The End Is Near ! จิ้งจอกถลกหนังสิงห์ 2-0 ขึ้นจ่าฝูง
The End Is Near วลีคำพูดฮฺิตของตัวละครวายร้ายของค่ายมาร์เวล อย่าง ธานอส น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของเซลซีเมื่อบุกไปพ่ายให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ แบบสบายๆ 0-2 เมื่อช่วงดึกของคืนวันอังคารที่ผ่านมา
วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ และ เจมส์ แม็ดดิสัน ช่วยกันส่องคนละ1เม็ด พาเจ้าบ้านเลสเตอร์ ซิตี้ อัดผู้มาเยือนอย่างเซลซีที่กำลังเป๋ต่อเนื่อง 2-0
การคว้า3แต้มของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ส่งผลให้พลพรรคจิ้งจอกสยามขึ้นมาเป็นจ่าฝูงชั่วคราว ด้วยการมีอยู่38คะแนน นำรองจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่1แต้ม แต่แข่งมากกว่าทีมปีศาจแดงอยู่1นัด
ความพ่ายแพ้ดังกล่าวของทีมสิงห์บลูส่งผลให้ ลูกทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด แพ้ไปถึง5 จาก8นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
สถานการณ์เก้าอี้ของซุปเปอร์แฟร้งค์ กูรูหลายคนวิเคราะห์กันไปในทิศทางเดียวกันว่า น่าจะถูกเสี่ยหมี โรมัน อบราโมวิช เด้งแบบฟ้าผ่าเร็วๆนี้
การออกนำถึง2-0 ของเลสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่ในช่วง45นาทีแรก แทบจะเป็นการปิดประตูผลการแข่งขันไม่ให้พลิกไปทางฝั่งเซลซีเลย เมื่อรูปเกมในครึ่งหลัง
ทีมเยือนไม่ได้สร้างโอกาสจะแจ้งในการส่งผลผ่านมือ เคสเปอร์ ชไมเคิ่ล รวมถึงรูปแบบการเข้าทำที่ขาดมิติไปหน่อย
จังหวะเข้าทำที่จะแจ้งที่สุดของเซลซีในครึ่งหลังกลับเป็นช็อต ของ ติโม แวร์เนอร์ ที่ยิงเข้าไปแต่ถูกผู้ตัดสินเป่าล้ำหน้าไปก่อนในภายหลัง
ความปราชัยดังกล่าวส่งผลให้เซลซีตามหลังพื้นที่ท็อปโฟร์ ทีมอันดับ4อย่างลิเวอร์พูลถึง5แต้ม และทีมหงส์แดงยังแข่งน้อยกว่าอีก1นัด
ทำไมรูดิเกอร์ได้ออกสตาร์ทตัวจริง
เข้าใจว่าอาจจะเพราะพึ่งโชว์ฟอร์มมาพอใช้ได้ในเกมกับฟูแล่ม แลมพาร์ด เลยตัดสินใจเลือกให้โอกาส อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ออกสตาร์ทในตำแหน่งตัวจริงก่อนที่ เคิร์ท ซูม่า
หรืออาจเป็นเพราะตัวกุนซือมองในแง่ของแท็กติกว่า เลสเตอร์ เป็นทีมที่เล่นเพรสซิ่งดีอาจทำให้ต้องดันสูง
จึงหวังให้ตัวรูดิเกอร์ ที่วางบอลจ่ายบอลได้ดีกว่าซูม่า คอยเปิดป้อนบอลในจังหวะที่ทีมสุนัขจิ้งจอกยืนลอยจากกรอบเขตโทษขึ้นมา
แต่อะไรที่จะบอกว่าสิ่งที่ผู้จัดการทีมวางแผนมาว่าถูกหรือผิด นั่นก็คือ ผลการแข่งขัน ความพ่ายแพ้0-2 คือสิ่งที่บอกสะท้อนว่าแท็กติกแผนการเล่นของแลมพาร์ดผิดพลาดในนัดนี้
โดยเฉพาะประตู 2-0 กองหลังชาวเยอรมัน มัวแต่มองบอลในจังหวะที่ประกบ เจมี่ วาร์ดี้ แถมยังกะจังหวะบอลตกพลาด ปล่อยให้ข้ามหัว หลุดไปถึง เจมส์ แม็ดดิสัน ซัดเข้าไปไม่เหลือ
