เก่งประเดี๋ยวเจ๋ง แจ๋วประด๋าว ! 5แข้ง One Season Wonder พรีเมียร์ลีก
One Season Wonder น่าจะเป็นประโยคที่แฟนฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หลายๆคนในบ้านเราคุ้นชินกันพอสมควรพอๆกับ Second Season Syndrome ซึ่งอย่างหลังนี่ใช้ในความหมายถึงเหล่าบรรดาทีมน้องใหม่พรีเมียร์ลีก ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นเป็นปีแรก แล้วโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่น แต่ทว่าพอฤดูกาลถัดมาทุกอย่างกลับดาวน์ลง หรือไม่ก็แย่ถึงขนาดตกชั้นลงไปเล่นในเวที เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ไปเลย
สิ่งที่พูดไปถ้าจะเห็นภาพให้ชัดเจนที่สุดคงเป็น เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ฤดูกาลทีพึ่งจบไป 2020-2021 พวกเขาตกชั้นแบบไม่มีหือไม่มีอือ (ทั้งที่ขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง ดีน เฮนเดอร์สัน ไปเพียงแค่คนเดียว) จมอยู่อันดับที่20ของตาราง มาโดยตลอด และไม่มีสัญญาณใดๆที่จะเป็นแง่บวกว่า ทีมดาบคู่ จะลุกขึ้นมารวมพลังกันอีกครั้ง เพื่อตะเกียกตะกายดิ้นรนหนีตายอีกเฮือก
ทั้งที่ก่อนหน้า เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2019-2020 ลูกทีมของ คริส ไวเดอร์ จบสูงถึงอันดับ9ของตาราง มีคะแนนตามหลังอาร์เซน่อลอันดับ8เพียงแค่2แต้มเท่า ถ้าไม่แผ่วช่วงปลายซีซั่น แพ้5จาก9นัดหลังสุดพวกเขา สามารถที่จะลุ้นพื้นที่ทำเลทองฟุตบอลถ้วยยุโรปได้เลย
เกมรับที่แข็งแกร่งคือจุดขายของเชฟยู พวกเขาโดนคู่แข่งเจาะตาข่ายไปเพียงแค่ 39เม็ด จาก38นัดเท่านั้น น้อยที่สุดเป็นอันดับ4 เป็นรองเพียงแค่ ลิเวอร์พูล - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น
ส่วน One Season Wonder ก็มีลักษณะความหมายคล้ายๆกันกับ Second Season Syndrome แต่ทว่าจะเป็นการเจาะลึกรายละเอียดไปเรื่องของฟอร์มการเล่นแบบตัวบุคคลมากกว่า ถ้าจะอธิบายภาพให้ชัดๆนั่นก็คือ เหล่าบรรดานักเตะที่โชว์ฟอร์มอย่างสวยหรู น่าวาดฝัน ในซีซั่นแรกกับทีม แต่ทว่าซีซั่นถัดมา ฟอร์มของพวกเขากลับรูดลงอย่างน่าใจหายโดยไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่ที่มักได้รับการขนานนามว่าเป็น One Season Wonder มักจะเป็นผู้เล่นในตำแหน่งแนวรุก ที่ผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้ จากที่ยิงกระฉูดในปีแรก แต่ทว่าปีต่อมากลับโดนอาการวิญญาณ สากกะเบือ เข้าสิงไปดื้อๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นในเรื่องของ สภาพจิตใจของตัวนักเตะเอง คู่แข่งที่เริ่มจับทางได้ รวมไปถึงอาการการกิน วัฒนธรรม สภาพอากาศ รูปแบบการใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนที่พวกเขาจากมา โดยเฉพาะแข้งนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้ ทีมักจะเจอปัญหาเหล่านี้ หลายรายเวลาที่ย้ายมาค้าแข้งเวทีพรีเมียร์ลีก
หนึ่งในนักเตะที่จะนิยามคำว่า One Season Wonder ได้ดีที่สุด คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มิชู ดาวยิงของ สวอนซี ที่ระเบิดเถิดเทิงมากๆในซีซั่นแรก 2012-2013 ก่อนที่จะเงียบหายเข้ากลีบเมฆในฤดูกาลต่อมา
โรเก้ ซานตา ครูซ (แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส )
