อัซซูรี่ หืดจับ ! ต่อเวลา 120น.เชือด ออสเตรีย2-1 เคียซ่าซัดสวย
เรียกได้ว่าเมื่อคืนทำเอารถผ้าป่าคว่ำสำหรับแฟนบอลเฉพาะกิจที่เมืองเลยทีเดียวสำหรับทีมชาติอิตาลี เมื่อล่าสุดกว่าจะผ่านเข้าสู้รอบ8ทีมสุดท้ายต้องลุ้นเหนื่อยหนักจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที กว่าจะเชือดเอาชนะ ออสเตรีย ไปได้2-1 และเป็นเกมที่ขุนพลอัซซูรี่ต้องออกแรง เพราะเจอคู่แข่งคุกคามมากที่สุดในยูโร 2020 หนนี้
เกมรอบ16ทีมสุดท้ายระหว่าง อิตาลี และ ออสเตรีย 90นาที กินกันไม่ลงจบด้วยผลสกอร์ 0-0 ก่อนที่ทีมแชมป์โลก4สมัยจะบดเอาชนะผ่านเข้ารอบไปได้ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที 2-1 โดยทีมจากแดนรองเท้าบูท ได้สองประตูจากซุปเปอร์ซับตัวสำรองอย่าง เฟเดริโก้ เคียซ่า น.95 และ มัตเตโอ เปสซิน่า น.105 ส่วนออสเตรีย ไล่คืนมาได้แค่ลูกเดียวจาก หอกร่างโย่ง ซาซ่า คาลัดจ์ซ น.114
แม้จะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ตามเป้าแต่ทว่า ออสเตรีย ก็ได้เปิดแผลให้คู่แข่งเห็นความเปราะบางในแนวรับของ ขุนพลอัซซูรี่ นัดนี้ นั่นก็คือคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ ที่เคลียร์บอลหรือรับมือลูกกลางอากาศได้ไม่ค่อยดีทั้ง เลโอนาร์โด โบนุชชี่ และ ฟรานเชสโก้ อแซร์บี้ ลูกบอมบ์จากด้านข้าง หากไม่ได้ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ออกมาคว้าไว้ มีสิทธิที่จะโดนออสเตรียสอยเล่นงานหลายหน
มาร์โค อาร์เนาโตวิช นี่คือศิลปินของออสเตรียจริงๆ เพราะนี่คือนักเตะที่ทำได้แทบทุกอย่างในสนาม ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย บางจังหวะหอกวัย32ปี รายนี้ก็ทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อจนต้องยกนิ้วให้ แต่บางช็อตการเล่นเจ้าตัวก็เรียกเสียงสบถจากแฟนบอลได้เหมือนกัน น่าเสียดายที่ลูกโขกของเจ้าตัวถูกจับเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน ทำให้เฮเก้อไป
แม้จะตกรอบไป ทีมจากเทือกเขาแอลป์ ก็โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจไม่น้อย โดยเฉพาะในเกมรับเมื่อคืนลูกทีมของ ฟรังโก้ โฟด้า ก็ไม่ได้ก่อความผิดพลาดอะไรเลย แถมยังวางแท็กติกการเล่นได้อย่างถูกต้อง ที่กล้าแลกเปิดเกมบุกใส่อิตาลี ในช่วง15นาทีแรก คู่เซ็นเตอร์อย่าง อเล็กซานดาร์ ดราโกวิช / มาร์ติน ฮินเตอร์เร็กเกอร์ ก็จับคู่ผนึกความแข็งแกร่งกันได้เป็นอย่างดี ส่วน ดาบิด อลาบา ก็ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ทีมเต็มที่แล้ว
ขุนพลอัซซูรี่ มีเรื่องที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ ต้องปรับเปลี่ยนเยอะเหมือนกันหลังจากจบเกมกับออสเตรีย เมื่อคืน โดยเฉพาะในบรรดา3ประสานในแนวรุกอย่าง โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ / ชิโร่ อิมโมบิเล่ /ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ที่เล่นไปคนละทิศทางมากไปหน่อย หรือเลือกที่จะยิงเล่นเอง ทั้งที่เพื่อนร่วมทีมอยู่ในพื้นที่ทำเลทองที่ดีกว่า
