ่ายให้ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-2 เมื่อวันอังคาร กลับมาจัดผู้เล่นชุดใหญ่เต็มอัตราศึกไฟกระพริบอีกครั้งในเกมกับลิเวอร์พูล เพื่อหมายหมั้นปั้นมือ เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกให้ได้ครั้งแรก ในยุคของน้าโอเล่
ส่วนลิเวอร์พูล ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะบุกมาคว้า3แต้ม ยังถิ่น โรงละครแห่งความฝัน เพื่อต่อลมหายใจและโอกาสในการไปเล่นยังเวที ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในเรื่องของตัวผู้เล่น เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับทัพใน3ประสานแดนหน้าเล็กน้อย
เมื่อให้ ดิโอโก้ โชต้า ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แทน ซาดิโอ มาเน่ ส่วนคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ ใช้ รีส วิลเลี่ยมส์ จับคู่กับ แน็ท ฟิลลิปส์ พร้อมขยับ ฟาบินโญ่ ขึ้นมาเล่นบนแดนกลางที่เจ้าตัวถนัด
ช่วง10นาทีแรกเป็นฝั่งของทีมเจ้าบ้านที่ทำได้ดีกว่ามากๆ และมาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนพร้อมโชคเล็กน้อย เมื่อลูกยิงของ บรูโน่ แฟร์นันเดซ ไปแฉลบ เนธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ เปลี่ยนทางเข้าประตูไป แต่ทว่าความประมาทและความผิดพลาดในการจับระเบียบเกมรับก็ทำให้ ลิเวอร์พูล แซงขึ้นนำ2-1 ในครึ่งแรก จาก ดิโอโก้ โชต้า น.34 และลูกโขกของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ น.45
45นาทีหลังเป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ฉีกหนีห่างขึ้นไปอีกเป็น3-1 จากจังหวะที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ที่รับลูกยิงของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ หลุดออกมาให้เจ้าเก่า " บ็อบบี้ " ฟิร์มิโน่ ซ้ำเข้าไปง่ายๆ ก่อนที่จะเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดไปยิงไล่ตีตื้นขึ้นมา 2-3 น.68
แต่ทว่าการพยายามดันขึ้นสูงเพื่อเอาประตูตีเสมอ กลับทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ประตูตากฝาโรง 2-4 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 90+ จากจังหวะลากหลุดเดี่ยวของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
3แต้มของลิเวอร์พูล ต้องบอกว่าพวกเขาคู่ควรมากๆ เพราะเต็มไปด้วยแรงกระหาย ความต้องการชัยชนะ เพื่อทำอันดับไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป รวมไปถึงตัวกุนซืออย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่แสดงอารมณ์ Passion กระตุ้นลูกทีมอยู่ตลอดเวลา ทั้งในยามที่สถานการณ์ตกเป็นรองและเหนือกว่า
ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะไม่มีผลต่ออันดับตารางคะแนน แต่มันก็เหมือนเป็นการเปิดแผลสดๆของทีมให้คู่แข่งได้เห็นอีกครั้ง โดยเฉพาะในแนวรับในยามที่ไม่มี แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เกมรับของ ยูไนเต็ด ดร็อปลงอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในลูกตั้งเตะลูกกลางอากาศ ที่โดนคู่แข่งเล่นงานง่ายๆมา2นัดติด และน่ากังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่า กัปตันหัวโตรายนี้ จะหายทันกลับมาในนัดชิง ยูโรป้าลีก ที่จะดวลกับ บียาร์เรอัล จากสเปน หรือไม่