ฟอร์มตลอดทั้งเกมของกองหลังวัย27ปี เต็มไปด้วยความผิดพลาด ความเชื่องช้า
รวมถึงจังหวะการอ่านเกมบุกของคู่แข่ง รูดิเกอร์ สอบตกแทบทุกด้านคะแนนเฉลี่ยของเจ้าตัวหลังจบเกมจากสื่อหลายๆสำนัก อยู่เพียงแค่3-5 เท่านั้น
แผงมิดฟิลด์สิงห์ขาดตัวรับ
ก่อนเกมเมื่อเห็นรายชื่อ11ตัวจริงแฟนบอลสิงห์บูล คงมีร้อนๆหนาวๆถึงชะตากรรมที่ต้องเจอไม่น้อย
เมื่อแผงมิดฟิลด์ของเซลซี 2คนเป็น มัตเตโอ โควาซิช และ เมสัน เม้าท์ หรือจะนับ ไค ฮาแวร์ตซ์ เป็นอีกหนึ่งมิดฟิลด์ก็ได้ถ้ามองเป็น 4-3-3
นัดนี้กองกลางของเซลซีไม่มีประเภทผึ้งงาน วิ่งไล่บอล ทำงานปัดกวาดเช็ดถู สกรีนบอลก่อนที่จะทะลุเข้ามาในเขตโทษเลย
ทั้ง เม้าท์ และ โควาซิซ ไม่ใช่มิดฟิลด์ประเภทพันธุ์ดุฮาร์ดแมน ตัวตัดเกมธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว
เกมนี้ไม่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ แลมพาร์ดน่าจะลองใช้มิดฟิลด์ตัวรับวัยละอ่อนอย่าง บิลลี่ กิลเมอร์ ที่มีทั้งความสดความห้าวเพื่อ เล่นตัดเกมได้ บดกับสมรภูมิในแดนกลางของเลสเตอร์ ซิตี้
หรือไม่ก็ปรับมาเล่นระบบหลัง3 เพื่อเน้นความรัดกุมในเกมรับ หากเลือกที่จะไม่ใส่มิดฟิลด์ตัวรับลงในเกมดังกล่าว การวางแผนของซุปเปอร์แฟร้งค์ สิ่งที่สะท้อนเปิดแผลให้เห็นถึงความผิดพลาดนั่นก็คือ
จังหวะที่โดน วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ตวัดยิงเข้าไปในช่วงต้นเกม ไม่มีผู้เล่นคนไหนเลยที่วิ่งเข้ามาบล็อคหรือกดดันกองกลางชาวไนจีเรีย
น่าสนใจไม่น้อยว่าหากมีกองกลางตัวรับธรรมชาติสักคนหนึ่ง เอ็นดิดี้ คงไม่ได้สับไกลง่ายดายขนาดนั้น
แม็ดดิสัน กลับมาแล้ว
ช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่หลายคนคงข้องใจและสงสัยอยู่ไม่น้อย เมื่อไม่ได้เห็น เจมส์ แม็ดดิสัน ออกสตาร์ทเป็น11ผู้เล่นตัวจริงให้กับทีม
ช่วงแรกเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่ยังคาราคาซังอยู่
รวมถึงฟอร์มที่โดดเด่นของ เดนนิส ปราต ทำให้แม็ดดิสันเองต้องรอคอยโอกาสบนซุ้มม้านั่งสำรองไปก่อน ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆใช้โอกาสที่ได้รับจากร็อดเจอร์ส
โชว์ผลงานอันสุดยอดในฐานะตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ จนทำให้แย่ง11ตัวจริงกลับมาได้
เกมกับเซลซี กองกลางวัย24ปี สร้างอิมแพคในเกมรุกให้ทีมจิ้งจอกสยามได้เป็นอย่างมาก ทั้งการวางบอล การเคลื่อนที่
รวมถึงจ่ายคีย์พาสในจังหวะสำคัญๆ ก่อนที่สุดท้ายจะมากดประตู2-0ฝังผู้มาเยือน
ประตูที่อดีตดาวเตะนอริช ซัดผ่าน เอดูอาร์ เมนดี้ เข้าไปตุงตาข่าย ส่งผล แม็ดดิสัน ยิงประตูในเกมลีกได้3นัดติดต่อกัน เป็นครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้งนักฟุตบอล นิวคาสเซิ่ล -เซาแธมป์ตัน –เซลซี