รวมไปถึงไอเดียการเข้าทำที่เป็นแพทเทิร์นมิติเดิมไม่หลากหลาย โบราณไปหน่อย ไม่ค่อยมีลูกพลิกแพลง โดยเฉพาะ ไอ้ตัวเล็กจากนาโปลี อย่าง อินซินเญ่ ที่เลือกเล่นช็อตขอไปคนเดียวมากเกินไป และพยายามยิงแบบไซต์โป้ง (เดล ปิเอโร่) มากเกินความจำเป็น
สุดท้ายจริงก็ต้องชมการเลือกเปลี่ยนตัวของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เพราะตัวสำรองที่อดีตกุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลือกส่งมาทั้ง เฟเดริโก้ เคียซ่า และ มัตเตโอ เปสซิน่า เบิกสกอร์ได้ทั้งคู่ และสองแข้งจากค่ายยูเวนตุสและอตาลันต้า ต่างลงมาสร้างความแตกต่าง สดใหม่ให้กับทีมในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที
อัซซูรี่ทุบสถิติไร้พ่ายต่อ
นี่คือการไร้ความปราชัยในเกมทีมชาติเป็นนัดที่31ติดต่อกันเข้าให้แล้ว สำหรับทีมชาติอิตาลี ภายใต้การดูแลของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ทุบสถิติเดิมของอิตาลีเองที่ไร้พ่ายยาว30นัดที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 1935 - กรกฎาคม 1939 ในยุคของผู้จัดการทีม วิตโตริโอ ปอซโซ่
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อิตาลีเป็นทีมที่เหนียวแน่นและแพ้ยากนั่นก็คือการปลูกฝังปรัชญาแนวคิดของ ตัวกุนซือ "มันโช่ " ที่ผสมผสานอิตาลีชุดนี้ได้อย่างกลมกล่อมลงตัว มีทั้งนักเตะสดห้าวและเก๋า รวมอยู่ในทีมชุดนี้ การเล่นเป็นทีม ทุกคนต้องช่วยกันไล่บอล แย่งบอลกลับคืนมาให้อยู่ในการครอบครองของตัวเองอย่างรวดเร็ว เหมือนที่เจ้าตัวเคยออกมาพูดว่านักเตะทุกคนมีความสำคัญเท่ากันหมด เพราะทุกรายคือ11ตัวจริงของทีม
เกมรับคือหนึ่งในจุดขายของอิตาลีมาตลอดในแทบทุกยุคทุกสมัยตัวกุนซือ แม้ว่า มันชินี่ จะเปลี่ยนโฉมโมดิฟาย ให้อิตาลีเป็นทีมที่มีจุดเด่นในเรื่องของเกมรุก เพราะเป็นทีมที่บุกเอาประตูคู่แข่งแทบตลอด หลักฐานที่ชัดเจนก็จากการกระซวกตาข่ายคู่แข่งได้ถึง 83ประตู จาก31นัดที่ไร้พ่ายหลังสุด
เกมรุกหน่วยอาวุธทำลายล้างที่ติดเทอร์โบ ทำประตูได้จากผู้เล่นทุกตำแหน่ง เกมรับก็เป็นสิ่งที่ทีมแชมป์โลก4สมัยชุดนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเลยเผลอๆ แน่น เหนียว หนึบ แกร่งเป็นหินผากว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะโดนคู่แข่งส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้เพียงแค่8หนเท่านั้น(จาก31นัดหลัง) และประตูที่โดน ซาซ่า คาลัดจ์ซ โขกเมื่อคืน นี่คือครั้งแรกที่อิตาลี โดนคู่แข่งเจาะประตูได้ในรอบ 1,168 นาทีเลยทีเดียว
อิตาลีกับสถิติไร้พ่าย
31 นัด
26 ชนะ
83 ประตู
23 คลีนชีต
8 เสียประตู
มาร์โค อาร์เนาโตวิช ศิลปินลูกหนังของออสเตรีย
มาร์โก อาร์เนาโตวิช ที่กลับมาเล่นสนามประเทศที่เขาคุ้นเคยอีกครั้งนั่นก็คือ เวมลีย์ (อังกฤษ ) นี่คือนักเตะที่เป็นสีสันอารมณ์ศิลปินคนหนึ่งของออสเตรีย ในทัวร์นาเม้นต์ยูโร 2020 หนนี้ ก่อนมาร่วมศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหนนี้ ดาวยิงวัย32ปีถูกตั้งคำถามไม่น้อยว่า มาตรฐานการเล่นจะตกลงไปไหม เมื่อปัจจุบันเจ้าตัวได้ย้ายไปค้าแข้งโกยเงินยังลีกจีน