ไบยี่ เข้าบอลโคตรโฉ่งฉ่าง
นี่เป็นอีกหนึ่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟที่แฟนผีเรียกร้องให้ยืนออกสตาร์ทคู่กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ก่อน วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ในช่วงที่กองหลังเจ้าของค่าตัว80ล้านปอนด์ไม่ได้บาดเจ็บ นัดนี้จึงทำให้เราได้เห็นการประสานงาน(งา)กันของ กองหลังชาวสวีเดน และ กองกลังชาว ไอวอรี่ โคสต์
จากที่จะประสานงานกันให้แนวรับแข็งแกร่ง กลับกลายเป็นประสานงาล้มระเนนระนาด ประจักษ์ด้วยผลงานการโดนลิเวอร์พูลกระซวกตาข่ายไป4ดอกเน้นๆ โดยเฉพาะ ไบยี่ ที่ดูลุกลี้ลุกลน ลนลานผิดปรกติ โดยเฉพาะจังหวะที่ พุ่งเข้าไปเสียบ แน็ท ฟิลิปส์ จนตอนแรกผู้จัดสิน แอนโธนี่ เทย์เลอร์ เป่าเป็นจุดโทษให้
แต่ทว่าสัญญาณจากผู้ตัดสินที่ห้อง VAR ส่งสัญญาณเข้ามาถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เจ้าตัวกลับไปพิจารณา VAR ข้างสนามอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนตัดสินใจเปลี่ยนคำตัดสินให้จุดโทษแก่ทีมหงส์แดงในที่สุด
โอเคแม้ภาพช้าจะชัดเจนว่า ไบยี่ เข้าถึงบอลก่อน แต่ทว่าความรู้สึกแรกของแฟนบอลอย่างเราๆ ที่ดูการถ่ายทอดสดอยู่ ต้องบอกว่าจังหวะดังกล่าวเมื่อเห็นครั้งแรก สมควรเป็นจุดโทษอย่างยิ่ง จนมาพิจารณาจากภาพช้าจึงเห็นว่าอดีตกองหลังบียาร์เรอัล รายนี้เข้าถึงบอลก่อน
ยังไม่รวมจังหวะที่เจ้าตัวพุ่งบล็อคลูกตบเข้ามาด้านในของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ที่บอลลอดไปโดนแขนของ กองหลังวัย27ปีรายนี้เต็มๆ แต่ผู้ตัดสินมองว่าเจ้าตัวไม่ได้เจตนามากกว่า จึงทำให้รอดไปอย่างหวุดหวิด
แต่ทว่าเมื่อพิจาณาจากความละเอียด ความเนียบของการทำหน้าที่เป็นเซ็นเตอร์ฮาร์ฟแล้ว ไบยี่ เข้าบอลสุ่มเสี่ยงต่อการเสียจุดโทษหรือใบแดงหลายครั้ง ไม่ใช่เพียงในนัดกับหงส์แดง แต่หลายนัดมากๆที่เจ้าตัวเข้าบอลอันตรายเกินเหตุ สำหรับคำนิยามของไบยี่เมื่อคืนสั้นๆก็คือ " บ่อน้ำมันชั้นเลิศของทีม "
ปัญหาโลกแตก ผี กับการรับมือลูกเซ็ตพีช
ว่ากันว่านี่คือปัญหาที่หลายๆคนรู้และเห็นมาตลอดสำหรับเกมรับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นก็คือการรับมือลูกตั้งเตะลูกเซ็ตพีช ที่มีลุ้นให้หวาดเสียวเจียนอยู่เจียนไปตลอด แม้เวลาที่มีเจ้าเวหาอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ก็ยังต้องลุ้นเสียวทุกครั้ง
2นัดหลังสุดที่ไม่มี กองหลังเจ้าของค่าตัว80ล้านปอนด์รายนี้ แนวรับของทีมปีศาจแดงเละเป็นโจ๊กมากๆ เหมือนทีมขาดผู้นำ ขาดจุดศูนย์กลางในเกมรับไปเลย โดนเฉพาะในเรื่องของการรับมือลูดตั้งเตะเซ็ตพีช
เกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ คักลาร์ โซยุนซู เติมขึ้นมาโขกเต็มกบาลอย่างง่ายดาย ในเกมกับลิเวอร์พูล ก็โดน โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ที่ไม่ได้มีจุดเด่นในเรื่องลูกกลางอากาศมากนัก สอดขึ้นมาโขกเหน่งๆเสียบเสาแรกแบบสบายๆ
ถ้าจะให้พูดตรงๆก็ แข้งปีศาจแเดงที่ตามมาประกบอย่าง ปอล ป็อกบา น่าจะทำได้ดีกว่านี้ โอเคว่าการป้องกัน หรือการเล่นเกมรับ ไม่ใช่จุดเด่นของมิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศส ควรจะทำได้ดีกว่านี้ทั้งที่สรีระร่างกายก็สูงใหญ่ยาวกว่า " บ็อบบี้ " เห็นๆ แต่กลับทำได้แค่เบียด และสะดุดยอดหญ้าล้มไปเองดื้อๆซะงั้น