การเก็บข้าวเก็บของจากเยอรมัน เพื่อมาค้าแข้งยังเวที ที่เต็มไปด้วยเสือสิงกระทิงแรดอย่างพรีเมียร์ลีก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกองหน้าตัวหลักของ บาเยิร์น มิวนิค แต่ ณ ตอนนั้น โรเก้ ซานตา ครูซ ก็นับเป็นดาวยิงที่มีเกรดมีดีกรีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ซีซั่น 2007-2008 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในยุคของกุนซือ มาร์ค ฮิวส์ สอย โรเก้ ซานตา ครูซ มาจากทีมเสือใต้ด้วยราคา เพียงแค่3.5ล้านปอนด์ โดยดาวยิงชาวปารากวัยรายนี้ ถูกซื้อเข้ามาเพื่อยืนจับคู่ล่าตาข่ายกับ เบนนี่ แม็คคาธีย์ ดาวยิงหน้ายิ้มชาวแอฟริกาใต้
ซาน ตา ครูซ ไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวอะไรมากๆยังเวทีพรีเมียร์ เพียงแค่นัดแรกที่เดบิวต์ เจ้าตัวก็สามารถเบิกสกอร์แรกได้ทันทีในเกมเปิดฤดูกาลที่บุกไปเอาชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-1 นอกจากนี้ อดีตดาวยิงเสือใต้รายนี้ยังสามารถซัดประตูใส่เหล่าบรรดาทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูลได้อีกด้วย
ฟอร์มการถล่มประตูของ โรเก้ ซานตา ครูซ เป็นที่น่าจับตามองมากๆของหลายๆทีมยักษ์ในพรีเมียร์ลีกตอนนั้น ดาวยิงชาวปารากวัย พาทีมกุหลาบไฟ บินจบสูงถึงอันดับ7ของตาราง และเจ้าตัวเองก็ซัดไปได้ถึง 19 ประตูในพรีเมียร์ลีก มีเพียงแค่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ - เฟร์นานโด ตอร์เรส และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ที่ทำประตูได้มากกว่า
แต่ทว่าฤดูกาลต่อมา 2008-2009 จุดที่ทำให้ ซาน ตา ครูซ ต้องขวัญผวาและว่ากันว่านั่นเป็นอีกหนึ่งจุดหักเหที่ทำให้เจ้าตัวฟอร์มตกลงไปนั่นก็คือ การที่เจ้าตัวโดนโจร3รายเข้ามาปล้นทรัพย์สินเงินทองภายในบ้าน จี้ฉกสร้อยภรรยาของเจ้าตัวไป
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ดาวยิงจากอเมริกาใต้รายนี้ ขวัญหนีดีเฝ่อพอสมควร รวมไปถึงข่าวการได้รับความสนใจจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้โฟกัสสมาธิของเจ้าตัวยังถิ่น อีวู๊ด ปาร์ค เสียไปมากเลยทีเดียว
จบซีซั่นนั้น2008-2009 ซาน ตา ครูซ ยิงให้ แบล็คเบิร์น ไปเพียงแค่4ประตู ในพรีเมียร์ลีกเท่านั้นก่อนที่ซีซั่นต่อมา 2009-2010 เจ้าตัวย้ายไปทีมดังเมืองแมนเชสเตอร์ ด้วยต่าตัว17.5 ล้านปอนด์ แต่ทว่าชีวิตที่เรือใบสีฟ้านั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะมีดาวยิงที่ขวางทางอยู่อย่าง โรบินโญ่ 2ฤดูกาลกับซิตี้ ซาน ตาครูซ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำไปได้เพียง3ประตูในลีกเท่านั้น ก่อนที่ทีมเรือใบสีฟ้า จะขายขาดเจ้าตัวให้กับ มาลาก้า เมื่อปี 2012
อซาโมอาห์ กียาน (ซันเดอร์แลนด์)
หลังจากที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นกับทีมชาติกาน่า ในฟุตบอลโลก 2010 เมื่อพาทีมดาวดำทะลุไปไกลถึงรอบ8ทีมสุดท้าย โดยในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว กียาน อซาโมอาห์ ทำไปได้ถึง3ประตูด้วยกัน ฟอร์มที่เตะตาดังกล่าวทำให้ ซันเดอร์แลนด์ ตัดสินใจกระชากเจ้าตัวมาร่วมทีม
แมวดำ เซ็นสัญญา กียาน มาจากแรนส์ ทีมในลีกฝรั่งเศส เมื่อปี 2010 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสรในตอนนั้น 13ล้านปอนด์ พร้อมสวมเสื้อหมายเลข 33 โดย กียาน ก็ไม่ทำให้ซันเดอร์แลนด์ ผิดหวังเลย แม้จะทำประตูได้ไม่เยอะ แต่ดาวยิงลีลาจอมกวนรายนี้ ก็เป็นส่วนสำคัญในเกมรุกของทีมมากๆ รวดเร็ว คล่องแข็ง แข็งแกร่ง ปราดเปรียว แบบนักเตะจากทวีปแอฟริกา