เรียกเสียงปรบมือและเสียงสบถด่าด้วยความเสียดาย ด้ไม่ห่างกันในเวลาไม่กี่นาที นี่คือ อาร์เนาโตวิช ตัวจริงเสียงจริง บางจังหวะทำมาซะดิบดีแต่มาตกม้าตายดื้อๆ หรือเลี้ยงกระชากมาอย่างสวยแต่จังหวะสุดท้ายไม่ส่งให้เพื่อนซะงั้น
ยังไม่รวมวีรกรรม นัดเปิดสนาม ที่เอาชนะ นอร์ท มาซิโดเนีย 3-1 หลังซัดประตูปิดกล่องได้ ก็ไปพูดคำหยาบใส่ เอซยาน อลิออสกี้ ซะงั้น จนทำให้ตัวเองเดือนร้อนโดนแบนไป1นัด
เกมกับอัซซูรี่ ต้องบอกได้เลยว่า อดีตดาวเตะเวสต์แฮมรายนี้ มีทั้งดีและแย่ปะปนกันไป บางจังหวะที่เจ้าตัวไถมาอย่างสวย แต่กลับทำบอลเสียเองไม่ส่งให้เพื่อนแบบไม่มีเหตุผล รวมไปจนถึงอาการหัวร้อนของเจ้าตัวที่ไปอัดใส่นักเตะอิตาลี จนทำให้โดนใบเหลืองในที่สุด
ที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับ มาร์โก อาร์เนาโตวิช นั่นก็คือลูกโหม่งของเจ้าตัวที่ส่งบอลผ่าน จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ไปได้ น.65 มาถูกริบคืนในภายหลังว่า เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน สิ่งที่แข้งจอมติสต์รายนี้ทำได้ดีนั่นก็คือการใช้ความใหญ่หนาของตัวเอง คุกคาม เลโอนาร์โด้ โบนุชี่ ได้มากพอสมควร ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม น.97 ให้ ซาซ่า คาลัดจ์ซ ลงมาเล่นแทน
ยูโร หนนี้แม้จะมีลูกยิงสวยๆในเกมเปิดสนาม แต่ทว่าภาพรวมการเล่นของ อาร์เนาโตวิช ในเรื่องทักษะความสามาถไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของทัศนะคติการเล่นของเจ้าตัวตัว ดูเป็นการเล่นในแนวทางของตัวเอง ไม่คอนเน็ค กับเพื่อนร่วมทีมเท่าที่ควรจะเป็น
ไม่เหมือนกับ สตาร์ของทีมอีกคนอย่าง ดาบิด อลาบา ที่แม้จะเป็นสตาร์ดังระดับยุโรป แต่ทุกช็อตการเล่น ไม่มีหวงบอล หรือจังหวะข้าขอโชว์เดี่ยว นี่คือสิ่งที่น่าเสียดายของ มาร์โค อาร์เนาโตวิช ที่เขาไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง ให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ทีม
แบ็กอัซซูรี่ เด่นทั้งซ้าย-ขวา
เริ่มทัวร์มาเม้นต์มา เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า แทบจะเป็นแบ็กโนเนม นอกสายตา แต่ทว่าฟอร์มในเกมเปิดสนามที่ถลกหนังทีมไก่งวงตุรกี 3-0 แบ็กจากโรม่ารายนี้ เติมเกมรุกอย่างเมามัน สะเด่าเร้าใจ เหมือนเป็นปีกเสริมอีกคนของทีมเลยทีเดียว เกมกับ ออสเตรีย สปินาซโซล่า ก็คว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะแมตช์ ได้อีกหน
แบ็กจอมบุกจากทีมหมาป่าเหลือง-แดง สวมวิญญาณเปรียบเสมือนปีกตัวรุกอีกคนของทีม เพราะมีจังหวะที่เติมขึ้นมาเล่นประสานงานกับ อินซินเญ่ อย่างไม่หยุดหย่อน เกมรุกขึ้นสุด เกมรับก็ลงสุดเหมือนกันสำหรับ สปินาซโซล่า ทั้งที่เป็นผู้เล่นในแนวรับแต่ทว่าเจ้าตัวก็สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่งมากถึง 5 ครั้ง