รวมถึงซัดไปได้ถึง 5ประตู จาก7นัดหลังสุดที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีก
จิ้งจอกไม่เปลี่ยนเยอะ
ค่อยๆลงล็อคขึ้นเรื่อยๆสำหรับ 11ตัวจริงของเลสเตอร์ ซิตี้ สิ่งที่กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือเรียนรู้มาตลอดนั่นก็คือ การไม่คิดมากจนเกินไปในเรื่องของการจัดทัพตัวผู้เล่น
ชักลาร์ โซยุนคู ที่ปีที่แล้วมีซีซั่นมหัศจรรย์กับทีม ย้ายเข้ามาปีแรก แต่ทว่าปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม
บัญชาการเกมในเกมรับหลังการย้ายออกไปของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่กองหลังชาวตุรกีจะเดี้ยงบาดเจ็บยาวท้ายฤดูกาลที่แล้ว
เมื่อ โซยุนคู หายเจ็บกลับมา แต่ทว่ากองหลังดาวรุ่งวัย20ปีอย่าง เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ก็ยังเล่นดี แข็งแกร่ง เนี๊ยบ เหนี่ยวแน่นอยู่ ร็อดเจอร์ส ก็ให้โฟฟาน่าเป็นตัวจริงต่อไป
อะไรที่มันดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนให้เกิดความสับสนยุ่งยากซับซ้อน นี่คือสิ่งที่ร็อดเจอร์สยึดถืออยู่ในตอนนี้
11ผู้เล่นตัวจริงของเลสเตอร์ ชัดเจนมากๆ ผู้รักษาประตูเป็น แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แผงแบ็กโฟว์ที่ชื่อชั้นดูไม่เท่าไหร่ แต่เล่นเป็นทีมรวมกันได้เหนียวแน่นมากๆทั้ง
เจมส์ จัสติน – จอห์นนี่ อีแวนส์ – เวสลี่ย์ โฟฟาน่า – ทิโมธี กาสตานเย่
กองกลางตัวรับ ไม่มีใครแย่งไปจาก วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ได้ มิดฟิลด์ตัวทำเกมเป็นหน้าที่ของ ยูรี ตีเลอมันส์ และ เจมส์ แม็ดดิสัน ปีกขวาเป็น ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์
ส่วนปีกซ้ายก็ขึ้นอยู่กับฟอร์มการเล่นในช่วงนั้นๆ ทั้ง มาร์ค อัลไบร์ตัน และ อโยเซ่ เปเรซ
กองหน้าเอกฉันท์ว่าต้องเป็น เจมี่ วาร์ดี้ 11ตัวจริงของทีมเดอะ ฟ๊อกส์ ลงตัวกลมกล่อมมากๆ บีร็อด จะไม่คิดมากปรับแผนการเล่น INFOMATION หากจะปรับก็เพียงแค่วิธีการเล่นเวลาเจอทีมที่เหนือฟอร์มดีกว่าเท้านั้น
ตัวผู้เล่น11ตัวจริง หากไม่มีแข้งเจ็บหรือติดโทษแบนคือชุดที่เล่นด้วยกันมาตลอดในซีซั่นนี้
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ บินสูงขึ้นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก (แม้จะเพียงชั่วคราว) และเป้าหมายในการกลับไปเล่น ฟุตบอลถ้วยใหญ่ยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คงไม่ยากไกลเกินเอื้อมแล้ว
ถ้าพวกเขายังรักษามตรฐานความสม่ำเสมอได้ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ
- คอลัมน์นิสต์
- 426
- 20 ม.ค. 2564 18:30