ดางยิงชาวกาน่า ซัดไปได้ 10ประตู จาก31นัดที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก มากที่สุดในทีม พาซันเดอร์แลนด์จบอันดับ10 แต่ทว่าซีซั่นต่อมา กียาน ก็เกิดอาการเบื่อ ชีวิตในลีกเมืองผู้ดีดื้อๆ อาจจะด้วยสภาพอากาศรวมถึงวิถีชีวิต ที่อังกฤษที่ขัดกับไลฟ์สไตล์ของเจ้าตัวมากๆ รวมไปจนถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเงินที่ตอนนั้นทาง ซันเดอร์แลนด์ ไม่ค่อยสู้ดีนัก
สุดท้ายทำให้ ประธานสโมสรซันเดอร์แลนด์ในตอนนั้นอย่าง ไนออน ควินท์ ตัดสินใจปล่อยตัว กียาน ไปให้กับ อัล ไอน์ สโมสรในสหรัฐอาหรับเอมิเรต ยืมตัวใช้งาน ก่อนแมวดำจะขายขาดในปี 2012 ในที่สุด
แม้จะไม่ใช่นักเตะระดับท็อปคลาสซุปเปอร์สตาร์แต่ กียาน อซาโมอาห์ ก็เคยรับทรัพย์ค่าแรงเหนาะๆมาแล้วถึง 227,000 ปอนด์/สัปดาห์ ในช่วงที่ค้าแข้งยังลีกจีน กับสโมสร เซี่ยงไฮ้ เอสเอพีจี เมื่อปี 2015-2016
โรบินโญ่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ )
ว่ากันว่านี่คือดีลที่ช่วยปลดล็อคความเชื่อใจความเชื่อมั่น ที่ส่งผลต่อนักเตะชื่อดังระดับโลกให้ย้ายมาค้าแข้งยังถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ก็เป็นได้ นั่นก็คือเคสของโรบินโญ่ สตาร์ชาวบราซิลรายนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งดีลที่ช็อกวงการลูกหนังมากๆ
โรบินโญ่ ตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของออกจากแดนกระทิงดุกับทีมซุปเปอร์สตาร์อย่าง เรอัล มาดริด มาร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคเริ่มสร้างความยิ่งใหญ่ โดยตอนนั้นกุนซือของทีมเป็น มาร์ค ฮิวจ์ส สตาร์แดนกาแฟรายนี้ ย้ายมาทีมเรือใบในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะพอดี ด้วยค่าตัวสถิติเกาะอังกฤษในตอนนั้น 32.5 ล้านปอนด์
แม้ว่าภาพรวมผลงานฟอร์มของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะไม่ดีขึ้น แต่เกมรุกของทีมดังเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวและฝากความหวังไว้กับ โรบินโญ่ อยู่ไม่น้อย เมื่อแข้งจาก เรอัล มาดริด รายนี้ ซัดไปได้ถึง 14เม็ด ในพรีเมียร์ลีก จากการลงสนาม 31นัด แถมยังมีแฮตทริก ในเกมที่เอาชนะ สโต๊ค 3-0 เมื่อเดือนตุลาคมอีกด้วย
แต่ทว่าซีซั่นต่อมา ด้วยความเป็นนักเตะจากทวีปละตินอเมริกา ที่ชื่นชอบในสีแสงเสียงดนตรี ปาร์ตี้ ความสนุกสนานและความบันเทิง ก็เริ่มออกลาย โรบินโญ่ เหมือนจะเบื่อชีวิตในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ฝนตกแทบจะตลอดทั้งปีไม่น้อย
ฤดูกาลใหม่ 2009-2010 แข้งแซมบ้ารายนี้ ก็ดับร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าตัวเท้าบอดสนิท 10นัดในพรีเมียร์ลีก โรบินโญ่ ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายไม่ได้เลยไปจนถึงช่วง คริสต์มาส ประตูเดียวที่ทำได้เกิดขึ้นในเกมลีกคัพ ที่ซิตี้ เอาชนะ สคันธอร์ป ยูไนเต็ด 3-1 ก่อนที่ โรบินโญ่ จะได้ย้ายไป ซานโตส ทีมบ้านเกิด ในรูปแบบของการยืมตัวช่วงตลาดหน้าหนาวมกราคม
หลังเสร็จสิ้นดีลยืมตัว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจยอมขาดทุนขายเจ้าตัวให้กับ เอซี มิลาน ในปี2010 ด้วยค่าตัวเพียงแค่ 15ล้านปอนด์เท่านั้น ก่อนที่หลังจากนั้น โรบินโญ่ จะได้มาเผยเองภายหลังว่า เขารู้ว่าเขาจะได้ย้ายมาเล่นยังเวทีพรีเมียร์ลีก แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะได้เล่นให้กับสโมสรไหน...