สร้างสรรค์โอกาสคลีเอทงานได้3หน โดยประตูปลดล็อคขึ้นนำ1-0 ก็มาจากการครอสเข้าไปของ แบ็กวัย28ปีรายนี้ ที่หลุดไปให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า โชว์ทักษะพักบอลด้วยหน้าอก จิ้มหลอกหนีหนึ่งจังหวะแล้วซัดผ่าน ดาเนี่ยล บัคมันน์ เสียบตาข่ายไป
ส่วน โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ ที่มาในยูโร2020หนนี้ ในฐานะตัวสำรองของ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ แต่ทว่าอาการบาดเจ็บของแบ็กกึ่งปีกจาก เปแอชเช ทำให้ ดิ ลอเรนโซ่ ได้โอกาสจองสัมปทานในตำแหน่งแบ็กขวาของแทน ซึ่งดาวเตะจากนาโปลี รายนี้ ก็ไม่ทำให้ มันชินี่ ผิดหวังเลย โดยเฉพาะเกมเมื่อคืน
ดิ ลอเรนโซ่ เปี่ยมไปด้วยพละกำลังอันเหลือล้นในการเติมเกมรุก ลงเกมรับทางฝั่งขวา แม้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ120นาที แบ็กวัย27ปีรายนี้ โชว์พลัง3ปอด ควบตะบึงบอลจากเขตโทษตัวเองร่วม100หลา ผ่านผู้เล่นออสเตรียถึง4คน เข้าไปซัดบอลในเขตโทษ (แต่น่าเสียดายที่จังหวะดังหล่าวหลุดกรอบออกไป ไม่ได้ลุ้น)
นอกจากนี้สถิติหลังเกมด้วยว่าแบ็กจากทีม เนเปิ้ลส์ เอาชนะการดวลเดี่ยวได้มากมายถึง 16ครั้งด้วยกัน
เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า Vs ออสเตรีย
79 สัมผัสบอล
5 สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่ง
4 ชนะการดวล
3 สร้างสรรค์โอกาส
3 เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง
2 ครอสบอล
1 แอสซิสต์
แผลในแนวรับที่เริ่มเปิด
ประตูที่เสียไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120นาที นี่คือการถูกเปิดบริสุทธิในเกมรับครั้งแรกของ อิตาลี ในรอบ 1,168 นาทีเลยทีเดียว แม้ว่าตลอดทั้ง 120นาที พลพรรคอัซซูรี่ จะโดนเจาะตาข่ายเพียงแค่ลูกเดียว แต่ทว่านี่คือเกมที่พวกเขาแนวรับโดนคุกคามอย่างปั่นป่วนมากที่สุดเกมหนึ่้ง
อิตาลีชุดนี้มีจุดอ่อนที่กองหลัง พูดไปก็เหมือนเรื่องตลกอำกันเล่น เพราะสถิติก็บ่งบอกมาตลอดว่า ทีมแชมป์โลก4สมัย เสียประตูน้อยมากๆ แค่8ประตู ใน31นัดหลัง โอเค ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆนั่นก็คือ ที่อิตาลี ไม่ค่อยโดนคู่แข่งกระซวกตาข่าย เป็นเพราะ มันชินี่ ติดตั้งระบบการเล่นเกมรับที่ดีให้
มิดฟิลด์3คนของทีม ต้องช่วยกันแย่งบีบเพรสซิ่งบอลคืนมาให้เร็วที่สุด เวลาเสียบอล นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ แนวรุกคู่แข่ง ไม่มีโอกาสปั้นเกมเซ็ตเกมรุกกันได้อย่างถนัดนี่ คู่เซ็นเตอร์จึง ไม่ค่อยได้รับมือกับงานที่หนักมากนัก แต่ในเกมกับออสเตรีย เมื่อคืนนั้นแตกต่างกันออกไป ทีมจากเทือกเขาแอลป์ สู้กับเกมในแดนกลางของอิตาลีได้อย่างถึงพริกถึงขิง ทำให้ลูกทีมของ ฟรังโก้ โฟด้า มีโอกาสเปิดเกมบุกเข้าใส่