นี่จึงเป็นอีกเกิดที่เปิดแผลเรื้อรังให้เห็นว่า แนวรับของปีศาจแดงเปราะบางมากแค่ไหน 2นัดหลังสุดที่โดนคู่แข่งในอันดับไล่เลี่ยกันตาราง กระซวกตาข่ายได้ถึง6ลูก ไม่ใช่เรื่องที่พึงปรารถนาเลย และยิ่งมีเกมสำคัญในนัดชิง ยูโรป้าลีก ที่จะถึงกับ บียาร์เรอัล
พลพรรคปีศาจแดง จะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนั่นมันอาจหมายถึงการจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า และ โซลชา ก็จะยังควานหาแชมป์ในฐานะผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้สักที
แกเร็ธ เซาธ์เกต คุณดูผมอยู่ไหม
มีช่วงหนึ่งที่เจ้าหนู เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดนโจมตีอย่างหนักหน่วงมากๆ สำหรับฟอร์มการเล่นที่หลุดลงไปอย่างน่าเกลียด แบบไม่มีเหตุและผลความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น จนกลับมาคืนฟอร์มเดิมที่คุ้นเคยได้เมื่อช่วง 2-3เดือนที่ผ่านมา
ฟอร์มของ TAA ในระยะหลังเหมาะสมและคู่ควรมากๆสำหรับการเป็นแบ็กขวาตัวจริง ทีมชาติอังกฤษลุยศึกยูโร2020 หลังจากช่วงที่ดาวเตะหมายเลข66 ฟอร์มหัวตกลงไป มีการถกเถียงกันหลายครั้งว่า แคนดิเดตใครคนไหนที่เหมาะสมและควรถูกนำมาแทนที่ตำแหน่งดังกล่าว
แต่ทว่าเกมแดงเดือดเมื่อคืน เจ้าหนูเทรนด์ ก็คู่ควรเหมือนกันสำหรับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ความมั่นใจ ความกระหาย ประสิทธิภาพในการเล่น อันตรายจากการเปิดครอสบอล นี่คือสิ่งที่เจ้าหนูวัย22ปี งัดโชว์ออกมาปล่อยแสงในแมตช์นี้
เทรนด์ มีส่วนร่วมกับประตูโดยตรงของทีมคือจังหวะที่เปิดบอลให้ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ โขกเสียบเสาแรกเข้าไป รวมไปจนถึงจังหวะซัดไปให้ ดีน เฮนเดอร์สัน ปัดไม่พ้นเขตอันตรายให้ " บ็อบบี้ " เจ้าเดิมที่สวมวิญญาณฉลามได้กลิ่นคาวเลือดตามซ้ำเข้าไป
นอกจากเกมรุกแล้ว เกมรับ เทรนด์ ก็ไม่ได้ละเลยแต่อย่างใด เพราะเล่นเอา ลุค ชอว์ และ ปอล ป็อกบา ตัองเผชิญกับความยากลำบากในการขึ้นเกมรุก ไปจนถึงทำให้แบ็กซ้ายก้นงอยของทีมปีศาจแดงพะว้าพะวัง กับการเล่นเกมรับหลายครั้ง ทำให้เติมเกมรุกได้ไม่สุดตัว
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ V แมนเชสเตอร ยูไนเต็ด
86 สัมผัสบอล
14 แย่งบอลกลับคืนมา (มากที่สุด)
5 ครอสบอล
5 สร้างสรรค์โอกาส (มากที่สุด)
4 โอกาสยิง
3 เคลียร์บอล
2 ตัดบอล
1 แอสซิสต์
ในวันที่ ฟิร์มิโน่ เป็นแบบที่เคยรูจัก
นี่คืออีกหนึ่งในแนวรุกของลิเวอร์พูล ที่โดนโจมตีอย่างหนักหน่วงมากที่สุดไม่แพ้ ซาดิโอ มาเน่ เลย โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ฟอร์มตกอย่างน่าเกลียดคนหนึ่งในฤดูกาลนี้ 6ประตู จาก44เกม ( ก่อนหน้าเกมกับ แมนฯยู) คือผลงานชิ้นโบว์ดำแสลงใจ บ่งบอกมาตรฐานของเจ้าตัวที่ตกลงไปเป็นอย่างดี
29มกราคม นี่คือหนสุดท้ายที่ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ สามารถส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้ หรือกินระยะเวลาไปเกือบ3เดือนครึ่ง ที่ดาวเตะแดนแซมบ้าผู้นี้เป้าสะอาด แม้จะเล่นเป็นศูนย์หน้าตำแหน่ง False9 ที่อาจจะไม่ได้เน้นหนักไปที่การทำประตู