เบนจานี่ เอ็มวารูวารี ( ปอร์ทสมัธ )
ดาวยิงชื่อเก๋ บวกท่าดีใจยียวนกวนประสาทรายนี้ สำหรับ เบนจานี่ เอ็มวารูวารี หอก " สูง ยาว เข่าดี คมเข้ม " ย้ายจาก โอแซร์ ในลีกฝรั่งเศส มาค้าแข้งกับทีมดังแดนใต้อย่าง ปอร์ทสมัธ เมื่อช่วงตลาดหน้าหนาวปี 2006 โดยเจ้าตัวต้องใช้เวลากว่า1ฤดูกาล ครึ่ง กว่าจะปรับตัวจูนให้เข้ากับระบบของทีมปอมปีย์ได้
เบนจานี่ มาฟอร์มกระฉูดสุดขีด ในซีซั่น 2007-2008 ภายใต้ยุคกุนซือ แฮร์รี่ เน้ดแนปป์ หอกทีมชาติซิมบัวเว รายนี้ กระทุ้งไปได้ 12ประตู จาก23นัดในพรีเมียร์ลีกให้ปอร์ทสมัธ หนึ่งในนั้นคือเกมระเบิดโถส้วม เร้ดดิ้ง 7-4 ซึ่งเกมนั้น เบนจานี่ กดแฮตกริกได้อีกด้วย
ฟอร์มที่ไฉไลดังกล่าวทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่รีรอช้า กระชากเจ้าตัวมาร่วมทีม ในตลาดหน้าหนาวปี 2008เลยทันที ด้วยค่าตัวที่บวก แอด-ออน จบที่ที่ราวๆ 7.6 ล้านปอนด์ เอ็มวารูวารี เดบิวต์ ให้กับทัพเรือใบสีฟ้าอย่างงดงาม ด้วยการโหม่งประตูช่วยให้ทีม บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้สำเร็จ 2-1
ส่วนประตูแรกของเจ้าตัวยังถิ่น ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ (ชื่อสนามเหย้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนั้น) ก็คือการเจอกับทีมเก่า ปอร์ทสมัธ นี่แหละ แต่ทว่านั้นก็ล่วงเลยไปจนถึงเดือนเมษายนแล้ว ครึ่งฤดูกาลแรกกับ เรือใบสีฟ้า เบนจานี่ ทำไปได้เพียงแค่ 3ประตูเท่านั้น จากการลงเล่น 13นัดในพรีเมียร์ลีก
แต่ทว่าซีซั่นถัดมา 2008-2009 อาการของเบนจานี่ ก็สาหัสมากกว่าเดิม เมื่อเจ้าตัวประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างเรื้อรัง บวกกับฟอร์มการเล่นไม่คงที่ แถมซิตี้ ยังมีกองหน้าอยู่ล้นทีมทัง โรบิน โญ่ - โช - ดาริอุส วาสเซลล์ รวมไปจนถึง ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ทำให้ดาวเตะชาวซิมบับเวรายนี้ แทบจะไม่มีบทบาทกับทีม ก่อนจบฤดูกาลด้วยผลงาน 1ประตู จาก8นัดในลีก
2009-2010 ชะตาของ เบนจานี่ มาขาดสะบั้นหลังจาก ทีมสีฟ้าเมืองแมนเชสเตอร์ เปลี่ยนกุนซือจาก มาร์ค ฮิวจ์ส มาเป็น โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ดุกว่า เฮี๊ยบกว่า ตามแบบฉบับของโค้ชอิตาลี ในช่วงเดือนธันวาคม สุดท้ายเจ้าตัวถูก "มันโช่ " ปล่อยให้ซันเดอร์แลนด์ ยืมตัวเมื่อตลาดหน้าหนาว ก่อนที่จะถูกขายถาวรให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เมื่อซัมเมอร์ 2010
หลังจากนั้น เบนจานี่ เอ็มวารูวารี ก็ไม่เคยยิงประตูให้ต้นสังกัดไหนได้เกิน10ลูกอีกเลย ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียงแค่ 35ปี กับทีมในลีก แอฟริกาใต้ เมื่อปี 2014 แบบเงียบๆ
มิชู (สวอนซี)