โดยเฉพาะลูกบอมบ์ครอสจากด้านข้างที่มีอาร์เนาโตวิช ใช้ความใหญ่ความหนายืนค้ำอยู่ ทำให้คู่เซ็นเตอร์ในนัดนี้ ออกอาการเครื่องรวนสกัดบอลไม่เด็ดขาดโดยเฉพาะ เลโอนาร์โด โบนุชชี่ ที่ดูเหมือนจะเอาเจ้าของอดีตฉายา " อิบราแห่งออสเตรีย " ไม่อยู่ ส่วน ฟรานเชสโก้ อแซร์บี้ ก็มีจะหวังพลาดในการประกบตัว แต่ทว่าโชคดีที่ อาร์เนาโตวิช เล้าหน้าไปเสียก่อน
ผลงานที่เข้าตาของ อแซร์บี้ กองหลังลาซิโอ รายนี้นั่นก็คือ การเคลียร์บอลได้มากถึง5ครั้ง และ ตัดบอลได้มากถึง4หน อแซร์บี้ ในวัย33ปี และ โบนุชชี่ 33ปี ยังไม่ร่วมตัวหลักที่เจ็บอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ 36ปี นี่จึงเป็นเหล่าเซ็นเตอร์แบ็กวัยดึกทั้งสิ้น และค่อนค้างอืดและช้า
ถ้า3มิดฟิลด์ เพรสซิ่งบอลมาอยู่ในการครอบครองของตัวเองไม่ได้ ก็น่ากังวลไม่น้อยว่า ถ้าเซ็นเตอร์แบ็กของอิตาลี เจอกองหน้าที่เร็วนรกแตกปราดปรียว หรือเจอลูกครอสหนักๆ พวกเขาจะเอาอยู่ไหม
ซุปเปอร์ซับเห็นผล(ทั้งคู่) เคียซ่า ควรได้ออกสตาร์ท
นี่คือการเปลี่ยนตัวที่เข้าขั้นมาสเตอร์พีชของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เลยก็ว่าได้ เพราะทั้ง เฟเดริโก้ เคียซ่า และ มัตเตโอ เปสซิน่า คือสองผู้เล่นตัวสำรองที่กระทุ้งประตูให้อิตาลีทั้งทั้งคู่ โดยเฉพาะลูกชายของอดีตดาวยิงทีมชาติอิตาลีอย่าง เอ็นริโก้ เคียซ่า
เคียซ่า แม้จะหายไปในเกมเปิดสนามกับตุรกี แต่ทว่าสองนัดถัดมากับ สวิตเซอร์แลนด์ และ เวลส์ ปีกตัวจี๊ดจากยูเวนตุสรายนี้ ได้ลงเล่นทั้งในฐานะตัวสำรองและตัวจริง โดยเฉพาะเกมที่เชือดทีมมังกรเวลส์ แข้งวัย23ปีรายนี้ แม้ทำประตู จ่ายแอสซิสต์ไม่ได้ แต่เจ้าตัวก็โดดเด่นถึงขนาดคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เลยทีเดียว
โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ คู่แข่งในตำแหน่งตัวรุกฝั่งขวา แม้จะสร้างสรรค์โอกาสการทำประตูให้เพื่อนได้2-3ครั้ง แต่ทว่าภาพรวมทีเด็ดทีขาดปีกจากซาสซูโอโล่ รายนี้ ยังไอเดียการเข้าทำไม่หลายหลาย มิติการเล่นดูทื่อและเป็นไปตามแท็กติกมากเกินไป ไม่เหมือนกับเกมแรกที่ดวลกับตุรกี ที่เจ้าตัวฟอร์มอย่างแจ่ม ความพริ้ว ความจี๊ดจ๊าด นี่คือสิ่งที่ เบราร์ดี้ ยังทำได้ไม่ดีเท่าเคียซ่า เมื่อคืน
เคียซ่า ถูกหย่อนลงสนาม น.87 ก่อน ซัดประตูสุดสวย ด้วยการใช้อกพักบอลจากลูกเปิดที่เหมือนจะแรงไปของ สปินาซโซล่า ก่อนจิ้มบอลหลบ สเตฟาน ไลเนอร์ ซัดด้วยซ้ายเสียบหน้าต่างเสาไกลไป นี่คือประตูที่บ่งบอกถึงไอเดียสัญชาตญาณการเข้าทำที่พลิกแพลงที่ยอดเยี่ยมจากจังหวะที่ไม่น่าเป็นได้ ให้เป็นสกอร์ให้กับทีม
ส่วน มัตเตโอ เปสซิน่า ที่ลงมาเล่นแทน นิโคโล่ บาเรลล่า น.67 แม้จะมีเวลาอยู่ในสนามน้อยกว่าใครเพื่อน แต่เจ้าตัวก็เลี้ยงบอลผ่านผู้เล่นออสเตรียได้มากกว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคน (4ครั้ง) ความสด และการทะลุทะลวงเติมขิ้นมาทำประตู แบบไม่มีใครคาดคิด มิดฟิลด์จากอตาลันต้ารายนี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งอาวุธลับ อัซซูรี่ ที่ใครๆก็ประมาทไม่ได้
- คอลัมน์นิสต์
- 684
- 27 มิ.ย. 2564 15:45