แต่ก็ต้องเข้าใจว่า จำนวนสกอร์ที่ บ็อบบี้ ทำให้มันช่างน้อยเกินไปจนน่าคิดจริงๆ ว่าเจ้าตัวหมดไอเดียหรือหมดมุกกับลิเวอร์พูลหรือไม่ เพราะนี่คือฤดูกาลที่6ของเจ้าตัวยังถิ่น แอนฟิลด์ เข้าให้แล้ว
อย่างไรก็ดีฟอร์มของ ฟิร์มิโน่ ที่ฉายออกมาให้เห็นในเกมแดงเดือดเมื่อคืน ก็เป็นเวอร์ชั่นที่แฟนบอล เดอะ ค็อป เคยเห็นมาตลอดในก่อนหน้านั้น 2ประตูในเกมดังกล่าวบ่งบอกความสำคัญของเจ้าตัวในเกมนี้ได้เป็นอย่างดี
ความมั่นใจ การประสานงานกับเพือนได้อย่างลงตัว จังหวะการเล่นไหลลื่น ไม่ติดขัด ไม่นรกแตกของ ฟิร์มิโน่ นี่คือหนึ่งในอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แนวรุกของลิเวอร์พูลกระฉูดแตกมากๆ
เมื่อคืน ซาลาห์ ก็ยังยอดเยี่ยม โชต้า ยังเล่นได้อย่างสม่ำเสมอ เห็นทีคนที่เดือดร้อนในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล อาจจะเป็น " พี่ณเดช " ซาดิโอ มาเน่ นี่แหละ
เดจาวู แดงเดือด เมื่อผีเริ่มไม่ชนะหงส์
เผลอแป๊ปเดียว นี่ก็เป็นฤดูกาลที่3ติดต่อกันเข้าให้แล้ว ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถเอาชนะลิเวอร์พูลในเกมพรีเมียร์ลีกได้ ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 2017-2018 ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ เลยทีเดียว
โดยเกมดังกล่าวเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด สวมบทพระเอกเหมาคนเดียว2ประตู พาทัพปีศาจแดงเฉือนเอาชนะไปได้2-1 หลังจากนั้น6นัด (รวมเกมเมื่อคืน) แมนฯยูไม่เคย โค่นคู่อริตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลได้เลย ชนะ 0 - เสมอ 3- แพ้ 3
เมื่อคืนมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ซ้ำลอยเดิมเดจาวูในศึกแดงเดือดของฤดูกาล 2019-2020 นั่นก็คือ การที่ลิเวอร์พูล ได้ประตูจากลูกสวนกลับช่วงทดเวลาบาดเจ็บตอกฝาโรง จากคนคนเดิม โม ซาลาห์ ที่ลากโซโล่หลุดเดี่ยวแบบเกมเมื่อปี2020 เป๊ะๆ
สถิติการพบกัน 2-3ปีหลังระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นคือสิ่งที่แฟนบอล เดอะ เร้ด เดวิลส์ น่าจะมีความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพทีมที่โดนลิเวอร์พูล ทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ทั้งที่หงส์แดงเมื่อคืน ไม่มีมี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ รวมไปจนถึงกองกลางคนสำคัญอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ด้วยซ้ำ
ส่วนอีก เดจาวู ที่เกี่ยวข้องกับเกมก่อนหน้าที่แพ้ให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ นั่นก็คือสถิติโดยตรงที่เกี่ยวกับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
● เบรนแดน ร็อดเจอร์ส บุกมาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ครั้งสุดท้าย นั่นก็คือ 16 มีนาคม ปี 2014
● ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ครั้งสุดท้าย นั่นก็คือ 16 มีนาคม ปี 2014
โดย2สถิติดังกล่าวกว่า7ปี ถูกทำลายภายใน 3วัน ( 11 พ.ค -13 พ.ค 2021 ) ร็อจเจอร์ส พา เลสเตอร์
บุกมาเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด 2-1 และลิเวอร์พูล ก็บุกมาเอาชนะที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 4-2 เช่นกัน
- คอลัมน์นิสต์
- 359
- 14 พ.ค. 2564 15:08