ปฎิเสธไม้ได้ว่านี่คือตำนานหมายเลข1ของ One Season Wonder แห่งพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ มิชู คนนี้นี่เอง หลังจากที่ดาวเตะเลือดสเปนรายนี้ ฟอร์มกระซวกตาข่ายร้อนแรงเกินห้ามใจมากๆกับสวอนซี
ในฤดูกาล2012-2013 สวอนซี ภายใต้การคุมทีมของ ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป หวังต่อยอดจากผลงานที่ยอดเยี่ยมในซีซั่นก่อนหน้า 2011-2012 (จบอันดับ11) ด้วยการซื้อนักเตะอย่าง ปาโบล เฮอร์นานเดซ จากจาก บาเลนเซีย - คี ซุง ยอง จากเซลติก และ มิชู ที่หลายๆคนเห็นชื่อแล้วคงต้องอุทานขึ้นมาว่า "ใครวะ " มาจาก ราโย บาเยกาโน่ ด้วยราคาเพียง2ล้านปอนด์
แต่ทว่าเพียงแค่การประเดิมนัดแรกในเวทีอังกฤษของเจ้าตัว มิชู ก็แผลงฤทธิทันที เมื่อซัดเบิ้ลไปได้2ประตู ในนัดที่หงส์ขาวบุกไปยำใหญ่ ควีนปาร์ค เรนเจอร์ส 5-0 ก่อนที่จะยิงได้อีกนัดละ1เม็ด ในเกมกับ เวสต์แฮม และซันเดอร์แลนด์ เท่ากับว่าดาวยิงเลือดกระทิงดุรายนี้ ออกสตาร์ทในพรีเมียร์ลีก ด้วยผลงาน 5ตุง จาก3นัดแรก
สองทีมในกรุงลอนดอนอย่าง อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ต่างโดน มิชู ล่าตาข่ายได้ทั้งสิ้น รวมไปจนถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกด้วย จบซีซั่น 2012-2013 ทัพหงส์ขาว จบที่อันดับ 9ของตาราง ส่วนผลงานส่วนตัวของ มิชู ร้ายกาจมากๆ กดไป 18ประตู กับอีก2แอสซิสต์ จากการลงเล่น 35นัดในลีก
เดือนตุลาคม 2013 มิชู ได้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติครั้งแรก ( และครั้งเดียว) ในยุคของ กุนซือ บิเซนเต้ เด บอสเก้ และลงเล่นในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2014 ในนัดที่ทัพกระทิงดุเอาชนะ เบรารุส ไปได้ 2-1
แต่ทว่า สิ่งมหัศรรย์ที่เกิดขึ้นกับ มิชู เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ก็เหมือนกับพลุที่ยิงขึ้นฟ้าสวยงามสว่างไสว แต่อีกเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ทุกอย่างก็กลับคืนเข้าสู่สภาวะเดิม 2013-2014 มิชู ก็มีผลงานที่ตกต่ำลงไปอย่างน่าใจหาย
ตลอดทั้งซีซั่นเจ้าตัวผลิตสกอร์ให้สวอนซี เพียงแค่ 6ลูกเท่านั้นรวมทุกรายการ การเปลี่ยนกุนซือมาเป็น แกรี่ มั้งค์ ทำให้อนาคตของจากตัวในถิ่น ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม ไม่แน่นอนขึ้นอีก
สุดท้าย 2014-2015 มิชู ก็ถูกส่งให้ นาโปลี ยืมตัว แต่ผลงานของแข้งกระทิงดุรายนี้ก็ยังไม่กระเตื้องฟื้นขึ้น กับทัพอัซซูร่า มิชู ได้ลงเล่นรวมทุกรายการไปเพียงแค่ 3นัดในเซเรียอา เท่านั้น
ก่อนถูกส่งตัวกลับหลังจบฤดูกาลดังกล่าว และสวอนซี ก็ตัดสินใจขายเจ้าตัวไปให้กับ ลานเกรโอ ทีมระดับดิวิชั่น4 ของสเปน ในซัมเมอร์ 2015 ปิดตำนานแข้ง One Season Wonder เบอร์1ของพรีเมียร์ลีกในที่สุด
- คอลัมน์นิสต์
- 393
- 29 ก.ค. 2564 14:20